< กรกช เพียงใจ>
ขณะใครเปล่งเสียงสู้เพื่อกู้ชาติ
ขณะใครร่วมพิฆาตมาดมารร้าย
ขณะนั้นเขายืนอยู่อย่างเดียวดาย
กลางผืนทราย ฝูงยุง ทุ่งพระสุเมรุ
ไม่มีศิลปินใดร่ายบทกวี
ไม่มีวงดนตรีระเริงเล่น
มีเพียงเหล่าคนยากที่ชัดเจน
จากหลืบเร้นเหม็นสาบวิบากกรรม
หรือเขาเป็นคนทุกข์ผู้โฉดเขลา
หลงมัวเมาประชานิยมจนถลำ
หรือเขาคือผู้ยึดถือในถ้อยคำ
จึงชอกช้ำ ‘ประชาธิปไตย’ ช่างเปล่ากลวง
หรือเขาคือฝูงคนผู้หลงผิด
ผู้ยึดติดเงินตราดังค่าหลวง
พวกป่าเถื่อนเกลื่อนกลาดอนาจทรวง
คอยทะลวงสู้ตายกับลายพราง
รู้เพียง...คนว่า ฝั่งนั้นช่างมืดมิด
เป็นตัวแทนความดำสนิทไร้รุ่งสาง
มืดมิดผิดบาปมิรู้ลาง
อีกฟากหนึ่งขาวสว่างอยู่กลางเมือง
เมื่อตาเศร้ามีเงาเพียงขาว-ดำ
ฟังซ้ำ ย้ำ ย้ำ ไม่กระด้างกระเดื่อง
ขาวคือขาว ดำคือดำ จึงแค้นเคือง
เพราะสันดานนักการเมืองมันอัปรีย์
แล้วเขาควรทำฉันใด
นักการเมืองจัญไรสร้างหวังปรี่
ผิดก็ว่า อย่าไล่ออกไปตกปฐพี
มิใช่สีดำสนิทเหมือนปิดตา
ผู้คนหวังประชาธิปไตยไร้แร้งรุม
ไล่กลุ่มทุนสามานย์อย่างหาญกล้า
แต่ฝูงแร้งใช่ฝูงเดียวทั่วทั้งฟ้า
ลองมองหาฝูงเก่าเราเคยแค้น
จะต้องข้ามอีกกี่ศพจึงพบว่า
เส้นทางที่ผ่านมาช่างเปลืองแสน
กว่าจะข้ามพ้นไปแต่ละพรมแดน
กลับขาดแคลนความหวังดังวันเดิม
*ตัวเน้นหนา นำมาจากบทกวีบทเวทีพันธมิตรฯ ของ มนตรี ศรียงค์, จิระนันท์ พิตรปรีชา และเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์