Skip to main content

คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…
และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อน

เราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัย

แต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง ข้ามประเทศหรือข้ามทวีปได้ด้วยเครื่องยนต์ไอพ่นเหินฟ้าได้ชั่วไม่กี่ชั่วโมงหรือข้ามคืนก็บรรลุจุดหมายแล้วก็ตาม แต่คนเราก็ไม่อาจหนีพ้น “ชะตากรรม” ที่หลากหลายในระหว่างการเดินทาง

การเดินทางโดยปราศจากความจำเป็น ต้องพลัดพรากจากบ้านจากพ่อแม่ครอบครัวเพื่อนฝูงเพื่อออกเที่ยวถือเป็นชะตากรรมแรกที่คนเราหาญกล้าหยิบยื่นให้ตัวเองด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข

สุขเมื่อรู้ว่าจะได้ออกไปเผชิญกับความไม่แน่นอนและชะตากรรมอื่นๆ ที่รอท่าในการเดินทาง...

1
คนหลายคนเดินทางเพื่อเพียงจะนั่งลง

 

ความทุกข์หรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางของคนเดินทางหรือนักท่องเที่ยว มักจะไม่คงตัวถาวรหรือผ่านไปพ้นประสบเข้า ผจญกับปัญหาและอุปสรรคไม่นานเรื่องราวที่เราคิดว่าเลวร้ายไม่น่าจะเกิดขึ้นก็มักจะผ่านไปได้โดยไม่ยากเย็นหรือเกินกว่ากำลังสติปัญญา

ซึ่งปัญหาส่วนมากก็ได้แก่การตกรถตกเรือ ความคลาดเคลื่อนระหว่างการเดินทาง ความทุลักทุเลไม่เป็นไปดังคาดหมายของพาหนะที่เลือกหรือเส้นทางแปลกหน้าที่ไม่เคยไปมาก่อน ความไม่สะดวกสบายของที่พัก ท้องเสียท้องเดินระหว่างการเดินทาง หรือที่ย่ำแย่กว่านั้นก็เช่น กระเป๋าเดินทางไม่ยอมเดินทางไปถึงจุดหมายพร้อมกับเรา กระเป๋าเดินทางสูญหาย ถูกจี้ปล้นหรือช่วงชิงทรัพย์สินมีค่าระหว่างการเดินทาง

แต่ทั้งหมดนี้หากมองให้ดีก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นแค่ชะตากรรม แต่กลับมิใช่หรือแตกต่างห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่า “เคราะห์กรรม”

2
คนเดินถนนในพุกาม

ข้อนี้จะจริงเท็จมากน้อยสักแค่ไหน วันเวลาแห่งการเดินทางอันยาวนานตลอดเส้นทางพม่าสองสัปดาห์และการตระเวนชมปราสาทหินจำนวนมากมายทั้งนครวัด นครธม ปราสาทตาพรมและบันทายสรีในเมืองเสียมเรียบในอีกสัปดาห์ถัดมาอย่างน้อยก็ได้บ่งบอกว่าชะตากรรมของผู้คนเดินทาง และเคราะห์กรรมที่คงตัวถาวรยากที่ใครจะขับเคลื่อนไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้จะมีความใกล้เคียงกันแต่ก็อาจจะเป็นคนละเรื่องกัน

ที่พม่าตามวัดวาไม่ว่าจะเป็นที่เจดีย์ชเวดากองหรือตามวิหารโบราณที่พุกาม ทั้งต่อหน้าเจดีย์ชเวสิกอนอันศักดิ์สิทธิ์ และวิหารที่ปราศจากชื่อเสียงโด่งดังอื่นๆ เรามักจะได้พบคนพม่ามากราบไว้บูชาพระพุทธรูปหรือเจดีย์ บ้างมาสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ ดูประหนึ่งเป็นพุทธมามกะผู้เลื่อมใสในพุทธศาสนาและยึดวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด    

3
คนโดยสารล้นบนสองแถวพม่า

แต่คำอธิบายจากคนพม่าผู้มีน้ำใจต่างรอยยิ้ม ที่หยิบยื่นความช่วยเหลือและความเป็นมิตรให้โดยที่เราไม่ได้ร้องขอหรือตกอยู่ใต้ชะตากรรมที่รอคอยความมีน้ำใจ เรากลับได้ยินว่า
“ทุกวันนี้คนพม่าลำบากและยากจนมาก แต่ที่เขาทำบุญกันเยอะๆ เพราะคิดว่าชาติที่แล้วทำบุญมาน้อยเกิดมาชาตินี้เลยต้องลำบาก คนก็เลยนิยมเข้าวัดทำบุญเพื่อหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น”

ขณะที่คนเดินทางต่างถิ่นเข้าวัดเพื่อชื่นชมศิลปะ ประวัติความเป็นมาและความเงียบสงบ แต่คนพื้นถิ่นที่พม่ากลับบ่ายหน้าเข้าวัดเพื่อหวังว่าเคราะห์กรรมจะคลี่คลาย เคราะห์กรรมจากความลำบากยากจนชนิดที่เด็กชายตัวน้อยๆ ในวัยประถมฯ จะต้องเข้ามาทำงานในร้านน้ำชาริมถนน ซึ่งเป็นร้านยอดนิยมของคนพม่าหรือตามร้านอาหารต่างๆ ขณะที่เด็กผู้หญิงก็ต้องทำงานร้องขายของที่ระลึกหรือเดินตามตื้อนักท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อให้ซื้อพวงมาลัย สร้อยข้อมือหรือโปสการ์ด ขณะที่ผู้ใหญ่ไปที่ขายแรงงานอาจจะมีค่าแรงเพียงแค่วันละ 2,000 จ๊าดหรือประมาณ 50 วันเท่านั้นเอง

เป็นชะตากรรมที่หลากหลายบนเคราะห์กรรมของบ้านเมืองที่ปราศจากเสรีภาพและประชาธิปไตยทั้งๆ ที่บ้านเมืองสร้างหรือตั้งอยู่บนดินแดนปากแม่น้ำอิระวดีที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของโลก ซ้ำยังร่ำรวยด้วยแร่ธาตุ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและอัญมณีมหาศาล แต่ทั้งหมดนี้ถูกมือแห่งความละโมบไม่กี่มือกีดกั้นหรือยึดครองเอาไว้ฝ่ายเดียว

4
จักรยานที่เสียมเรียบ

และเคราะห์กรรมของผู้คนชาวเขมรที่ต้องเผชิญภาวะสงครามมาอย่างยาวนานและโหดร้าย ใครว่าเป็นเคราะห์กรรมที่พ้นผ่านได้ง่าย เคราะห์กรรมที่ถูกประเทศมหาอำนาจเข้ามาวางกับดักระเบิดจำนวนมากเอาไว้เพื่อต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ เคราะห์กรรมจากการเข่นฆ่ากันเองอย่างเหี้ยมโหดในยุคที่เขมรแดงยึดครอง

เงาของเรื่องราวเลวร้ายเช่นนั้นยังเกาะกุมและได้ยินจากปากคำคนเขมรรุ่นใหม่ไม่ต่างจากฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนอยู่ทุกขณะ

5
ชาวเขมรเดินทาง

มันคือเรื่องราวหรือบรรยากาศที่ทำให้เราจะต้องใคร่ครวญหรือกระอักกระอ่วนใจระหว่างการเดินทางไปในดินแดนที่ได้ชื่อว่ายังไม่ศิวิไลซ์ ผู้คนไม่พูดภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ การเดินทางระหว่างเมืองยังเต็มไปด้วยความทุลักทุเล ไม่สะดวกสบาย หรือการสรรหากับข้าวกับปลาเพื่อที่จะเติมท้องให้อิ่มอย่างง่ายๆ แค่การสั่งมาม่าต้มหรือข้าวผัดจะต้องใช้ทั้งภาษามือและภาษากายร้อยพันกว่าจะเข้าใจกัน

บางทีในความคิดของเราก็ยังติดภาพว่าผู้คนแปลกหน้าที่พยายามจะเข้ามาสนิทชิดใกล้มาหยิบยื่นความช่วยเหลือหรือช่วยเจรจาพาที ล้วนทำไปด้วยมุ่งหวังอะไรบางอย่างจากเราไม่ว่าจะเป็นเงินดอลล่าร์ในกระเป๋า ทรัพย์สินมีค่าที่อาจจะถูกฉกฉวยคราพลั้งเผลอ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้สร้างเกราะขึ้นมาอย่างมองไม่เห็นที่อาจจะทำให้เรารู้สึกมั่นใจหรืออุ่นใจ แต่อาจจะกลายเป็นท่าทีเฉยเมยสำหรับผู้ที่เข้ามาด้วยน้ำใสใจจริง

6
เดินทางระหว่างภูเขาสู่ตองยี

ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาในบรรยากาศที่เมืองไทยน่าจะมีรอยยิ้มโปรยปรายบนท้องถนนและมี ‘น้ำใจ’ ที่แสร้งว่าคุณต้องการอะไรเราสรรหามาให้ได้เกิดขึ้นมากที่สุดในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งและการลงคะแนนเลือก ส.ส. บ้านเรากำลังจะพ้นผ่านไป ป้ายหาเสียงที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มและท่าทีที่เป็นมิตรเริ่มถูกเก็บกลับไปหรือกลายเป็นขยะเพราะหมดช่วงเวลาใช้งานไปแล้ว

แต่ภาพในความทรงจำของผู้คนซึ่งได้กลายมาเป็นตัวละครในความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผู้เข้ามาช่วยคลี่คลายชะตากรรมที่ดูเหมือนจะสร้างความยุ่งยากใจให้กับเราจากการสื่อสารกันคนละภาษา ชะตากรรมจากการเผชิญกับอาหารรสชาติไม่คุ้นลิ้น ผ่อนคลายหนักให้กลายเป็นเบาจากปัญหาที่เราไม่คาดคิด ช่วยเหลือโดยที่ไม่มุ่งหวังสิ่งใด ยิ้มให้โดยไม่ได้คาดหมายรอยยิ้มตอบแทน

7
แสงเงาบนสามล้อที่พุกาม

ผู้คนเหล่านี้คือเรื่องราวที่มีค่าควรระลึกถึงหลังจากชะตากรรมอันหลากหลายจากการเดินทางครั้งหนึ่งๆ ของเราจบสิ้นซึ่งทำให้คนบางคนกลายมาเป็นมิตรที่เราจะระลึกถึงและผูกพัน...

 

บล็อกของ อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง

อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้านและระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ในงานนิทรรศการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและของแต่งบ้านปีหนึ่งนานมาแล้วที่บังเอิญได้ไปเดินดูและเลือกซื้อข้าวของ ในมุมหนึ่งของงานซึ่งเป็นการออกร้านสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศอื่นๆ ตะกร้าสานจากกาน่าเหมือนจะได้รับความนิยมจากผู้คนที่เดินในงานมากเป็นพิเศษ สินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้และไม้แกะสลักในร้านจากอินโดนีเซียก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ร้านของเวียดนามและกัมพูชาที่อยู่ถัดๆ มาก็มีผู้คนเข้าไปชมสินค้ากันคึกคัก แต่เหตุไฉนร้านค้าซึ่งเป็นสินค้าตัวแทนจากประเทศลาวหรือ สปป. ลาว…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้นปีผ่านมา...เป็นการเดินทางที่ไม่ยาวนานนักในสามจุดหมายคือเซินเจิ้น หนึ่งเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ แวะฮ่องกงและกลับจากมาเก๊า แต่ก็มีความเหนื่อย เหน็บหนาวจากสภาพอากาศอันไม่คุ้นเคยของจุดหมายที่ว่าแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางอันไม่คาดหมายว่าจะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตรวดเร็วอย่างไม่ทันจะตั้งตัว จะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ผมเอาไว้................................................ที่ว่าการเดินทางช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปผ่านพ้นหรือผจญภัยกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อนเราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัยแต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”ออง ซาน ซูจี 2538“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547 สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมหยิบยืมคำว่า “ไปทำไม” ขึ้นมาเป็นชื่อเรื่องของข้อเขียนนี้จากชื่อสำนักพิมพ์ของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายการเดินทางและโปสการ์ดราคาประหยัดเพียงสามใบสิบบาท และเขาเรียกขานสำนักพิมพ์ตัวเองในเชิงสัพยอกว่า ‘สำนักพิมพ์ไปทำไม’...แม้จะฟังดูคล้ายกับว่าเจตนาจะกวนๆ แต่ก็เข้าท่าดีเหมือนกันคำว่า “ไปทำไม” แม้จะดูคล้ายกับการตั้งคำถามโดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการปุชฉาโดยมีโทนของน้ำเสียงฟังเหมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเองหรือการพ่นความไม่ได้ดังใจหรือความไม่เข้าใจของคนที่บังเอิญไปประสบพบเห็นพฤติกรรมของ “การไป” (ที่ไหนสักที่ ของคนสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่ง)…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
เพชรบุรีวางตัวอยู่อย่างน่าสนใจจากกรุงเทพฯ…ที่ว่าน่าสนใจนั่นคือ ระยะทางที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป แค่ชั่วเวลานั่งรถเพลินๆ ไม่เกินสองชั่วโมงก็น่าจะเข้าเขตเมืองเพชร โดยมีภาพของทุ่งนายามข้าวออกรวงสีเขียวละมุนตาและต้นตาลยืนต้นเรียงรายอยู่ปลายนา หรืออาจจะเห็นปลายจั่วแหลมๆ ของบ้านหลังคาทรงไทยหลายหลังโผล่พ้นทุ่งนาหรือรั้วบ้าน เป็นฉากทั้งหลายที่บ่งบอกว่า บัดนี้เข้าสู่ดินแดนแห่งน้ำตาลเมืองเพชรแล้วหลายวันก่อนเป็นอีกครั้งของความตั้งใจที่จะไปเยือนเพชรบุรีโดยที่ไม่ต้องมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คืนและวันที่ดูแปลกหน้า แม้สบายๆ แต่ก็เปี่ยมด้วยความมุ่งหวังบางอย่าง หลายสิ่งที่ได้พบเห็นเติมเต็มความรู้สึกที่ได้รับจากการเดินทาง จากดินแดนเหนือสุดของเวียดนามประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้เรากำลังไต่ตามแผ่นดินแคบๆ ที่เลียบท้องทะเลมาถึงเมืองมรดกโลกลือชื่ออย่าง  ‘ฮอยอัน’  และในระหว่างเส้นทางอันยา
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
สายวันหนึ่งขณะที่เดินทางออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งจอแจเช่นเคย สายตาเหลือบไปเห็นข้อความด้านหลังของรถแท็กซี่มิเตอร์สีเขียวเหลืองคันที่อยู่ข้างหน้า “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน”...แม้จะเป็นข้อความเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็เป็นข้อความที่มีความหมาย และให้ความรู้สึกแปลกตาโดยเฉพาะเมื่อมาปรากฏอยู่บนกระจกหลังของแท็กซี่เช่นนี้ ทำให้พาลอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลังพวงมาลัยของแท็กซี่คันนี้ก็เป็นได้…