ทีมข่าวการเมือง
คลิปสนธิ ลิ้มทองกุลอ่านฎีกา เมื่อ 4 ก.พ. 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ตอนที่ 1) (ที่มา: บันทึกจาก ASTV)
คลิปสนธิ ลิ้มทองกุลอ่านฎีกา เมื่อ 4 ก.พ. 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ตอนที่ 2) (ที่มา: บันทึกจาก ASTV)
คลิปสนธิ ลิ้มทองกุลอ่านฎีกา เมื่อ 4 ก.พ. 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ตอนที่ 3) (ที่มา: บันทึกจาก ASTV)
คลิปสนธิ ลิ้มทองกุลอ่านฎีกา เมื่อ 4 ก.พ. 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ตอนที่ 4) (ที่มา: บันทึกจาก ASTV)
\\/--break--\>
‘ลูกแกะหลงทาง’ สู่ ‘เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร’
“ลูกๆ ทั้งหลาย ตื่นเถิด ตาสว่างได้แล้ว ชีวิตนี้ของพวกท่านเป็นของพ่อโดยไม่ต้องมีกฎใดๆ มารองรับ...กราบแทบเท้าพ่อของแผ่นดิน”
สนธิ ลิ้มทองกุล, 9 กันยายน 2548 [1]
พลันที่สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือผู้จัดการ อ่านบทความเรื่อง ‘ลูกแกะหลงทาง’ ผ่านรายการ ‘เมืองไทยรายสัปดาห์’ ที่เขาเป็นผู้ดำเนินรายการ เมื่อ 9 ก.ย. 2548 ซึ่งถือในเทปสุดท้ายทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. ก่อนหลุดจากผังรายการ ตั้งแต่นั้นมาความสัมพันธ์ระหว่างสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือผู้จัดการ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ขาดผึง
และนำไปสู่การเคลื่อนไหวขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ขึ้นทุกๆ วันศุกร์ โดยชูคำขวัญ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” “ถวายคืนพระราชอำนาจ” โดยจัดที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วงแรกๆ ก่อนย้ายไปจัดที่ อาคารสวนลุมพินีสถาน สวนลุมพินี โดยการชุมนุมของนายสนธิ ถือเป็นการกลุ่มผู้ชุมนุมชุมนุมที่สั่นสะเทือนรัฐบาลทักษิณได้มากที่สุด
ยึดทำเนียบครั้งแรก ก่อนถูกสลายเพื่อจัดงานวันเด็ก
ในการจัดงานเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 14 ที่สวนลุมพินี เมื่อ 13 ม.ค. 2549 [2] ก่อนเริ่มงานเวลา 15.00 น. ได้มีกลุ่มเครือข่ายเหล้าพื้นบ้านประมาณ 1,500 คน นำโดยนายอัครเดช สุขลักษณ์ ได้นำรถขยายเสียงพร้อมเครื่องปั่นไฟ มาปักหลักหน้าอาคาร และกล่าวปราศรัยโจมตีนายสนธิ พร้อมเรียกร้องให้นายสนธิ เปิดเวทีให้เข้าไปร่วมดำเนินรายการด้วย
ทำให้นายสนธิไม่พอใจมาก และโจมตีกลุ่มที่มาต้านว่าเป็นคนของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมรับจ้างทั้งสิ้น รับเงินมาคนละ 300 บาท และได้ถ่ายรูปเก็บไว้หมดแล้ว เมื่อใดที่นายยงยุทธ พ้นจากตำแหน่งก็จะตามเช็กบิลกับทุกคน และว่าคนพวกนี้มีชีวิตอยู่ด้วยการรับจ้างก่อกวน ถ้าไม่มีอาชีพนี้จะเอาเงินที่ไหนใช้
และว่า “เพื่อเป็นการให้ของขวัญกับนายกฯ ตอบแทนของขวัญจากเมืองเหนือ ตนจะเชิญพล.ต.อ.ประทิน (สันติประภพ) นำขบวนพวกเราเดินทางไปทำเนียบรัฐบาล ไปเห่าหอนให้นายกฯได้ยิน ไปขับไล่ให้ออกจากตำแหน่ง ซึ่งแน่นอนว่าตนจะเดินทางไปด้วย ไม่เช่นนั้นตนก็หมา”
หลังจากนั้นนายสนธิเริ่มเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมออกจากสวนลุมพินีไปประท้วง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยแกนนำนอกจากสนธิ ยังมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ อดีตส.ว.กรุงเทพฯ นายกล้านรงค์ จันทิก อดีตเลขาฯ ป.ปช. และ ส.ว.หลายคน เช่น นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายวิญญู อุฬางกูร นายการุณ ใสงาม
รวมทั้งนายคณิน บุญสุวรรณ อดีต สสร. นายอมรินทร์ คอมันตร์ นักธุรกิจค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ นายทองก้อน วงศ์สมุทร ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน นายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ นักวิชาการ พล.อ.กิตติศักดิ์ รักประเสริฐ นายทหารนอกประจำการมาร่วม
การชุมนุมดำเนินไปจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 00.15 น. วันที่ 14 ม.ค. หลังนายคณินกล่าวปราศรัยจบลง นาวาตรีถนิต พรหมสถิต กัปตันของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศให้ผู้ชุมนุมที่นั่งอยู่เต็มบริเวณถนนพิษณุโลก และบนสะพานชมัยมรุเชษฐ ลุกยืนขึ้นเพื่อเข้าไปชุมนุมกันภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาล เพื่อแสดงจุดยืนในการไล่นายกฯ ออกจากตำแหน่ง
"เข้าไปเลยครับ พี่น้อง เข้าไปทำเนียบรัฐบาลเลย ถ้าเข้าไปได้ เราก็จะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้" กัปตันถนิตประกาศ
สำหรับกัปตันถนิต ผู้นี้ ต่อมาจะเป็นคนเดียวกันที่ไม่ยอมขับเครื่องบินเที่ยวบิน ทีจี 1161 ของการบินไทย เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2551 ซึ่งมีกำหนดออกจากสนามบินพิษณุโลกเวลา 07.45 น. ถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 08.30 น. ส่งผลให้ผู้โดยสารเที่ยวบินนี้จำนวน 75 คน ต้องนั่งรอที่ห้องพักผู้โดยสาร และอีกจำนวนมากไม่สามารถรอได้ ได้ทำเรื่องคืนตั๋วกับการบินไทย โดยกัปตันถนิตกล่าวว่าที่ตนไม่ยอมนำเครื่องบินเที่ยวนี้ขึ้นเนืองจากฝ่ายช่างการบินไทยที่สนามบินพิษณุโลกไม่ยอมเซ็นต์เอกสารรับรองการตรวจเครื่องบิน ทำให้ไม่สามารถนำเครื่องขึ้นได้ กระทั่งเวลา 10.00 น. กัปตันถนิตจึงยอมนำเครื่องขึ้นบิน
จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้ลุกยืนขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปในทำเนียบ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดไว้ทำให้ผู้ชุมนุมไม่สามารถเข้าไปได้ ระหว่างนั้นก็ได้เกิดเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นบนป้ายผ้าข้อความโจมตีการทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ผู้ชุมนุมนำมาติดล้อมรอบกำแพงทำเนียบรัฐบาล ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนรีบเข้าไปดับไฟทันที ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับประตูเหล็กทางเข้าทำเนียบฝั่งถนนพิษณุโลก ที่ข้าราชการมักใช้ผ่านเข้า-ออกเป็นประจำ ถูกผลักจากผู้ชุมนุมจนเปิดออก จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมพากันเฮโลเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลทันที โดยไปรวมตัวกันอยู่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ประมาณ 500 คน พร้อมกับโบกสะบัดธงชาติไทยไปมา และตะโกนพร้อมกันว่า "ทักษิณออกไป ทักษิณออกไป" โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยคุมเชิงอย่างใกล้ชิด
ระหว่างเหตุการณ์ดำเนินอยู่นั้น ในกลุ่มผู้ชุมนุมเองก็ได้เกิดความขัดแย้งขึ้น โดยผู้ชุมนุมบางส่วนไม่เห็นด้วยที่จะให้ประชาชนเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เพราะเกรงว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ข้ออ้างบุกรุกเป็นเหตุผลในการสลายการชุมนุม ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายพนักงานรัฐวิสาหกิจมองว่า การเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลจะทำให้การชุมนุมได้รับการตอบสนองจาก พ.ต.ท.ทักษิณมากขึ้น ทำให้แกนนำที่กล่าวปราศรัยบนเวทีต้องประกาศขอมติจากผู้ชุมนุมทั้งหมดว่าจะชุมนุมด้านนอกหรือภายในทำเนียบรัฐบาล เสียงส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าควรปักหลักชุมนุมอยู่ด้านนอก จึงมีการประกาศแจ้งให้ผู้ชุมนุมที่เข้าไปในทำเนียบออกมาปักหลักชุมนุมกันที่บริเวณด้านนอก
กระทั่งเวลา 01.30 น. ภายหลังผู้ชุมนุมได้ทยอยเดินออกจากทำเนียบ และกลับไปนั่งเพื่อฟังการปราศรัยตามจุดเดิม ได้มีผู้ชุมนุมบางส่วนทยอยเดินทางกลับบ้าน ในขณะที่ผู้ชุมนุมบางส่วนยังคงนั่งฟังการปราศรัยอยู่ ในขณะที่ผู้ชุมนุมอีกส่วนหนึ่งจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ความเหมาะสมเกี่ยวกับการเข้าไปชุมนุมในทำเนียบ และเข้าไปสอบถามบรรดาแกนนำบริเวณด้านหลังเวทีปราศรัย โดยได้รับคำตอบว่า นายสนธิกลับไปตั้งแต่ที่ผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลแล้ว จึงทำให้ผู้ชุมนุมรู้สึกไม่พอใจและทยอยเดินทางกลับบ้านไปในเวลาต่อมา จนทำให้จำนวนผู้ชุมนุมลดจำนวนลงเหลือไม่ถึง 500 คน และเหลือไม่ถึง 60 คนในช่วงเช้า ก่อนตำรวจปราบจลาจลเข้าสลายการชุมนุมในที่สุด ด้วยวิธีการยืนประกบใกล้ๆ เป็นรายบุคคลก่อน จากนั้นจึงเข้าจับกุมตัว
เป็นอันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พยายามยึดพื้นที่ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลคืน เพื่อเปิดทางให้กับการจัดงาน ‘วันเด็กแห่งชาติ’ โดยตำรวจจับผู้ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลได้ 40 คน หนึ่งในนั้นคือ น.ต.ถนิต พรหมสถิต และนายสมาน ศรีงาม เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
นี่จึงเป็นการ ‘ยึดทำเนียบ’ ครั้งแรกของระบอบไม่เอาทักษิณ ก่อนที่จะมีการยึดทำเนียบจริงๆ และเข้าไปปักหลักหลายเดือน เมื่อ 26 ส.ค. 2551 ระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเฟส 2
และเช้าวันที่ 14 ม.ค. 2549 ในรายการ "นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงการเดินขบวนมาทำเนียบรัฐบาลของนายสนธิว่า
“...วันนี้จะมีงานวันเด็ก วันนี้เด็กๆ ทั้งหลายอยากจะมาที่ทำเนียบรัฐบาลเหลือเกิน อยากจะมาสังสรรค์กัน มาดู มี กิจกรรมต่างๆ มีสภาเยาวชนมาพบนายกรัฐมนตรี มาดูสถานที่ราชการ ซึ่งเป็นที่ทำงานของผู้นำประเทศ นั่นคือสิ่งที่เด็กๆ เขาใฝ่ฝัน แต่กลับมีผู้ใหญ่อยู่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่รู้เป็นบ้าอะไร บุกเข้ามา…
…ไอ้นี่ ใครก็ไม่รู้ รู้แค่ไหนก็ไม่รู้ เอ้า...เดินขบวน ไม่เคารพกติกา การเรียกร้องบอกให้รู้ว่า ไม่ชอบใจตรงนั้น ตรงนี้ ไม่เป็นไร ดี ไม่เป็นปัญหา แต่ขอให้อยู่ในความสงบ ไม่มีใครว่ากัน แต่ไอ้นี่ชักก้าวร้าว ถึงขนาดว่าไม่รู้เรื่องละ เอาละ ลุยละ บุกทำเนียบแล้ว มันเรื่องอะไรกัน แล้วมาเรียกร้องให้ผมลาออก แก้ปัญหาของชาติไม่ได้ ชาติหน้าสายๆ น่ะครับ ผมมาโดยประชาชนเกือบ 19 ล้านคนเลือกมานะครับ อยู่ๆ จะให้คนไม่กี่พันคนมาบอกให้ลาออก แล้วบอกว่าแก้ปัญหาของชาติไม่ได้ คงไม่ได้…
…ผมก็ไม่เข้าใจ อยู่ๆ มาถึงก็เย้วๆๆ เอ็งเป็นใคร อันนี้ต้องขอร้องเลยนะ ขอร้องเถอะ ทำไม่เป็นไร ประท้วงได้ ประชาธิปไตยมีความหลากหลาย แต่ไม่ใช่มาทำลักษณะบุกพังประตูทำเนียบ บุกเข้ามายามวิกาล แน่จริงทำไมไม่ทำกลางวัน ทำทำไมกลางคืน ไอ้นี้มันไม่ถูก ใช้ไม่ได้ อันนี้ก็ต้องขอกันว่า หยุดได้แล้ว พฤติกรรมอย่างนี้ ใครเป็นลูกเป็นเมีย อะไรก็ฉุดๆ ไว้หน่อยเถอะ มันเสียหาย แล้ววันนี้เป็นวันเด็ก เป็นวันที่เด็กเขาอยากจะมาชื่นชมทำเนียบรัฐบาล พวกคุณเป็นใคร มาถึง โอ้โฮ ทำตัวเหมือนเป็นผู้รักชาติ คุณรักชาติถูกทางหรือเปล่า คุณเข้าใจไหม ปัญหาของชาติคืออะไร...” [3]
ในบทความ “แกะรอยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย: ผู้ออกบัตรเชิญให้คณะรัฐประหาร” ของ ‘ธนาพล อิ๋วสกุล’ เคยวิเคราะห์ผลการนำชุมนุม 13 ม.ค. 2549 ของสนธิเอาไว้ว่า
“ความผิดพลาดครั้งสำคัญในการยกพล “บุกทำเนียบ” ในคืนศุกร์ที่ 13 มกราคม 2549 ทำความเสียหายต่อขบวนเป็นอย่างมาก จนทำให้สนธิต้อง “หาทางลง” โดยการนัดชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 การชุมนุมครั้งนี้เดิมที่คิดว่าจะเป็นการชุมนุมครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นการสั่งลา แต่ทักษิณกลับ “ทิ้งไพ่โง่” ด้วยการขายหุ้นชินคอร์ปในวันที่ 23 มกราคม 2549 ซึ่งเป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่นับถอยหลังทักษิณ เพราะก่อนหน้านั้นทักษิณโดนข้อหาทำลายสถาบันกษัตริย์ (การไม่เคารพ/กระด้างกระเดื่อง) ทำลายศาสนา (การแต่งตั้งสังฆราชองค์ที่ ) และสุดท้ายคือ การทำลายชาติ (การขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ แถมยังไม่จ่ายภาษีแม้แต่สตางค์แดงเดียว [ตัวหนาเน้นอยู่แล้วในบทความของธนาพล]
หลังจากนั้นสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่จะต่อสู้กับทักษิณได้กลับมีราคาขึ้นมาทันใด การชุมนุมวันที่ 4 กุมภาพันธ์ แทนที่จะเป็นการหาทางลงกลับเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของสนธิ” [4]
ชุมนุม “กู้ชาติ” 4 กุมภาพันธ์
ผู้ชุมนุม “กู้ชาติ” ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อ 4 ก.พ. 2549
บรรยากาศการชุมนุม “กู้ชาติ” เริ่มตั้งแต่เวลา 16.30 น. เริ่มมีประชาชนสวมเสื้อสีเหลืองทยอยร่วมชุมนุม และเริ่มแน่นพื้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า มีบรรดา ส.ว. “สายเอ็นจีโอ” ได้เดินทางเข้ามาร่วมชุมนุมครั้งนี้ประกอบด้วย นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ว.อุบลราชธานี นายการุณ ใสงาม ส.ว.บุรีรัมย์ นายวงศ์พันธุ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ส.ว.พังงา นายสมบูรณ์ ทองบุราณ ส.ว.ยโสธร นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และนายวิญญู อุฬารกุล ส.ว.สกลนคร [5] โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม ส.ว. ที่เคยเข้าร่วมฟังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรและเมื่อ 13 ม.ค. เคยร่วมกับสนธิพาผู้ชุมนุมบุกทำเนียบรัฐบาลจนคุมสถานการณ์ไม่ได้
เวลา 17.00 น. สนธิ ลิ้มทองกุล และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ซึ่งอยู่ในชุดกางเกงและเสื้อยืดสีขาว โพกหัวด้วยผ้าขาวเขียนคำว่ากู้ชาติ เดินทางมาถึงบริเวณชุมนุม โดยเดินฝ่าฝูงชนและช่างภาพจำนวนมากไปยังเวทีปราศรัย ท่ามกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับของผู้ที่มาชุมนุม โดยมีผู้ถือธงรูปหนุมานอาสาเดินขึ้นไปปักธงบนเวทีปราศรัย โดยธงดังกล่าวเป็นธงของคนที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนครศรีธรรมราช นำมามอบให้นายสนธิเมื่อครั้งเดินทางไปจังหวัดนครศรีธรรมราช
ก่อนการปราศรัย นายสนธิได้ตีระฆังใบใหญ่ซึ่งนำมาจากวัดชนะสงคราม เพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย พร้อมทั้งปราศรัยโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งยังชวนประชาชนที่มาชุมนุม ตะโกน “ทักษิณ ออกไป” ลั่นบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า
เนื้อหาของการปราศรับ นายสนธิกล่าวย้ำหลายครั้งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ที่จาบจ้วงพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวหลายๆ กรณี เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ถ้าเขาเข้าใจ ต้องลาออกไปแล้ว เพราะวันนั้นพระองค์สั่งสอนว่าทำอะไรผิดไปบ้าง ถ้าคนมียางอาย ต้องขอเข้าไปกราบทูลลาออกแล้ว
ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวผ่านรายการ “นายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน” ทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ช่วงหนึ่งของรายการ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า
“...วันนี้ผมรู้ครับว่าคนส่วนใหญ่ยังอยากให้ผมทำงาน เพราะฉะนั้นผมลาออกไม่ได้ ผมทรยศกับคนที่ต้องการให้ผมทำงานไม่ได้ ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่เอาผม อีกเรื่องหนึ่ง คนที่จะให้ผมออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ไม่ต้องหลายคนครับ คนเดียวให้ออกได้เลย นั่นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งคำเดียวเท่านั้น ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่นอนครับ ผมไม่ติดยึดหรอกครับ…” [6]
เรื่องนี้ย่อมกลายเป็นประเด็นเรียกผู้ชุมนุมมาร่วมชุมนุม และสนธิย่อมไม่พลาดที่จะนำมาใช้เล่นงาน ทักษิณ ทันที โดยเขาเพิ่มคำว่า “กระซิบที่หู” เข้าไปด้วย โดยปราศรัยว่า
“ไอ้คนที่จาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัว ไม่รู้จักเงาตัวเอง ทะลึ่งนึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนพระเจ้าอยู่หัว มาพูดออกมาได้ยังไง บอกว่าถ้าพระเจ้าอยู่หัวจะให้มันออกก็กระซิบที่หู มันก็จะออกเอง”
นอกจากนี้ยังเรียกหา “ทหาร” ให้จับทักษิณ “ยิงเป้า”
“ทหารอยู่ที่ไหน ทหารอยู่ที่ไหน ลำพังพูดแค่นี้ก็จับมันยิงเป้าได้แล้ว”
สนธิยังปราศรัยแสดงความไม่พอใจที่สถานีโทรทัศน์ อสมท. หรือโมเดิร์นไนน์ ที่รายงานว่ามีผู้ชุมนุม 1,500 คน โดยนายสนธิได้กล่าวปราศรัยโจมตีผู้บริหารอย่างรุนแรง และว่า “เอากะเทยมาบริหารองค์กรได้ยังไง” [7]
นอกจากนี้ สนธิยังกล่าว “สัจจะวาจา” อันลือลั่น ว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง เขาระบุว่าจะไม่รับตำแหน่ง ส.ว. ส.ส. ขอเป็นแค่ “ยามรักษาแผ่นดิน” และ “คณะกรรมการยึดทรัพย์”
“พ่อแม่พี่น้อง ไม่ต้องกังวล ผมจะกล่าวสัจจะวาจาวันนี้ ต่อหน้าองค์สมเด็จรัชกาลที่ 5 เสด็จพ่อ ผมจะไม่มีวันรับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ลง ส.ว. ไม่ลง ส.ส. ให้ตำแหน่งอะไรก็ไม่เอา ขอเป็นแค่ยามรักษาแผ่นดิน แต่มีข้อแม้ ถ้าเขาตั้งให้เป็น 1 คน ในคณะกรรมการยึดทรัพย์ พ่อแม่พี่น้องจะให้ผมรับไหม
(ผู้ชุมนุม) – ให้
ตกลงกันแล้วนะ ถ้าผมอยู่ ได้อยู่ในคณะกรรมการยึดทรัพย์ ให้ผมเข้าไหม
(ผู้ชุมนุม) – ให้เข้า
เราพูดกันรู้เรื่องแล้วนะ พ่อแม่พี่น้อง ถ้าผมลงสมัคร ส.ว. รับตำแหน่งรัฐมนตรี ผมพูดไว้แล้วกี่ครั้ง ผมพูดต่อ ผมพูดย้ำ ผู้ชายเจอหน้าผมที่ไหน ถุยน้ำลายใส่หน้าผม ผู้หญิงเจอหน้าผมที่ไหน ถอดรองเท้าตบหน้าผมได้ วันนี้มาด้วยจิตที่บริสุทธิ์ อะไรก็ไม่ต้องการ ต้องการการเมืองที่สะอาด ต้องการ ส.ส.-ส.ว.ที่ดีๆ เหมือน ส.ว.ที่เมื่อกี้เอ่ยชื่อมา ท่านการุณ ใสงาม หมอนิรันดร์ คุณวิญญู เราต้องการนักการเมืองแบบนี้ เราต้องต่อสู้เพื่อต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง พ่อแม่พี่น้องโกง 1 บาท ยังไม่ยอมเลย นับประสาอะไรโกงหมื่นล้าน การโกงชาติ โกงบ้าน โกงเมืองนั้นคือการทำลายรากฐานของสังคม พ่อแม่พี่น้อง คนเราถ้ามันซุกหุ้นได้ มันหนีภาษีได้” [8]
สัจจะวาจานี้เองที่ทำให้สนธิต้องตัดสินใจหนักหากคิดจะรับตำแหน่งทางการเมืองใน ‘พรรคการเมืองใหม่’ พรรคการเมืองที่ตั้งโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ถวายฎีกาที่บ้านสี่เสาฯ
สนธิอ่านฎีกา (ที่มา: บันทึกภาพจาก ASTV)
การถวายฎีกาที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล (ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์)
การถวายฎีกาที่พระบรมมหาราชวังโดยจิตตนาถ ลิ้มทองกุล และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ในภาพเป็นการเดินทางออกมาหลังถวายฎีกาแล้ว (ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์)
โดยในช่วงท้ายของการปราศรัย สนธิ ได้อ่านคำถวายฎีกาที่จะนำไปมอบให้แก่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยใช้เวลาอ่านคำถวายฎีกาประมาณ 40 นาที [9]
โดยสรุปสาระของคำถวายฎีกาที่สนธิอ่านมีสาระสำคัญ 5 ประเด็น คือ 1. วิกฤตการณ์ทางการเมืองและการบิดเบือนระบอบประชาธิปไตย 2. การฉ้อราษฎร์บังหลวง กอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้องผ่านโยบายสาธารณะ มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการใช้อำนาจบริหาร 3. ขายทรัพยากรและสิทธิประโยชน์ของชาติ มุ่งประโยชน์ตัวโดยขาดจริยธรรรม 4. วิกฤตการณ์ศาสนาและจริยธรรม 5. ขาดความรู้ความเข้าใจ ทำให้ปัญหาวิกฤตสามจังหวัดภาคใต้ลุกลามบานปลาย (ดูรายละเอียดของฎีกาที่ภาคผนวก)
ในบทความ “แกะรอยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย: ผู้ออกบัตรเชิญให้คณะรัฐประหาร” ของ ‘ธนาพล อิ๋วสกุล’ ระบุว่า เหตุผลข้อ 3 ในฎีกา ดูเหมือนจะโดนใจผู้ร่วมชุมนุมมากที่สุด โดยสนธิให้เหตุผลว่า
เหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การขายหุ้นบริษัทของตนเองที่เติบโตขึ้นจากทรัพยากรของประเทศชาติ ให้แก่เอกชนที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลต่างชาติ โดยอาศัยช่องว่างของกฎหมายหลีกเลี่ยงภาษีอากร การกระทำดังกล่าวทำไปโดยมิได้คำนึงว่าธุรกิจดังกล่าวรัฐบาลในอดีตได้อนุมัติ ให้ก็เพื่อประสงค์จะให้เป็นธุรกิจของคนไทย ทั้งยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานตราพระครุฑพ่าห์ที่มีจารึกว่า “โดยได้รับพระบรมราชานุญาต” เพื่อใช้ในกิจการของบริษัทฯ ทั้งยังพระราชทานนามดาวเทียมให้ว่า “ไทยคม” และทรงโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นสักขีพยานในวันที่ดาวเทียมไทยคมดวงแรกยิงขึ้นสู่วงโคจรของโลกเมื่อ ปีพ.ศ. 2536 ณ ประเทศเฟรนซ์กิยาน่า การขายหุ้นดังกล่าวยังทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียทรัพยากรและสิทธิประโยชน์ ด้านความมั่นคง คือ จุดพิกัดดาวเทียม และคลื่นความถี่วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคมออกไปให้แก่ต่างชาติอีกด้วย” [10]
ช่วงท้ายของคำถวายฎีกา ระบุว่า
“ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอกราบบังคมทูลถวายฎีกาต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เพื่อทรงพระกรุณาปัดเป่าทุกข์ยากของอาณาประชาราษฎร์ อันเกิดจากน้ำมือของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สุดแท้แต่พระองค์จะทรงพระกรุณาวินิจฉัย” [11]
จากนั้นเป็นขั้นตอนการเดินทางไปถวายฎีกา โดยเส้นทางการถวายฎีกาของสนธิ ไม่ได้ไปที่พระบรมหาราชวังแต่เพียงแห่งเดียว แต่แบ่งเป็น 2 ขบวน
ขบวนแรก นายสนธิ นำ ส.ว. และนักวิชาการจำนวนหนึ่งเป็นตัวแทนเดินเท้าจากลานพระบรมรูปทรงม้า สู่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อถวายฎีกาแสดงความทุกข์ร้องของบ้านเมืองภายใต้การบริหารของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ส่วนอีกขบวน นำโดย น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ พร้อมด้วยนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายนายสนธิ และประธานกรรมการบริหารเครือผู้จัดการ ได้นำ ส.ว. และนักวิชาการอีกขบวนเดินทางไปพระบรมมหาราชวัง เพื่อนำฎีกามอบให้แก่เลขานุการองคมนตรี
โดยเว็บไซต์ผู้จัดการบันทึกบรรยากาศการเคลื่อนขบวนถวายฎีกาของนายสนธิว่า “มีการโรยกลีบกุหลาบตลอดเส้นทาง และมีการร้องตะโกน “ทักษิณ ออกไป” เป็นระยะๆ” [12] และ “มีการรักษาความปลอดภัยอารักขาขบวนของนายสนธิอย่างแน่นหนา โดยมี พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผบช.น.เป็นคนเดินนำหน้า โดยมีนายตำรวจระดับสูงเดินตาม ประกอบด้วย พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น, พล.ต.ต.จรัมพร สุระมณี, พล.ต.ต.จิรสิทธิ์ มหินทรเทพ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล ผบก.จร., พล.ต.ต.ปราโมช ปทุมวงศ์ ผบก.น.1 และนายตำรวจระดับรองผู้บังคับการของกองบังคับการตำรวจนครบาล รวมทั้งนายตำรวจระดับสูง เดินคอยรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด นอกจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีรถนำขบวนของตำรวจจราจรนำขบวน ขณะที่ระหว่างสองข้างทางมีกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยปราบจลาจลเดินคอยรักษาความ ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา โดยตลอดเส้นทางการเดินทางนั้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย” [13]
โดยขบวนของนายสนธิเดินเท้าจากลานพระบรมรูปทรงม้า ถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เมื่อเวลา 21.20 น. และนายสนธิเข้าไปในบ้านพักของ พล.อ.เปรม เพียงลำพังเป็นประมาณ 10 นาที เพื่อถวายฎีกาผ่าน พล.อ.เปรม
ส่วนขบวนของ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ และนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือผู้จัดการ ได้เดินทางถึงพระบรมมหาราชวัง เมื่อเวลา 21.00 น. และได้นำฎีกาถวายผ่านราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง โดยมีนายธานินทร์ คงยั่งยืน เจ้าหน้าที่ราชเลขาธิการ สำนักพระราชวังเป็นผู้รับเรื่องและได้พูดคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่ประมาณ 15 นาที จึงกลับออกมา [14]
ฉายเดี่ยวต้านสนธิ
ชายนิรนามถือป้าย “นายกฯ เขาเป็นคนดี” กลางที่ชุมนุมกู้ชาติ เมื่อ 4 ก.พ. 2549
(ที่มา: บันทึกภาพจาก ASTV)
ขณะที่กลุ่มบุคคลต่างๆ ทั้งกองทัพ นักกฎหมาย นักวิชาการ ข้าราชการ องคมนตรี ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการถวายฎีกาของคนเสื้อแดง ขณะที่ชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ รมว.กระทรวงมหาดไทย ระดมชื่อทั่วประเทศเพื่อต้านการถวายฎีกาของคนเสื้อแดง แต่การถวายฎีกาของสนธิ ลิ้มทองกุล ในปี 2549 ไม่ปรากฏขบวนการคัดค้านการถวายฎีกาของสนธิ นอกจากการให้สัมภาษณ์โต้ตอบผ่านสื่อระหว่างฝ่ายสนธิกับฝ่ายรัฐบาลไทยรักไทย ขณะที่ในการชุมนุม 4 ก.พ. 2549 ก็มีผู้ออกมาคัดค้านการชุมนุมของสนธิเช่นกัน แต่เป็นเพียงคนธรรมดาๆ และปรากฏอยู่ไม่กี่บรรทัดในหน้าข่าว
โดยระหว่างการปราศรัยช่วงแรกของนายสนธิ ได้มี ‘ชายไม่ทราบชื่อ’ สวมเสื้อสีขาวยืนถือป้ายกระดาษหันมาทางเวทีปราศรัยเขียนว่า “นายกฯ เขาเป็นคนดี” ทำให้นายสนธิหยุดปราศรัยและว่า “คุณกำลังยืนบังเขา ถ้าคุณจะชูป้าย คุณรับจ้างเขามาชู มาชูข้างหน้านี้เลยดีกว่า” และห้ามไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปมีเรื่องกับชายคนดังกล่าว และขอร้องให้ตำรวจควบคุมตัวชายคนนี้ออกจากที่ชุมนุม [15] นอกจากนี้ก็มี นายทวี ไกรคุปต์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและมีลูกสาวเป็น ส.ส.พรรคไทยรักไทย จ.ราชบุรี ซึ่งนายทวีเดินทางมาฟังการปราศรัยของนายสนธิด้วย และอยู่ๆ ก็ปีนเข้าไปในเขตพระราชฐานซึ่งเป็นเขตหวงห้าม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 20 นายได้เข้าล้อม และพูดกล่อมให้ออกมา แต่นายทวีตอบโต้ว่าเป็นสิทธิของตน และถ้าตำรวจต้องการจะจับให้เข้ามาจับได้เลย [16]
ทวี ไกรคุปต์ ผู้นี้ ต่อมาหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้ร่วมกับ ร.ต.ฉลาด วรฉัตร และเพื่อนอีก 2-3 คน ไปอดข้าวประท้วงการรัฐประหารที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที 20 ก.ย. 2549 โดยทวีได้เขียนป้ายว่า “อดข้าวประท้วงผู้ล้มล้างประชาธิปไตย ทำให้บ้านเมืองถอยหลังและแตกแยก” ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกทหารหน่วย ร.1 พัน. 1 รอ. กว่า 20 นาย จะควบคุมตัวขึ้นรถตู้สีขาว เนื่องจากฝ่าฝืนกฎอัยการศึกในขณะนั้น ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน
เรียกหาทหาร - เข้าพบ ‘พล.อ.สนธิ’
หลังจากยื่นถวายฎีกาผ่าน พล.อ.เปรม และที่พระบรมหาราชวังแล้ว ทั้งสนธิ และสโรชา ได้กลับมาปราศรัยกับผู้ชุมนุมเพื่อเล่าเหตุการณ์การยื่นถวายฎีกาให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมฟัง โดยสโรชากล่าวว่าได้นำฎีกาไปยื่นที่สำนักพระราชวัง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รอรับในเวลา 21.00 น. แม้ว่าตามปกติจะปิดในเวลา 16.00 น.
ส่วนนายสนธิได้นำจดหมายร้องเรียนไปยื่นที่บ้านของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยมีพล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป ออกมารับเข้าไปในบ้านพักสี่เสาฯ ขณะที่ตัว พล.อ.เปรม ได้รับเชิญจากพล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีตผบ.ทบ. ไปงานศพ จึงไม่ได้อยู่ต้อนรับ
หลังจากนั้นนายสนธิ ได้กล่าวขอกราบพระราชทานอภัยโทษที่ได้อ่านฎีกาด้วยน้ำเสียงที่ไม่สำรวม พร้อมกับแจ้งผู้ชุมนุมว่าจะร่วมกันจุดเทียนชัยถวายพระพรในเวลา 24.00 น.
นอกจากนี้ สนธิยังเรียกร้องให้ทหารออกมาแสดงจุดยืน
“ผมจะถามถึงทหารและข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทุกๆ หน่วย ทุกๆ เหล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารหาญทั้งหลาย ที่สาบานตน หลายๆ คนสาบานตนต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ไทย ที่เรามีนายกรัฐมนตรีที่เป็นนายกรัฐมนตรี ที่จาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัวฯ เราเยอะเหมือนกับนายทักษิณ ชินวัตร … อยากจะถามทหารทั้งหลาย ว่าพวกคุณมีความสุขอยู่แล้วหรือทุกวันนี้ คุณมีความสนุกสนานเหรอที่จะปล่อยให้คนอย่างนายทักษิณ ชินวัตร กระทำการจาบจ้วงไม่ว่าด้วยการกระทำหรือด้วยคำพูด
… ผมอยากให้ทหาร ตำรวจ ข้าราชการในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสดงจุดยืนหน่อยได้ไหมว่ายืนข้างประชาชน
…ทหารหาญทั้งหลาย ตำรวจที่รักประชาชน ไอ้ที่ได้นายพล มีกระบี่แตะบ่า สำเหนียกไว้ซะหน่อย ไม่ใช่รักพระเจ้าอยู่หัวฯ เฉพาะตอนได้รับสายสะพาย ไอ้พวกเราที่เหรียญเครื่องราชฯ ไม่เคยได้ แต่เรารักพระเจ้าอยู่หัวฯด้วยจิตบริสุทธิ์ สบายกันดีอยู่หรือ กองทัพบก สบายดีอยู่หรือ กองทัพอากาศ สบายดีอยู่หรือ กองทัพเรือ สบายดีอยู่หรือตำรวจ นักการเมืองอย่าไปสนใจมัน พ่อแม่พี่น้อง” [17]
สนธิยังใช้ช่วงปราศรัยครั้งนี้ ตอบโต้การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดกับศิษย์เก่าร่วมสถาบันของเขาที่ รร.มงฟอร์ต จ.เชียงใหม่ ในคืนวันที่ 4 ก.พ. ทำนองว่า ใครที่อยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าตอนนี้คือคนที่ไม่เคารพกติกา ถ้าสังคมไหนมีกุ๊ยเป็นผู้นำ มันคงอยู่ไม่ได้ และระบุว่าใครเห็นตนไม่ดีเป็นพวก “จ้าดง่าว” (โง่มาก) [18] โดยสนธิโต้ว่า
“กุ๊ยมันมาพูด เพราะว่ามึงกำลังปล้นชาติ ถึงกูเป็นกุ๊ย ก็เป็นกุ๊ยรักชาติ วันนี้พ่อแม่พี่น้องพวกเราเป็นทุกอย่าง เราเป็นหมา เราเห่าหอน เพราะเห็นโจรมาปล้นชาติ วันนี้เราเป็นกุ๊ยแต่เป็นกุ๊ยกับคนโกงแผ่นดิน วันดีคืนดีมันบอกว่าเราเป็นพวกเร่ร่อน เร่ร่อนหาความเป็นธรรม พ่อแม่พี่น้อง” [19]
ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะร่วมกันจุดเทียนและร้องเพลงสดุดีมหาราชา นายสนธิได้ถามความเห็นจากผู้ชุมนุมเพื่อเดินทางไปยื่นหนังสือกับ ผบ.ทบ. อีกครั้ง โดยผู้ชุมนุมต่างปรบมือแสดงความสนับสนุน
“พ่อแม่พี่น้อง ขอทบทวนพ่อแม่พี่น้องอีกทีหนึ่ง ว่าพ่อแม่พี่น้องเห็นด้วยกับผมมั้ย ที่จะรวบรวมเรียบเรียงส่งสารไปถึงบรรดาข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวฯ บรรดาทหารหาญทั้งหลาย ถามว่าพวกคุณยังสบายดีอยู่หรือเปล่าที่มีนายกฯ มาจาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างนี้ ถ้าเห็นด้วย ปรบมือดังๆ (ผู้ชุมนุมปรบมือยาว) อย่าหยุดพี่น้อง ปรบมือดังๆ ให้เขาได้ยิน (ผู้ชุมนุมปรบมือยาว) พ่อแม่พี่น้องพูดตามผมหน่อย ทหารอยู่ที่ไหน ทหารที่รักพระเจ้าอยู่หัวอยู่ที่ไหน ทหารอย่าหดหัว ออกมายืนข้างประชาชน ถึงเวลาจุดเทียนแล้วพ่อแม่พี่น้อง
โดยเวลา 00.03 น. นายประพันธ์ คูณมี ผู้ดำเนินรายการบนเวที แจ้งกับผู้ชุมนุมว่าจะยื่นหนังสือต่อผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพและหน่วย งานราชการทุกหน่วยให้ยุติการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
และเวลา 01.25 น. ของวันที่ 5 ก.พ. 2549 นายสนธิและผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเดินทางไปกองบัญชาการกองทัพบกเพื่อมอบจดหมายให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก โดยมีวัตถุประสงค์ให้ “ทหารปกป้องพระมหากษัตริย์ตามแต่เห็นสมควร” โดยมีเลขานุการ ผบ.ทบ.เป็นผู้ออกมารับแทน ก่อนที่จะเชิญ"สนธิ-สโรชา-ประพันธ์ คูณมี" เข้าพบที่ห้องรับรองและมีการพบกับ พล.อ.สนธิ [20]
และในเวลา 02.40 น. - นายประพันธ์ คูณมี เป็นตัวแทนนายสนธิ ขึ้นเวทีรายการผลการเดินทางไปยื่นหนังสือ ต่อ ผบ.ทบ. ช่วงก่อนหน้านั้น โดยนายประพันธ์กล่าวว่านายสนธิ ได้รับเชิญเข้าไปสนทนากับพล.อ.สนธิ เกี่ยวกับปัญหาของบ้านเมืองจากการบริหารของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งแจ้งถึงพฤติกรรมจาบจ้วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพ.ต.ท.ทักษิณ หลายครั้ง
เขาย้ำว่า ได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งจากทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถ้าบ้านเมืองนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง ประชาชนจะต้องจดจำชื่อคนชื่อ สนธิ 2 คน คือ สนธิ ลิ้มทองกุล และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน [21]
และแล้วในวันที่ 19 ก.ย. ประชาชนก็ได้จดจำชื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร!
สนธิประกาศ “ชัยชนะ 4 ประการ”
ต่อมาเวลา 06.50 น. วันที่ 5 ก.พ. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ปราศรัยปิดท้ายประกาศชัยชนะ 4 ประการ ในการชุมนุม “กู้ชาติ” โดยระบุว่าหนึ่งในชัยชนะสำคัญคือการเข้าพบ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ. ทั้งที่ไม่อยู่ในกำหนดการก่อนหน้านี้ และยังระบุว่าชนะเนื่องจาก “เดินทางไปถวายฎีกาที่สำนักราชเลขาฯ สำนักพระราชวัง เปิดที่ทำการให้เราถึง 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม เชิญเราเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย ลงเลขให้เราเรียบร้อย” ที่ทำเช่นนี้ได้ นายสนธิอ้างว่า “แสดงว่า ได้มีการเตรียมการมาก่อนแล้วภายใน ข้างใน ที่ต้องการให้รับฎีกาพวกเราให้ได้”
"พ่อแม่พี่น้องอันเป็นที่รักของพวกผม เรามาร่วมอุดมการณ์ในวันนี้ วันนี้จริงๆ แล้วเราชนะไปแล้ว ผมจะบอกให้เราชนะตรงไหน เราชนะตรงที่ว่า เราได้เดินทางไปถวายฎีกาที่สำนักราชเลขาฯ สำนักพระราชวัง เปิดที่ทำการให้เราถึง 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม เชิญเราเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย ลงเลขให้เราเรียบร้อย ที่ทำเช่นนี้แสดงว่า ได้มีการเตรียมการมาก่อนแล้วภายใน ข้างใน ที่ต้องการให้รับฎีกาพวกเราให้ได้ เพราะว่าถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะบอกว่ามาถวายวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เพราะปิดทำงาน 4 โมงเย็น
ชัยชนะครั้งที่ 2 คือ การที่เราได้ทำจดหมายร้องต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธานองคมนตรี ถึงท่านจะถูก พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ซึ่งต้องถือว่าเป็นคนของนายทักษิณ ชินวัตร เพราะรับใช้นายทักษิณ ชินวัตร พาไปงานศพแห่งหนึ่ง แต่ท่านพูดด้วยความเป็นห่วง ท่านสั่งให้ พล.ร.ท.พระจุณณ์ เชิญผมเข้าไปในบ้าน เพื่อที่จะรับจดหมายร้องทุกข์ แทนที่จะรับหน้าบ้าน แล้วก็ไปพูดคุยกัน
ชัยชนะครั้งที่ 3 ที่สำคัญที่สุด สำคัญมากๆ สำคัญพอๆ กับชัยชนะครั้งที่ 4 คือ การที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยินดีที่จะรับผม คุณสโรชา และคุณประพันธ์ คูณมี เข้าไปในห้องรับรอง แล้วให้ผมเล่าถึงความชั่วร้ายของการจาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัวของนายทักษิณ ชินวัตร ผมเรียกคนๆ นี้ ว่า นายทักษิณ ชินวัตร ผมไม่เรียก พ.ต.ท.เหตุผลเพราะว่า เขาได้รับพระราชทานยศเป็น พ.ต.ท.แต่เขาจาบจ้วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะฉะนั้นคนๆ นี้ ไม่มีสิทธิที่จะใช้คำว่า พ.ต.ท.
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และคณะ ได้รับฟังคำอธิบายของผมถึงการจาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัว ของนายทักษิณที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัว หลายๆ เรื่อง รับฟังอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ทุกคนซึ่งเป็นคณะทำงานของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ตลอดจนตัวท่านเอง แสดงทีท่าออกมาด้วยความเข้าใจ เห็นใจพวกเรา และยืนอยู่ข้างเรา และท่าน
ท่านเดินพาผมออกมาเพื่อส่งที่หน้าประตู โดยที่ท่านไม่สนใจว่าสายลับนายทักษิณ จะแจ้งนายทักษิณไปว่า พล.อ.สนธิ มาต้อนรับ นายสนธิ เพราะถ้า พล.อ.สนธิ ยืนอยู่ข้างนายทักษิณแล้ว ไม่ยืนอยู่ข้างประชาชน เขาจะไม่ยินดีที่จะต้อนรับให้ผมเข้าไปข้างในแล้วพบเขา และเขาจะไม่เดินมาพบผม เขาจะส่งแค่ทหารคนหนึ่งมารับเฉยๆ แต่การที่เขาส่งผมออกมา แล้วในช่วงที่จับมือ ยกมือไหว้ลากัน ผมถามว่า ท่านจะยืนข้างประชาชนหรือเปล่า เขาพยักหน้า ผมจะยืนข้างประชาชน เพราะผมเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว ก็อยากให้นายทักษิณ และสายลับได้รู้ว่าผมกับท่านได้คุยอะไรกันเป็นส่วนตัว นั่นคือสิ่งที่ผมกับท่านได้คุยกันเป็นส่วนตัว เพราะฉะนั้นแล้วนั่นคืออีกชัยชนะหนึ่ง
ชัยชนะสุดท้าย เป็นชัยชนะของพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่อยู่ในที่นี้ วันนี้เราได้พิสูจน์ เราได้พิสูจน์ไอ้พวกกเฬวราก ไอ้พวกบัดซบทั้งหลาย เราได้พิสูจน์ว่า พวกเราคือพวกที่ศิวิไลซ์ มีวัฒนธรรม เรามาชุมนุมกันอย่างสันติ ใช่ไม่ใช่พ่อแม่พี่น้อง เราไม่มีเรื่องมีราวกับใครเลย เรามาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของเรา ถ้าโคตรพ่อโคตรแม่มันไม่ส่งคนมากวนก็ไม่มีเรื่อง ใช่ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น นี่คือชัยชนะของเสรีชนที่แท้จริง” [22]
โดยนายสนธิได้นัดให้มีการชุมนุมอีกครั้ง เมืองไทยรายสัปดาห์ภาคพิเศษ ปิดบัญชีทักษิณ ในวันที่ 11 ก.พ. 2549 โดยจะเริ่มกิจกรรมตั้งแต่ 16.00 น. และเลิกราวห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน ซึ่งจุดนี้จะเปลี่ยนรูปแบบการ “นำเดี่ยว” มาเป็นการ “นำรวมหมู่”
เป็นการขับไล่ทักษิณในนามของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” และเป็นจุดกำเนิดของการ “ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7”!
000
(ภาคผนวก)
ฎีการ้องทุกข์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
4 กุมภาพันธ์ 2549
อ่านโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
เมื่อ 4 ก.พ. 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
“ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า เหล่าพสกนิกรผู้มีรายนามข้างท้ายนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบถึงความทุกข์ร้อนของ แผ่นดิน ที่สำคัญและร้ายแรงยิ่ง อันเนื่องมาจากการบริหารราชการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งนับวันแต่จะทำให้ประเทศชาติและสังคมไทยเสื่อมทรุด ก่อให้เกิดวิกฤตอันใหญ่หลวงหลายด้านแก่บ้านเมืองอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชน ชาวไทยทั้งชาติ
วิกฤตที่เกิดขึ้นกินอาณาบริเวณรอบด้าน ไม่เฉพาะแต่ทางการเมืองเท่านั้น หากแต่รวมทั้งทางสังคม ทางจริยธรรม และทางเศรษฐกิจ กับทั้งเป็นวิกฤตที่ไม่อาจขจัดปัดเป่าได้ด้วยกลไกของระบอบการเมืองปัจจุบัน ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เพราะตลอดระยะเวลา 4 - 5 ปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีท่านนี้ได้ดำเนินกรรมวิธีต่างๆ ทำลายกลไกในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐไปเสียสิ้น เป็นเหตุให้ตลอดปี 2548 ประเด็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยได้รับการหยิบยกขึ้น มาอภิปรายในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง ในลักษณะไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังความทราบใต้เบื้องพระยุคลบาทแล้ว
แม้สถานการณ์ของชาติบ้านเมืองในเวลานี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกระบวนการแก้ไขปรับปรุงรายละเอียดของรัฐธรรมนูญ ครั้งใหญ่ แต่นายกรัฐมนตรีท่านนี้ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ครองเสียงข้างมากเด็ด ขาดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 313 ก็หาได้นำพาไม่
ประชาชนคนไทยได้ต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย โดยหวังว่าจะสามารถขจัดและลดปัญหาเรื้อรังหลายประการที่บั่นทอนความผาสุกของ อาณาประชาราษฎร์ มาเป็นเวลาช้านาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาความยากจนและการฉ้อราษฎร์บังหลวง ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายและพสกนิกรทุกคนเคยเชื่อมั่นว่า ระบอบประชาธิปไตยจะช่วยเหนี่ยวรั้งการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก ตลอดจนปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และสิทธิเสรีภาพของประชาชน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ที่ระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทุกระดับ
แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่
เพราะนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีท่านนี้ได้อำนาจเข้ามาบริหารประเทศ ก็ได้กระทำทุกวิถีทางที่จะรวบอำนาจเข้าสู่ตัวเองควบรวมเอาพรรคการเมืองต่างๆ โดยใช้อำนาจกลไกรัฐที่อยู่ในมือ หรือแลกด้วยผลประโยชน์ กดดันให้พรรคการเมืองต่างๆ ต้องจำยอม เมื่อสามารถรวบอำนาจครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้โดยเบ็ดเสร็จเด็ด ขาดแล้ว ก็ดำเนินการครอบงำวุฒิสภา และองค์กรอิสระต่างๆ อาทิ ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฯลฯ เพื่อทำให้องค์กรอิสระต่างๆ ขาดประสิทธิภาพที่จะตรวจสอบหรือทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อตรวจสอบการทุจริต ประพฤติมิชอบของผู้มีตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาล
ขณะเดียวกัน ก็ดำเนินการครอบงำปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน และประชาชน ในการแสวงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์และถ่วงดุลตรวจสอบผู้บริหารประเทศ ต่อการกระทำและการใช้อำนาจโดยมิชอบ
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของประชาชน ถูกครอบงำทำลายลงจนสิ้น สภาพการเมืองการปกครองในปัจจุบันได้กลายสภาพเป็นระบอบเผด็จการรวบอำนาจ โดยมีนายกรัฐมนตรีท่านนี้แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ตัดสินใจได้ทุกเรื่อง โดยไม่ต้องฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชนเจ้าของประเทศ
ภายใต้สภาพการเมืองดังกล่าว และด้วยการรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลุ่มการเมืองและพรรคพวกของนายกรัฐมนตรีท่านนี้ ได้อาศัยอำนาจและตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองที่ได้รับอาณัติจากประชาชน สร้างความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญบังหน้า ตั้งหน้าตั้งตากอบโกย โกงกิน ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง อย่างมโหฬารที่สุดชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อน จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กล่าวถึงว่าเป็นรัฐบาลโกงทั้งโคตร หรือโคตรานุวัตร
นายกรัฐมนตรีท่านนี้ได้อาศัยตำแหน่งหน้าที่ ริเริ่มนโยบายเศรษฐกิจผ่านการติดต่อกับรัฐบาล และเอกชนในต่างประเทศ แสวงประโยชน์ให้แก่บริษัทของตนเองและพรรคพวก อาทิเช่น
การนำสายการบินต่างชาติที่ตนเป็นหุ้นส่วนเข้ามาดำเนินการแข่งกับสายการบินแห่งชาติ
การยอมแลกสิทธิการบินของประเทศ และการสั่งการให้สายการบินแห่งชาติเปิดเส้นทางการบินใหม่ทั้ง ๆ ที่เส้นทางนั้นต้องขาดทุนอย่างมหาศาล เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ทางการค้าของตนและพรรคพวก
การเร่งเจรจาการค้าทวิภาคีกับรัฐบาลประเทศต่างๆ โดยปราศจากการศึกษาและการเตรียมการรองรับผลเสียอย่างรอบคอบ หากมุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ทางการค้าของตนและพรรคพวก และธุรกิจบางแขนง โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์และวิถีชีวิตของเกษตรกร ตลอดจนประชาชนชาวไทยทั้งมวล
การถ่ายโอนระบบการศึกษาของชาติเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
การละเลยเมินเฉยต่อการแก้ปัญหาหนี้สินภาคเกษตรกร
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจอันถือเป็นสมบัติของคนไทยทั้งชาติ นายกรัฐมนตรีท่านนี้ก็ปล่อยให้ดำเนินไปโดยขาดความโปร่งใส ส่อไปในลักษณะเอื้อประโยชน์แก่ตนและพรรคพวก ทั้งเปิดทางให้ต่างชาติที่กลุ่มการเมืองของตนมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้อง ทั้งทางตรง และทางอ้อม เข้ามาแสวงหาประโยชน์ท่ามกลางความกังขาและหดหู่ใจของประชาชนชาวไทยทั้งชาติ ที่ต้องแบกรับภาระจากการขึ้นค่าบริการไปพร้อมกับการสูญสมบัติของชาติ
และ ฯลฯ
นอกจากจะมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางขายสมบัติชาติ เปิดทางให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ประเทศในโครงการยักษ์ต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการอย่างรีบเร่งแล้ว ตลอดระยะเวลา 4 - 5 ปีที่ผ่านมาภายใต้การบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีท่านนี้ ล้วนแต่เต็มไปด้วยเรื่องการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ และกำหนดนโยบายในลักษณะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ลักษณะทุจริตเชิงนโยบาย อาทิเช่น
การยกเว้นภาษีบางประเภทให้กับธุรกิจของกลุ่มบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด
การเปลี่ยนแปลงการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน ของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
การจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดอิเล็กทรอนิกส์ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ
การประมูลโครงการก่อสร้างต่างๆ ในสนามบินสุวรรณภูมิ
การทุจริตในโครงการปลูกยางพารา
การสร้างโรงงานยาสูบแห่งใหม่
การพยายามซื้อเครื่องบินขับไล่จากรัสเซีย
และ ฯลฯ
จึงกล่าวได้ว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีการทุจริตฉ้อราษฎร์บัง หลวงมากที่สุด จำนวนผลประโยชน์และความเสียหายของชาติมโหฬารที่สุด อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
รวมทั้งล่าสุด การขายหุ้นบริษัทของตนเองที่เติบโตและมั่งคั่งขึ้นจากทรัพยากรของประเทศชาติ และสิทธิประโยชน์ที่รัฐหยิบยื่นให้ ทั้งโดยชอบธรรม และโดยฉ้อฉลจากการบริหารประเทศ ให้แก่เอกชนที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลต่างชาติ โดยอาศัยช่องว่างของกฎหมายหลีกเลี่ยงภาษีอากร โดยมิได้คำนึงว่าธุรกิจดังกล่าวรัฐบาลในอดีตได้อนุมัติให้ก็โดยประสงค์จะให้ เป็นธุรกิจของคนไทย เป็นความภาคภูมิใจของไทยทั้งชาติ ที่แม้แต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานตราพระ ครุฑพ่าห์ที่มีจารึกว่า “โดยได้รับพระบรมราชานุญาต” พระราชทานนามดาวเทียมให้ว่า “ไทยคม” และทรงโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นสักขีพยานในวันที่ดาวเทียมไทยคมดวงแรกยิงขึ้นสู่วงโคจรของโลกเมื่อ ปี พ.ศ. 2536 ณ ประเทศเฟรนซ์กิยาน่า แต่ก็หาทำให้นายกรัฐมนตรีท่านนี้สำนึกไม่
ในประเด็นนี้ ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเศร้าสลดและคับข้องใจในหมู่ประชาชนในรอบ 2 สัปดาห์มานี้อย่างชนิดสุดที่จะทนรับได้
ไม่เพียงเท่านั้น การขายหุ้นดังกล่าวยังทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียทรัพยากรและสิทธิประโยชน์ ด้านความมั่นคง คือ จุดพิกัดดาวเทียม และคลื่นความถี่วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคมออกไปให้แก่ต่างชาติอีกด้วย
กล่าวในทางสังคม ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมพื้นฐาน ล้วนถูกรื้อทำลายจนย่อยยับ ผู้คนทั้งหลายในบ้านเมืองต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลลัทธิบริโภคนิยมแบบไม่ลืม หูลืมตา เด็กและเยาวชนถูกวัฒนธรรมของโลกตะวันตกครอบงำ ศีลธรรมเสื่อมทรามตกต่ำ ประชาชนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เพราะผู้นำเป็นแบบอย่างและส่งเสริม ขาดการอดออมและประหยัด ขาดการส่งเสริมศีลธรรมคุณธรรมอันดีงาม แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงพระราชทานแนะนำ ก็หาได้รับความใส่ใจในทางปฏิบัติไม่
นายกรัฐมนตรีท่านนี้ยังรู้เห็นเป็นใจให้กับการก่อให้เกิดความแตกแยก ในหมู่พุทธศาสนิกชนและคณะสงฆ์ในประเด็นตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เป็นการใช้อำนาจทางการเมืองเข้าไปก้าวก่ายการบริหารพุทธศาสนา
นอกจากนั้นแล้ว นายกรัฐมนตรีคนนี้ได้ดำเนินนโยบายผิดพลาดอย่างมหันต์ในการบริหารราชการใน 3 จังหวัดภาคใต้ ก่อให้เกิดวิกฤตร้ายแรงที่สุดที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดน
นายกรัฐมนตรีคนนี้ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด เพราะขาดความรู้ความเข้าใจในงานด้านความมั่นคง และหลงเชื่อข้าราชการที่มีผลประโยชน์แอบแฝงในพื้นที่ ข้าราชการที่ดีและเป็นที่ยอมรับนับถือไว้วางใจของประชาชนถูกขจัดออกจาก ตำแหน่งหน้าที่ แก้ปัญหาด้วยวิธีการนอกกฎหมาย รู้เห็นเป็นใจกับการสั่งกำจัดชาวไทยมุสลิมผู้รักความเป็นธรรมเป็นจำนวนมาก นาย รวมทั้งนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความนักสิทธิมนุษยชนชาวไทยมุสลิม ทำให้เกิดความแตกแยก และนำมาซึ่งการใช้ความรุนแรงโต้ตอบอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ครั้นเมื่อสถานการณ์ลุกลาม นายกรัฐมนตรีก็มิได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและเอาใจ ใส่ ในประวัติศาสตร์ชาติไทย คนไทยพุทธกับคนไทยมุสลิมอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข แม้จะมีเหตุการณ์ที่ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ก็มิได้รุนแรงอย่างยืดเยื้อยาวนานเช่นนี้ สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติ ทำลายความสงบสุขในบ้านเมืองจนยากต่อการเยียวยาแก้ไข กล่าวได้ว่า ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ต้นตอของปัญหาล้วนมาจากนายกรัฐมนตรีท่านนี้ ตราบใดที่นายกรัฐมนตรีท่านนี้ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไป วิกฤตใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยากที่จะแก้ไขและหาความสงบสุขไม่ได้
สรุปได้ว่า สถานการณ์บ้านเมือง ณ ขณะนี้ ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยทั้งหลายได้ตกอยู่ภายใต้หายนะภัย อันใหญ่หลวง เกิดปัญหาวิกฤติอย่างร้ายแรงในทุกๆ ด้าน กินอาณาบริเวณกว้างขวาง กินลึกเข้าไปในทุกโครงสร้างของสังคมประเทศชาติ
สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก สุดที่จะเยียวยาแก้ไขได้ การที่จะอาศัยกลไกการแก้ไขทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญขจัดวิกฤตที่กำลังเกิด ขึ้นและดำรงอยู่ ภายใต้การครอบงำแทรกแซงของนายกรัฐมนตรีท่านนี้ เลือนราง สิ้นหวัง และหมดหนทางด้วยประการทั้งปวง เพราะกลไกทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญไม่อาจกระทำหน้าที่เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ ทางการเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยได้ เนื่องจากได้ถูกแปรเจตนาและแปรรูปให้เป็นเครื่องมือค้ำจุนอำนาจของนายก รัฐมนตรีท่านนี้ กับพวกพ้อง เป็นตราประทับนโยบายและการใช้อำนาจเพื่อการรักษาผลประโยชน์ของหมู่คณะเท่านั้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ และสื่อมวลชนที่รักชาติ ได้พยายามท้วงติงการกระทำอันมิชอบเหล่านี้ กระทั่งล่าสุดได้ทำหนังสื่อถึงนายกรัฐมนตรีท่านนี้ว่าหมดความชอบธรรมที่จะ ปกครองประเทศต่อไปแล้ว เพื่อเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ควรยุติบทบาทในฐานะนายกรัฐมนตรีตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก่อนที่จะฉุดลากประเทศไปถึงซึ่งความพินาศยิ่งไปกว่านี้ แต่ก็ไม่บังเกิดผล ตรงกันข้ามตลอดระยะเวลาการบริหารประเทศ 4 - 5 ปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีท่านนี้กลับอาศัยอำนาจที่มีอยู่ขจัดบุคคลเหล่านั้นไม่ให้สามารถ ดำเนินการท้วงติงคัดค้านได้ โดยอ้างความชอบธรรมจากการเป็นผู้นำพรรคการเมืองเสียงข้างมาก
การครอบงำสื่อมวลชน ทั้งโดยอำนาจรัฐ และโดยผลประโยชน์ทางธุรกิจและอามิสสินจ้างทั้งทางตรงและทางอ้อมนานัปการ เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางมากกว่ายุคใดๆ
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีท่านนี้ยังรู้เห็นเป็นใจกับการสั่งการให้ข้าราชการประจำภายใต้ อาณัติเข้ามาทำร้ายประชาชนที่ใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นโดยสันติตามกฎหมาย และยังมีนโยบายในลักษณะสร้างกองกำลังส่วนตัวขึ้นมาในหน่วยงานที่มีหน้าที่ พิทักษ์รักษาทรัพยากรของแผ่นดิน อันเป็นการบิดเบือนการใช้อำนาจรัฐที่แสดงถึงความเหิมเกริมลุแก่อำนาจอย่าง ถึงที่สุด
เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคการเมืองที่มีทุนทรัพย์มากมักอาศัยการซื้อเสียงเพื่อให้ได้ชัยชนะในการ เลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีคนนี้ใช้ทั้งอำนาจในตำแหน่งหน้าที่ และอำนาจเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คือการดำเนินนโยบายหาคะแนนนิยมจากประชาชนด้วย การให้เงินทุนในลักษณาการต่างๆ ทำให้เกิดความเคยชินในการรับประโยชน์ระยะสั้น บริโภคเกินตัว โดยไม่คำนึงถึงผลเสียระยะยาว เหมือนเอาฟางใส่เข้าไปในกองไฟ ไฟจะบรรเทาการลุกโชนชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานก็จะกลับมาลุกโชนต่อไป เพราะโครงสร้างที่ก่อให้เกิดวิกฤตยังไม่ได้รับการแก้ไข ที่สำคัญคือเงินเหล่านั้นล้วนมาจากภาษีอากรของประชาชน และเงินเพิ่มนอกงบประมาณที่มาจากนโยบายมอมเมาประชาชนให้ลุ่มหลงอยู่กับการ เสี่ยงโชคกับหวยต่างๆ ที่เพิ่มประเภทมากขึ้นในยุคนี้
นี่คือการทำลายทรัพยากรบุคคลของประเทศอย่างถึงราก
และนี่คือการทำลายแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงอย่างถึงรากเช่นเดียวกัน
แท้จริงแล้ว ความชอบธรรมในการปกครองมีอยู่ 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นความชอบธรรมจากการได้มาซึ่งอำนาจ โดยได้รับการสนับสนุนของประชาชนผ่านกระบวนการประชาธิปไตย อีกส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญกว่าส่วนแรก และเป็นส่วนที่ชี้ขาดความชอบธรรมอย่างแท้จริง คือ ความชอบธรรมอันเกิดจากผลการปฏิบัติงาน ซึ่งจะต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน
การที่นายกรัฐมนตรีคนนี้อาศัยอ้างแต่เพียงความชอบธรรมส่วนแรก แล้วดำเนินการหาผลประโยชน์ส่วนตัวนานัปการดังได้พรรณนามาแล้ว และยังอ้างความชอบธรรมแต่เพียงส่วนเดียวมานี้มาปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน รวมทั้งละเลยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามระบอบรัฐธรรมนูญ ทำให้ปวงข้าพระพุทธเจ้าหวั่นเกรงถึงภยันตรายที่จะบังเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันพระมหากษัตริย์ หากนายกรัฐมนตรีคนนี้จะบริหารบ้านเมืองต่อไป
ประชาชนทั้งปวงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ที่ได้รับพระราชทานจากสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงมีสิทธิสมบูรณ์ และเด็ดขาด ในการเรียกร้องอำนาจนั้นคืนและถวายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อทรงใช้ร่วม กับประชาชน เมื่อรัฐบาลขาดความชอบธรรมและเกิดวิกฤตใหญ่หลวง
ระบอบประชาธิปไตยมิได้ให้การเลือกตั้งเป็นปัจจัยชี้ขาดการมีอำนาจ ปกครอง การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการของการปกครอง มิใช่จุดหมาย จุดหมายคือการใช้อำนาจอย่างชอบธรรม ซึ่งประเมินได้จากผลการปฏิบัติงานที่จะต้องมีพื้นฐานอยู่บนการรักษาผล ประโยชน์ของชาติ
เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำขาดความชอบธรรมส่วนนี้ แม้ผู้นำนั้นมาจากการเลือกตั้ง ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็มิอาจอ้างสิทธิที่จะทำการบริหารบ้านเมืองอีกต่อไปได้ ประชาชนย่อมมีสิทธิและหน้าที่ที่จะแสดงออกด้วยวิธีการอันสงบ เพื่อเรียกร้องให้ผู้นำนั้นออกจากตำแหน่ง
ด้วยเหตุดังที่ปวงข้าพระพุทธเจ้ากราบบังคมทูลความข้างต้น ปวงข้าพระพุทธเจ้าจึงมีความเห็นพ้องร่วมกันว่า
ขณะนี้ประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ตกอยู่ภายใต้การปกครองของนายกรัฐมนตรีที่ลุแก่อำนาจ ส่อไปในลักษณะเผด็จการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในมือแต่ผู้เดียว และได้ใช้อำนาจนั้นไปในทางไม่ชอบ มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง มีพฤติกรรมที่ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง กอบโกยโกงกิน ขายชาติ ขายแผ่นดิน ไร้สิ้นซึ่งคุณธรรม ศีลธรรม ไม่ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม ไม่เคารพกฎหมาย วัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม หลักธรรมเนียมปฏิบัติที่พึงยึดถือของคนร่วมชาติ และบริหารประเทศชาติบ้านเมืองผิดพลาดเสียหายอย่างร้ายแรง กำลังนำชาติบ้านเมืองไปสู่ความหายนะล่มจม
นายกรัฐมนตรีท่านนี้คือปัญหาของแผ่นดิน เป็นผู้ก่อปัญหาวิกฤติร้ายแรงของชาติอย่างน่าวิตกและสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง หากปล่อยให้บริหารชาติบ้านเมืองอยู่อีกต่อไป ก็มีแต่จะก่อความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างสุดที่จะประมาณได้ ประชาชนผู้รักชาติบ้านเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำอันมิชอบก็จะถูกกดขี่ ข่มเหง รังแก ปองร้าย และย่ำยีบีฑาไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยความอาฆาตมาดร้าย ดังที่ได้กระทำกับประชาชนและบุคคลต่างๆ มาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า
ปวงข้าพระพุทธเจ้าไม่มีหนทางใดและสถาบันใดจะเป็นที่พึ่งเพื่อแก้ไข ปัดเป่าปัญหาของชาติที่อุกฉกรรจ์ร้ายแรงหนักหน่วงเช่นนี้ได้ จำต้องขอพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลขอถวายฎีกาต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อันเปรียบประดุจดังพระบิดาของปวงชนชาวไทยทั้งชาติ เป็นที่เทิดทูนเคารพเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติบ้านเมืองมาโดยตลอดใน ประวัติศาสตร์ของชาติไทย ยามที่บ้านเมืองมีทุกข์เข็ญ ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทุกข์ร้อนด้วยอำนาจการปกครองอธรรมและฉ้อราษฎร์บังหลวง
ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอกราบบังคมทูลถวายฎีกาต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เพื่อทรงพระกรุณาปัดเป่าทุกข์ยากของอาณาประชาราษฎร์ อันเกิดจากน้ำมือของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สุดแท้แต่พระองค์จะทรงพระกรุณาวินิจฉัย
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายชีวิตด้วยความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยทั้งชาติ และขอปฏิญาณตนว่าจะต่อสู้เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พิทักษ์รักษาสิทธิผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ เพื่อมิให้อธรรมอ้างความชอบธรรมแสวงหาผลประโยชน์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่
ควรมิควรประการใดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า”
000
อ้างอิง
[1] บทความลูกแกะหลงทาง พ่อของแผ่นดิน – ลูกแกะหลงทาง, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 9 ก.ย. 2548 [http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000123149]
ที่มาของบทความ ‘ลูกแกะหลงทาง’ มาจากการที่ผู้ใช้นามว่า 555 Post โพสต์ที่ความคิดเห็นที่ 9 ท้ายบทความของเซี่ยง เส้า หลง เรื่อง “จากกัลยาณมิตรถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร (15) ประธานวุฒิสภาต้องลาออก เปิดทางให้วุฒิสภาแก้ปัญหา ส่งเรื่องกลับศาลรัฐธรรมนูญ” [http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000120084] และนายสนธิ ลิ้มทองกุลนำมาอ่านในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เทปสุดท้ายทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. เมื่อ 9 ก.ย. 2548 ฟังเสียงอ่านบทความของสนธิ ที่นี่
[2] กลุ่มผู้ชุมนุมเมืองไทยฯปะทะดุเดือดสวนลุมพินี, เว็บไซต์ไทยรัฐ, 14 ม.ค. 2549
ตร.สลายม็อบ"สนธิ"จับแกนนำส่ง ร.ร.พลตำรวจบางเขน, เว็บไซต์คมชัดลึก 14 ม.ค. 2549
ย้อนนาที"ม็อบ"ล้อมทำเนียบ บุกพังประตูก่อนถูกจู่โจมสลาย, 15 ม.ค. 2549, เว็บไซต์มติชน
[3] "แม้ว"เหลืออด-กร้าวใส่ม็อบ "บ้า...ไม่กี่พันมาบอกให้ออก", เว็บไซต์มติชน, 15 ม.ค. 2549
[4] ธนาพล อิ๋วสกุล, “แกะรอยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย: ผู้ออกบัตรเชิญให้คณะรัฐประหาร” หน้า 293 ใน รัฐประหาร 19 กันยา. ธนาพล อิ๋วสกุล. (บก.), กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน, 2550.
[5] ชุมนุมไล่ 'ทักษิณ' คึกสุดขีด สาวไส้เละ!, เว็บไซต์ไทยรัฐ, 5 ก.พ. 2549
[6] ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก, คำกล่าวของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐ มนตรี ในรายการ “นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นเอฟ.เอ็ม. 92.5 วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 08.00 น. (จินตนา ถอดเทป/เรียบเรียง), ใน http://library.uru.ac.th/webdb/images/sp04feb49.htm
[7] เมืองไทยฯ วันกู้ชาติ: “สนธิ” สับ “แม้ว” หมดความชอบธรรม – จาบจ้วงในหลวงหลายรอบ, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 5 ก.พ. 2549 http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000015836
[วิดีโอ] mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/Sondhi_050206_3.wmv
[เสียง] นายสนธิปราศรัยช่วงแรก mms://tv.manager.co.th/videoclip/radio/1002/1002-1104.wma [เสียง] ช่วงนายสนธิอ่านคำถวายฎีกา mms://tv.manager.co.th/videoclip/radio/1002/1002-1105.wma
[8] เมืองไทยฯ วันกู้ชาติ: “สนธิ” สับ “แม้ว” หมดความชอบธรรม – จาบจ้วงในหลวงหลายรอบ (อ้างแล้ว) และ ทีมข่าวการเมือง, “หัวไม้ ตอน พรรคพันธมิตรฯ”, ใน Blogazineประชาไท, 30 มี.ค. 2552 http://blogazine.prachatai.com/user/headline/post/1878
[9] รายละเอียดของฎีกา โปรดดู ฎีการ้องทุกข์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กุมภาพันธ์ 2549, http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000015714
[10] ฎีการ้องทุกข์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, (อ้างแล้ว)
และ ธนาพล อิ๋วสกุล, (อ้างแล้ว) หน้า 294
[11] ฎีการ้องทุกข์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, (อ้างแล้ว)
[12] “สนธิ-สโรชา” นำถวายฎีการ้องทุกข์แผ่นดิน - “ทักษิณ” ปล้นชาติ ย่ำยีประชาชน, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 4 ก.พ. 2549 http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000015688
[13] “ฎีกาทุกข์แผ่นดิน” ถึงมือ “ประธานองคมนตรี”, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 4 กุมภาพันธ์ 2549, http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000015737
[14] “ฎีกาทุกข์แผ่นดิน” ถึงมือ “ประธานองคมนตรี”, (อ้างแล้ว)
[15] เมืองไทยฯ วันกู้ชาติ: “สนธิ” สับ “แม้ว” หมดความชอบธรรม – จาบจ้วงในหลวงหลายรอบ (อ้างแล้ว)
[16] อดีต รมช.คมนาคม ปีนรั้วบุกเขตพระราชฐาน, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 5 กุมภาพันธ์ 2549 http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000015759
[17] เมืองไทยฯ วันกู้ชาติ: “สนธิ” สับ “แม้ว” หมดความชอบธรรม – จาบจ้วงในหลวงหลายรอบ (อ้างแล้ว)
[18] 'ทักษิณ' ลั่นใครคิดว่านายกทำไม่ดีคือคนโง่, เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ, 5 ก.พ. 49
[19] เมืองไทยฯ วันกู้ชาติ: “สนธิ” สับ “แม้ว” หมดความชอบธรรม – จาบจ้วงในหลวงหลายรอบ (อ้างแล้ว)
[20] “สนธิ” และผู้ชุมนุม ยื่นหนังสือเรียกร้องต่อ “ผบ.ทบ.” แล้ว, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 5 ก.พ. 2549
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000015823 และ
ลำดับเหตุการณ์"ชุมนุมกู้ชาติ" 4 - 5 กุมภาฯ, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 4 กุมภาพันธ์ 2549
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000015576
[21] ลำดับเหตุการณ์"ชุมนุมกู้ชาติ" 4 - 5 กุมภาฯ, ASTVผู้จัดการออนไลน์ (อ้างแล้ว)
[22] ประกาศชัยเหนือทรราช - “สนธิ” ลั่นปิดบัญชี “ทักษิณ” พร้อมสมุน 11 ก.พ., ASTVผู้จัดการออนไลน์, 5 ก.พ. 49 http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000015853
[เสียง] mms://tv.manager.co.th/videoclip/radio/1002/1002-1108.wma
และ "สนธิ" ประกาศชัย 4 ประการ นัดปิดบัญชี 11 กุมภาฯ, ประชาไท, 6 ก.พ. 49