Skip to main content

..การบังคับใช้กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านมิอาจกระทำได้โดยละเลยขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งโดยเฉพาะกระบวนการค้นหาและสถาปนาความจริงเป็นสิ่งที่ยากจะฟังขึ้น การใช้ข้ออ้างเรื่องความต่างทางวัฒนธรรม เป็นแต่เพียงการจุดชนวนระเบิดเวลาที่จะรอวันระเบิดเท่านั้น..อานนท์ ชวาลาวัณย์

 

อานนท์ ชวาลาวัณย์, กลุ่มประกายไฟ

ในระหว่างสงครามกลางเมืองหรือยุคสมัยแห่งความขัดแย้ง การใช้ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปในสังคมทั้งการละเมิดที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อประชาชนเช่นกรณีทหารเขมรแดงละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวกัมพูชาหรือกรณีที่ประชาชนชาวรวันดาถูกรัฐบาลใช้สื่อปลุกปั่นให้จับอาวุธเข้าห้ำหั่นกัน ภายหลังเหตุการณ์ความรุนแรงผ่านพ้นไป และสภาวะโกลาหล(Chaos) สิ้นสุดลงกระบวนการยุติธรรมก็จะถูกสถาปนาขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบสังคมและควบคุมไม่ให้เกิดความรุนแรงอย่างไรก็ดีเนื่องจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานการณ์ทางการเมืองกระบวนการยุติธรรมที่สถาปนาขึ้นจึงไม่สามารถตั้งอยู่บนตรรกะทางนิติศาสตร์หากแต่จำเป็นต้องผสานตรรกะทางรัฐศาสตร์เข้ามาด้วย

กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านนั้นประกอบด้วยสามกระบวนการใหญ่ๆได้แก่การค้นหาความจริง การบังคับใช้กฎหมายลงโทษผู้กระทำผิดและกระบวนการทางการเมืองอันจะทำให้รัฐสามารถก้าวข้ามความขัดแย้งและเดินหน้าต่อไปได้ กระบวนการทางการเมืองนี้ก้อได้แก่การเยียวยาเหยื่อและครอบครัวของเหยื่อ การสมานแผลระหว่างคู่ขัดแย้งหรือการปรองดองที่เป็นประเด็นในสังคมไทยและท้ายที่สุดการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดระดับรองๆ

การค้นหาและเปิดเผยความจริงคือบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่าน หากปราศจากซึ่งกระบวนการค้นหาและเปิดเผยความจริงก็ยากที่กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านจะประสบความสำเร็จเพราะเมื่อปราศจากซึ่งความจริงก็ไม่อาจลงโทษหรือให้อภัยผู้กระทำผิดเพราะไม่รู้ว่าใครทำอะไร ไม่อาจคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเป็นธรรมให้แก่เหยื่อผู้วายชนม์และครอบของเขา การค้นหาและการประกาศความเป็นจริงคือหัวใจของกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านอันจะขาดเสียไม่ได้  หลังการค้นหาความจริงกระบวนการทางกฎมหายที่จะลงโทษผู้กระทำผิดคือสิ่งที่จะต้องดำเนินไป ผู้กระทำผิดในส่วนที่กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านมักมุ่งที่จะลงโทษได้แก่ผู้บังคับบัญชาและผ่ายบริหารที่เป็นผู้กำหนดหรือควบคุมนโยบายแห่งรัฐหรือคุมการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆเนื่องจากบุคคลเหล่านี้คือผู้ที่อย่เบื้องหลังเพราะเป็นผู้จุดประกายความขัดแย้ง ในส่วนกระบวนการทางการเมืองจะเน้นการผสานรอยร้าวระหว่างผู้คนในสังคมเช่นการจัดให้มีการพบปะพูดคุยและปรับความเข้าใจระหว่างผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ กระบวนการรื้อฟื้นความทรงจำและสถาปนาที่ทางในประวัติศาสตร์แก่ผู้วายชนม์เช่นการสร้างอนุสรณ์สถานและท้ายที่สุดการนิรโทศกรรมแก่ผู้กระทำผิดทั้งนี้ผู้ที่จะได้รับนิรโทศกรรมมักจะไม่ใช่คนที่อยู่ในระดับบัญชาการแต่เป็นผู้ปฏิบัติการเพราะบุคคลเหล่านี้มักไม่ได้กระทำผิดด้วยเจตนาแต่กระทำเพราะสถานการณืพาไป การลงโทษบุคคลเหล่านี้อาจทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์ในระยะยาวเช่นการสูญเสียกำลังแรงงานเพราะมีผู้กระทำผิดติดคุกเป็นจำนวนมาก กระบวนการทั้งหมดทั้งสิ้นที่กล่าวมาหากได้มีการปฏิบัติสอดคล้องกันอย่างเหมาะสมอาจนำไปสู่การสถาปนาความยุติธรรมในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านได้ อย่างไรก็ดีสิ่งเหล่านี้กลับไม่เคยเกิดขึ้นในรัฐไทยทั้งที่รัฐไทยเองก็ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองมาแทบจะนับครั้งไม่ถ้วน

หากศึกษาประวัติศาสตร์ของรัฐไทยก็จะพบว่าเหตุการณ์การความรุนแรงทางการเมืองที่ขยายตัวไปสู่การปะทะระหว่างฝ่ายรัฐและฝ่ายประชาชนซึ่งนำไปสู่การเสียเลือดเนื้อเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สิบสี่ตุลาหนึ่งหก หกตุลาหนึ่งเก้า สงครามประชาชนในยุคสงครามเย็นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับรัฐบาลไทย  เหตุการณ์พฤษภาทมิฬสองห้าสามห้า เหตุการณ์ความรุนแรงในภาคใต้และท้ายที่สุดเหตุการณ์เมษาและพฤษภาเลือดในปี2552กับปี2553 เหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานำไปสู่การสูญเสียเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์หลายต่อหลายคน ทว่าหลังเหตุการณ์ทั้งหมดจบลง(ยกเว้นเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ที่ยังคงดำรงอยู่) กลับไม่ได้มีการพยายามสถาปนากระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านขึ้นในประเทศไทย แม้ว่าจะมีการบังคับใช้นโยบายที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านบางประการในอดีตเช่นการออกคำสั่ง66/23เพื่อนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การสร้างอณุสรณ์สถานสิบสี่ตุลา การเนรเทศ (ลงโทษ) ถนอมประภาส ณรงค์ จากกรณีสิบสี่ตุลาและการออกมากล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการของสุรยุทธ์ จุลานนท์ต่อกรณีความรุนแรงในภาคใต้และล่าสุดการจ่ายเงินเยียวยาวแก่เหยื่อในเหตุการณ์ทางการเมืองช่วงปี52-53รวมไปถึงเหตุการณืทางการเมืองอื่นๆนับแต่รัฐประหารสองห้าสี่เก้าและเหยื่อความรุนแรงในภาคใต้ ทว่าการบังคับใช้นโยบายทั้งหลายเหล่านี้กลับประสบความล้มเหลวในภาพรวม สิ่งที่รัฐไทยทำอาจกล่าวได้ว่ารัฐไทยได้แต่ทำกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านให้เป็นกระบวนการอยุติธรรมเปลี่ยนผ่านซึ่งหมายถึงการบังคับใช้กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านอย่างพิกลพิการเพื่อให้บริหารประเทศต่อไปได้โดยไม่สนใจว่าในระยะยาวความขัดแย้งอาจหวนกลับมาอีก  

หากจะพิจารณาลึกลงไปนโยบายในกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านที่ถูกนำมาบังคับในรัฐไทยดังที่กล่าวมาในตอนท้ายของย่อหน้าก่อนมิได้มีนโยบายใดที่เกี่ยวข้องกับการสืบหาและประกาศความจริงต่อสาธารณะ  นี่คงเป็นสาเหตุสำคัญที่กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านไม่เคยทำความยุติธรรมให้บังเกิดในไทยเพราะกระบวนการค้นหาและทำความจริงให้ปรากฏไม่เคยเกิดขึ้นกระบวนการอื่นๆที่เกิดขึ้นมาจึงดูพิกลพิการไปเสียสิ้นเช่นกรณีหกตุลาและสงครามประชาชนที่แม้ภายหลังจะมีการประกาศนิรโทษกรรมแต่ก็ไม่เคยมีการทำความจิงให้ปรากฎต่อสาธารณะว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังใครคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด การนิรโทษกรรมในกรณีดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่น่าขบขัน ประการแรกไม่มีการพิสูจน์ว่าประชาชนและนักศึกษาที่ได้รับการนิรโทษกรรมนั้นจริงๆแล้วพวกเขากระทำความผิดหรือปล่าว เพราะหากไม่ได้กระทำความผิดก็ไม่ควรจะมีการนิรโทษกรรมเพราะไม่มีความผิดให้นิรโทษ ขณะเดียวกันในฝ่ายของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของรัฐก่อนการนิรโทษกรรมก็ไม่ได้มีการใต่สวนหรือประกาศความผิดให้สาธารณชนรับ เมื่อญาติของผู้เสียชีวิตไม่ได้ทราบความจริงการให้อภัยก็คงบังเกิดไม่ได้ ขณะที่เหยื่อของเหตุการณ์ก็ไม่ได้รับรื้อฟื้นตัวตนและศักดิศรีความเป็นมนษย์ไม่มีที่ยืนทั้งในทางประวัติศาสตร์แห่งรัฐหรือการจัดสร้างอณุสรณ์สถาน ที่สำคัญที่สุดเมื่อไม่มีการค้นหาประกาศความจริงก็ไม่มีการถอดหน้ากากและนำตัวผู้บงการ(Master mind) มาลงโทษซึ่งโดยทั่วไปการนิรโทษกรรมในกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านมักไม่นับรวมผู้บงการ ล่าสุดในเหตุการณ์เมษาพฤษภา53 รัฐบาลที่ถูกเลือกมาโดยเหยื่อของเหตุการณ์ดูจะเพิกเฉยมีเพียงการจ่ายเงินเยียวยาทว่าไม่มีการทำความเป็นจริงให้ปรากฎ รัฐบาลอ้างความปรองดองพักเรื่องการหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษหรือเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ อย่างไรก็ดีการปรองดองที่ปราศจากการค้นหาความจริง นั้นเป็นเพียงการปรองดองจอมปลอมที่จะเป็นเสมือนระเบิดเวลาที่รอการระเบิดในอนาคต 

กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านคือสิ่งที่จะจะต้องสถาปนาในสังคมหลังสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งทางการเมือง หากปราศจากเสียซึ่งกระบวนการดังกล่าวก็ยากที่รัฐจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ การบังคับใช้กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านมิอาจกระทำได้โดยละเลยขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งโดยเฉพาะกระบวนการค้นหาและสถาปนาความจริงเป็นสิ่งที่ยากจะฟังขึ้น การใช้ข้ออ้างเรื่องความต่างทางวัฒนธรรม(Cultural relativism) เป็นแต่เพียงการจุดชนวนระเบิดเวลาที่จะรอวันระเบิดเท่านั้น หากรัฐไทยยังไม่เปลี่ยนวิธีคิดและการกระทำความสูญเสียที่รุนแรงกว่าเดิมคงจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

 

บล็อกของ ประกายไฟ

ประกายไฟ
แถลงการณ์ กลุ่มประกายไฟ 
ประกายไฟ
...ข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการสังคมหลังทุนนิยมข้างต้นนี้ถือเป็นเป้าหมายหลัก และเป็นผลผลิตโดยตรงของการเติบโตของขบวนการโลกาภิวัตน์จากรากฐาน ที่พยายามเสนอทางเลือกใหม่ในการพัฒนาท่ามกลางซากปรักหักพังของโลกสังคมนิยม ในทศวรรษ 1990 ที่นักคิดฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยมต่างประกาศว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลือแล้วนอกจากระบบทุนนิยมกลไกตลาดและระบอบ ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม” แม้ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะยังไม่บรรลุ แต่คุณูปการที่สำคัญที่สุดที่ขบวนการโลกาภิวัตน์จากรากฐานได้สร้างไว้ก็คือ ความหวังที่ว่า “โลกใบใหม่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นคำขวัญของขบวนการสมัชชาสังคมโลกนับตั้งแต่ ค.ศ.2001 เป็นต้นมา
ประกายไฟ
“..รู้สึกว่าธรายอาร์มไม่ใช่แค่กางเกงใน แต่มันแสดงถึงสัญญะบางอย่างของการต่อสู้ ซึ่งเห็นไหมคะ แค่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นกางเกงในของธรายอาร์ม คนที่สงสัยเขาก็ต้องหาเรื่องราวของมันบ้างล่ะค่ะ อย่างน้อยเราก็ได้สื่อเรื่องความไม่เป็นธรรมนอกจากแคมเปญหลักของงานนี้..” - ลูกปัด 1 สวาผู้ร่วมรณรงค์ 
ประกายไฟ
 “...พวกนายทุนจึงต้องหาทางให้ปัญหาเหล่านี้ทุเลาเบาบางลง ไม่อย่างนั้นการผลิตในระบบทุนนิยมอาจต้องล่มสลาย จึงต้องสร้างกติกากลางขึ้นมาเพื่อให้การขูดรีดยังดำรงตนต่อไปได้...”
ประกายไฟ
...ผมไม่คิดว่าการมีวันพ่อวันแม่มันจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับคนที่ "มีพ่อมีแม่" (หรือแม้แต่ตัวคนเป็นพ่อเป็นแม่) แต่ขณะเดียวกันมันกลับเป็นวันที่ "ซ้ำเติม" คนที่ "ขาดพ่อขาดแม่" ซึ่งโดยปกติก็อาจจะมีชีวิตที่รันทดเจ็บปวดกับเรื่องนี้อยู่แล้ว..
ประกายไฟ
...แต่เชื่อไหม (เหมือนถาพในหนัง) ใบหน้าคนเหล่านั้นลอยออกมาปะทะสายตาเรา เรามองไม่เห็นความกลัวในใบหน้าของคนเหล่านั้น บางคนด่าไปอมยิ่มไป บางคนด่าไปก็แสดงอาการท้าทายไป มันต่างกันมาก ต่างกันจริงๆ เราเคยเห็นคนในม็อบเสื้อแดงช่วงที่มีการสลาย ทั้งวันที่ 10 เมษา และ 19 พฤษภา เราเห็นแววตาคนที่กลัวตาย เห็นแววตาคนที่มีห่วงเห็นแววตาคนที่พร้อมจะยอมตาย แต่คนเหล่านั้นไม่กร่างเท่านี้นะ
ประกายไฟ
...ที่มาที่ไปของ "เสื้อแดง" มันไม่เกี่ยวกับเรื่อง "รักเจ้า" หรือ "รักทักษิณ" ..