Skip to main content

“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”

ออง ซาน ซูจี 2538

“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”

ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547

 

สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย ไม่นับวงแขนหรือเอื้อมมือที่ไม่รอช้าที่จะยื่นมาจับมือถือแขนทักทายราวกับเพื่อนเก่าผู้ห่างหายไปนาน ทุกสายตาทุกวงหน้าพรักพร้อมที่จะทักทายและหยิบยื่นสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้กับพวกเรา...ซึ่งแท้จริงแล้วอยู่ในฐานะนักท่องเที่ยว

การเดินทางในประเทศสหภาพพม่า 14 วันเพื่อ ‘เยี่ยมไข้’ เพื่อนบ้านผู้ขาดไร้บรรยากาศเสรีภาพและประชาธิปไตย เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ข่าวคราวของการปราบปรามพระสงฆ์และประชาชนชาวพม่า ที่ออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบของรัฐบาลทหารพม่าที่ขึ้นราคาน้ำมันและแก๊สจากราคาเดิมหลายเท่าตัว จนกระทั่งลุกลามบานปลายกลายเป็นการเรียกร้องให้นำประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่พม่าอีกครั้งหนึ่ง เป็นไปด้วยความรุนแรงในช่วงกลางเดือนสิงหาคมเรื่อยมาจนกระทั่งกลางเดือนตุลาคม 2550

การเดินทางในประเทศที่ปิดตัวเองมายาวนาน ซ้ำยังถูกนานาอารยะประเทศที่ได้ชื่อว่าโปรประชาธิปไตยคว่ำบาตรทางการค้า ภายหลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงซึ่งถือว่าเป็นการปราบปรามประชาชนครั้งใหญ่ในพม่า หลังจากเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 8-8-88 (8 สิงหาคมปี 2531) ถือเป็นการเดินทาง ‘เข้าไปใกล้’ ประเทศเพื่อนบ้านประเทศนี้ ซึ่งเกือบตลอดเวลาที่ผ่านมาของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมประวัติศาสตร์หรืออคตินิยม ที่คนไทยมีต่อความคิดแบบเห็นคนพม่าเป็นศัตรูที่ปรากฏอยู่เรื่อยมา โดยเฉพาะในหนังสงครามหรือความสัมพันธ์ทางการค้าและการเมืองของไทยที่มีต่อพม่า ย่อมถือได้ว่าแม้จะวางตัวเป็นเพื่อนบ้านที่แนบชิดชายแดนด้านตะวันตกของไทยมาช้านาน แต่ก็นับได้ว่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านผู้ห่างเหินและห่างไกลจากการรับรู้ของคนไทยมาโดยตลอด

ประเทศพม่าหลังควันปืนและคาวเลือดของผู้บริสุทธิ์หลังการลุกฮือทางการเมืองอีกครั้ง ยังคงคึกคักในภาคของเมืองอย่างเมืองหลวง (เก่า) ย่างกุ้งหรือมัณฑะเลย์ ยังคงงดงามเงียบสงบและเปี่ยมด้วยพลังศรัทธาของประชาชนชาวพม่าที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างเมืองพุกาม หรือกระทั่งดินแดนห่างไกลและมีธรรมชาติเฉพาะตัวที่ยิ่งใหญ่อย่างทะเลสาบอินเลและชาวบ้านรอบๆ ทะเลสาบที่ดำเนินชีวิตไปโดยไม่สนใจต่อความเปลี่ยนแปลงหรือกระแสร้อนแรงทางการเมืองใดๆ มาเนิ่นนาน

เมื่อตกเป็นนักท่องเที่ยวในท่ามกลางกระแสที่ผู้คนหวาดกลัวการเดินทางในพม่า ด้วยเกรงว่าจะเสี่ยงภัยนานาประเภท (พม่าเพิ่งจะยกเลิกคำสั่งประกาศเคอร์ฟิวเป็นเวลาสามเดือน นับแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปลายเดือนกันยายน) จนทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่ควรจะมีดังที่เคยเป็นมาในช่วง “ไฮซีซั่น” หดหายไปจนแทบจะนับหัวได้ นอกจากจะทำให้รูปแบบการเดินทางจากที่เคยคาดการณ์หรือวางแผนไว้ต้องปรับเปลี่ยนออกไปแล้ว ยังมีผลทำให้ต้องเผชิญกับชาวบ้านธรรมดาๆ ที่แปรผันตัวเองมาทำมาหากินกับนักท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังหลายต่อหลายแห่งทั่วประเทศพม่า นับแต่บริเวณมหาเจดีย์ชเวดากองในกรุงย่างกุ้ง วัดชเวนันดอที่เก่าแก่ในเมืองมัณฑะเลย์หรือหลายๆ วิหารอันสวยงามในเมืองพุกามที่เราจะต้องรับมือ ปะทะคารมและความรู้สึกกับรูปแบบที่หลากหลายของคนพม่าที่เข้ามาหากินกับนักท่องเที่ยว ทั้งการเข้ามาขอรับบริจาคเงิน เข้ามาขายโปสการ์ดหรือสินค้าที่ระลึกแบบที่แทบจะยัดเยียดขาย ให้หรือเดินตามตื้อโดยที่เราไม่ต้องการ จนทำให้แต่ละฝ่ายต้องอึดอัดหรือเสียความรู้สึกต่อกันไป

1
เรียกแท็กซี่ออกจากสนามบินได้คนที่แฝงตัวเป็นไกด์ติดตามมาด้วย

รู้ดีว่าไม่จำเพาะแต่การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศพม่าดอกที่นักท่องเที่ยวจะถูกตอมหรือตามตื้อเช่นที่เราประสบที่พม่า หากเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางในหลายประเทศในเอเชีย (ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย) ที่เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าน่าเที่ยวหรือมีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังก็ต้องพานพบกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ดูกระหายดอลลาร์ไม่แตกต่างกัน    

2
พระที่ชเวดากองแฝงตัวเข้ามาพูดคุย ทำพิธีให้และขอเงินบริจาคให้เหตุผลว่าเพื่อสนับสนุนศาสนา

แต่หลายช่วงตอน ณ หลายจุดของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหรือน่าสนใจที่เราจะต้องแวะชมในพม่าทำให้เราได้พบกับเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง ชายหนุ่ม หญิงสาวหรือป้าลุงหลากหลายวัย ซึ่งดูเหมือนว่าพร้อมที่จะทักทายปราศรัยแย้มยิ้มด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร แต่เมื่อรู้ว่าเราไม่สนใจที่จะอุดหนุนสินค้าจำพวกพวงมาลัย โปสการ์ด หนังสือ ภาพเขียนที่ถูกนำมาเสนอหลังจากการชี้ชวนให้ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างมีน้ำใจ หรือไม่ได้รับรู้ธรรมเนียมว่าจะต้องให้เงินบริจาคแก่คนที่มาเปิดประตูเพื่อให้เข้าชมวิหารบางแห่งในพุกาม แล้วต้องถูกตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวให้ต้องบริจาคเงิน สีหน้าและท่าทางของพวกเขาก็พร้อมที่จะกลับกลายเป็นยิ่งกว่าคนแปลกหน้า และวางระยะทางห่างเหินยิ่งกว่าตอนแรกที่พบเจอกันเสียอีก

3
เณรที่วัดชเวนันดอ มัณฑะเลย์ยิ้มสวยให้กล้องเพราะรู้ดีว่าจะได้เงินดอลลาร์

จากการได้พบพูดคุยกับคนพม่าหลายคนและจากภาพชีวิตรายรอบตัวที่ได้พบเห็น เรารู้ดีว่าความเป็นอยู่ของคนพม่าในดินแดนที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งจากป่าไม้ แร่ธาตุ อัญมณีต่างๆ นั้นไม่ได้ช่วยให้พวกเขากินดีอยู่ดีหรือมีปัจจัยพื้นฐานแค่ชีวิตปกติวิสัยควรจะได้หรือควรจะมี เพราะการปกครองแบบเผด็จการทหาร มิหนำซ้ำกว่าจะหาเงินได้แต่ละเจี้ยด (หรือจ๊าด  - Kyat) ล้วนแต่ยากลำบากและหลายคนค้นพบวิถีทางทำมาหากินด้วยการรอการหยิบยื่นเศษเงินจากนักท่องเที่ยว ด้วยการฉ้อโกงอารมณ์หรือการบิดเบือนภาพของความมีน้ำใจไปสู่การได้มาซึ่งเงินตรา แม้สัก 500 หรือ 1,000 เจี๊ยด (ประมาณสิบสามบาทหรือยี่สิบเจ็ดบาท) จากการเดินตามตื้อขายสินค้าที่ไม่น่าสนใจหรือไม่เป็นที่ต้องการให้แก่นักท่องเที่ยว

4
เด็กหญิงหน้างอขายพวงมาลัยที่ชเวนันดอ

5
ยายแก่ขายมาลัยที่วัดชเวสิกอง พุกาม

เมื่อแรกที่จะก้าวเท้าออกจากบ้านเพื่อไปเดินทาง 14 วันในประเทศพม่าเราคาดเดาเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ว่าจะได้พบภาพที่หดหู่ หรือความเป็นอยู่ที่ไม่เป็นไปตามปกติวิสัย ที่คนเราควรจะมีอยู่ท่ามกลางปัจจัยพื้นฐานที่ชีวิตทั่วไปต้องการของคนพม่า

6
ทำทีว่าชี้ชวนให้ดูนู่นนี่สุดท้าย ผลักดันให้ซื้อของที่พุกาม

7
การผลักดันให้ซื้อภาพเขียนทรายราคาไม่เป็นธรรมของแม่ค้าที่พุกาม

แต่เมื่อได้เดินทางขยับเข้าไปใกล้ความห่างไกลแบบพม่านั้นเราจึงได้เห็นหลายชีวิต หลายแววตาและสีหน้าของความเป็นมนุษย์ที่ไม่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นในความเป็นคนพม่า คนไทย คนแขกหรือคนฝรั่งผิวขาวตาน้ำข้าวที่ล้วนแต่แสวงหาและกระหายปัจจัยเทียมๆ ที่เรียกว่าเงินตรา จนไม่สนใจที่มาหรือฉวยใช้โอกาสจากความน่าสงสารน่าเห็นใจ มาแปรเปลี่ยนให้เป็นรายได้ที่ได้มาง่ายดายกว่าการลงน้ำพักน้ำแรงทำกินอย่างสุจริตในรูปแบบอื่นๆ

บล็อกของ อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง

อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้านและระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ในงานนิทรรศการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและของแต่งบ้านปีหนึ่งนานมาแล้วที่บังเอิญได้ไปเดินดูและเลือกซื้อข้าวของ ในมุมหนึ่งของงานซึ่งเป็นการออกร้านสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศอื่นๆ ตะกร้าสานจากกาน่าเหมือนจะได้รับความนิยมจากผู้คนที่เดินในงานมากเป็นพิเศษ สินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้และไม้แกะสลักในร้านจากอินโดนีเซียก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ร้านของเวียดนามและกัมพูชาที่อยู่ถัดๆ มาก็มีผู้คนเข้าไปชมสินค้ากันคึกคัก แต่เหตุไฉนร้านค้าซึ่งเป็นสินค้าตัวแทนจากประเทศลาวหรือ สปป. ลาว…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้นปีผ่านมา...เป็นการเดินทางที่ไม่ยาวนานนักในสามจุดหมายคือเซินเจิ้น หนึ่งเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ แวะฮ่องกงและกลับจากมาเก๊า แต่ก็มีความเหนื่อย เหน็บหนาวจากสภาพอากาศอันไม่คุ้นเคยของจุดหมายที่ว่าแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางอันไม่คาดหมายว่าจะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตรวดเร็วอย่างไม่ทันจะตั้งตัว จะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ผมเอาไว้................................................ที่ว่าการเดินทางช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปผ่านพ้นหรือผจญภัยกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อนเราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัยแต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”ออง ซาน ซูจี 2538“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547 สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมหยิบยืมคำว่า “ไปทำไม” ขึ้นมาเป็นชื่อเรื่องของข้อเขียนนี้จากชื่อสำนักพิมพ์ของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายการเดินทางและโปสการ์ดราคาประหยัดเพียงสามใบสิบบาท และเขาเรียกขานสำนักพิมพ์ตัวเองในเชิงสัพยอกว่า ‘สำนักพิมพ์ไปทำไม’...แม้จะฟังดูคล้ายกับว่าเจตนาจะกวนๆ แต่ก็เข้าท่าดีเหมือนกันคำว่า “ไปทำไม” แม้จะดูคล้ายกับการตั้งคำถามโดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการปุชฉาโดยมีโทนของน้ำเสียงฟังเหมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเองหรือการพ่นความไม่ได้ดังใจหรือความไม่เข้าใจของคนที่บังเอิญไปประสบพบเห็นพฤติกรรมของ “การไป” (ที่ไหนสักที่ ของคนสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่ง)…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
เพชรบุรีวางตัวอยู่อย่างน่าสนใจจากกรุงเทพฯ…ที่ว่าน่าสนใจนั่นคือ ระยะทางที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป แค่ชั่วเวลานั่งรถเพลินๆ ไม่เกินสองชั่วโมงก็น่าจะเข้าเขตเมืองเพชร โดยมีภาพของทุ่งนายามข้าวออกรวงสีเขียวละมุนตาและต้นตาลยืนต้นเรียงรายอยู่ปลายนา หรืออาจจะเห็นปลายจั่วแหลมๆ ของบ้านหลังคาทรงไทยหลายหลังโผล่พ้นทุ่งนาหรือรั้วบ้าน เป็นฉากทั้งหลายที่บ่งบอกว่า บัดนี้เข้าสู่ดินแดนแห่งน้ำตาลเมืองเพชรแล้วหลายวันก่อนเป็นอีกครั้งของความตั้งใจที่จะไปเยือนเพชรบุรีโดยที่ไม่ต้องมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คืนและวันที่ดูแปลกหน้า แม้สบายๆ แต่ก็เปี่ยมด้วยความมุ่งหวังบางอย่าง หลายสิ่งที่ได้พบเห็นเติมเต็มความรู้สึกที่ได้รับจากการเดินทาง จากดินแดนเหนือสุดของเวียดนามประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้เรากำลังไต่ตามแผ่นดินแคบๆ ที่เลียบท้องทะเลมาถึงเมืองมรดกโลกลือชื่ออย่าง  ‘ฮอยอัน’  และในระหว่างเส้นทางอันยา
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
สายวันหนึ่งขณะที่เดินทางออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งจอแจเช่นเคย สายตาเหลือบไปเห็นข้อความด้านหลังของรถแท็กซี่มิเตอร์สีเขียวเหลืองคันที่อยู่ข้างหน้า “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน”...แม้จะเป็นข้อความเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็เป็นข้อความที่มีความหมาย และให้ความรู้สึกแปลกตาโดยเฉพาะเมื่อมาปรากฏอยู่บนกระจกหลังของแท็กซี่เช่นนี้ ทำให้พาลอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลังพวงมาลัยของแท็กซี่คันนี้ก็เป็นได้…