Skip to main content
ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้นปีผ่านมา...

เป็นการเดินทางที่ไม่ยาวนานนักในสามจุดหมายคือเซินเจิ้น หนึ่งเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ แวะฮ่องกงและกลับจากมาเก๊า แต่ก็มีความเหนื่อย เหน็บหนาวจากสภาพอากาศอันไม่คุ้นเคยของจุดหมายที่ว่า

แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางอันไม่คาดหมายว่าจะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตรวดเร็วอย่างไม่ทันจะตั้งตัว จะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ผมเอาไว้

................................................

ที่ว่าการเดินทางช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปผ่านพ้นหรือผจญภัยกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้ แต่หมายถึงว่าช่วงเวลาแห่งการเดินทางมันได้ช่วยให้ผมหลุดพ้นไปจากข่าวไร้สาระที่เกิดขึ้นในภาวะประจำวัน ที่หากยังอยู่เมืองไทยก็คงไม่แคล้วหรืออดไม่ได้ที่จะได้ยินหรือกรอกหูจนต้องถูกทับถมจากข่าวสารเยี่ยงนี้แม้ว่าจริงๆ จะไม่ได้ให้ความน่าสนใจกับข่าวสารที่เกิดขึ้นก็ตาม

................................................

“เมื่อสองคืนก่อนมีไฟไหม้ตึกตรงนี้ ไฟลุกท่วมด้านข้างเลยนะ แต่ข้างในไม่ไหม้เลย”  น้าแท็กซี่คันที่นั่งกลับมาจากสนามบินเปิดฉากการสนทนาขึ้นหลังจากก่นด่าเพื่อนร่วมเลนที่เบียดเสียดยื้อแย่งช่องจราจรและรถติดไฟแดงมาได้ร่วมสิบนาทีโดยไม่ขยับเขยื้อน
“ไม่รู้มันเผาเอาประกันหรือเปล่า เพราะสร้างก็ยังสร้างไม่เสร็จ แต่ก็หยั่งว่าแหละครับที่ตรงนี้มันโหงวเฮ้งไม่ดี เป็นที่สามแพร่ง ทำอะไรก็ไม่ขึ้น” น้าแกว่าของแกต่อ

ทันใดนั้นเสียงวิทยุในรถแท็กซี่ก็ดังขึ้นเป็นรายการที่มีเสียงผู้ชายสนทนากันสองคนและเป็นรายการเกี่ยวกับข่าว

ผู้จัดคนแรกเล่าว่าตอนนี้หกพรรคการเมืองจับมือกันได้แล้วจะจัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียง 315 เสียงโดยมีพรรคประชาธิปัตย์ถูกปล่อยให้เหลืออยู่พรรคเดียวต้องเป็นพรรคฝ่าค้านไป

อีกข่าวหนึ่งเป็นการรายงานของผู้จัดรายการอีกคนหนึ่งว่าตอนนี้ได้มีสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่เกิดขึ้นและเริ่มเผยแพร่ภาพแล้ว เป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะที่ไม่ให้มีโฆษณาแต่มีผู้อุปถัมภ์รายการได้ และสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่นี้มีผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายหลายวงการมาเป็นคณะผู้บริหาร ประกอบด้วย...

จากทั้งหมดที่ได้ยินมาจะกล่าวได้หรือไม่ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นเป็นข่าวสาร ข่าวสารที่มีประโยชน์มีคุณค่าน่าบริโภค หรือว่าเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในหูในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งกินเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีนับแต่รถติดไฟแดงจนแล่นถึงจุดหมาย

................................................

ผมถึงเรียกว่าการเดินทางครั้งนี้ช่วยชีวิตผมไว้ เพราะการห่างจากบ้านเกิดเมืองนอนไปชั่วเวลาหนึ่ง จะกี่มากน้อยก็ย่อมทำให้เราทนเรื่องบางเรื่องที่เคยทนไม่ได้ หรือได้ยินเรื่องบางเรื่องที่น่าจะเป็นสิ่งเก่าหรือเรื่องเก่าแต่เวลาที่แตกต่างออกไปแต่เวลาก็ทำให้มันดูเหมือนมีองค์ประกอบใหม่ ดูแปลกหูแปลกตาน่าสนใจน่ารับรู้ขึ้นทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วอาจจะคือเรื่องเก่าหรือสิ่งเก่าๆ ที่วนเวียนในกรอบของการรับรู้เดิมๆ

การเดินทางแม้สักชั่วเวลาหนึ่งก็ทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากจะรับรู้หรือสิ่งที่ผ่านเข้ามาสู่ประสาทสัมผัสก็คล้ายดูเป็นเรื่องใหม่หรือข่าวสารที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ทำให้ไม่น่าเบื่อหรือไม่รู้สึกว่าต้องถูกยัดเยียดหรือต้องทนรับฟังแต่อย่างใด

การมีรัฐบาลใหม่ (จากนักการเมืองหน้าเดิมๆ วิธีการทำงานเดิมๆ หรือบรรยากาศของการยื้อแย่งแบ่งปันผลประโยชน์แบบเดิมๆ) หรือการมีสถานีโทรทัศน์ช่องใหม่ (แต่ไม่มีใครเชื่อมั่นว่าจะเป็นสถานีเพื่อสาธารณะอย่างแท้จริงได้อย่างไรโดยไม่ใช่แหล่งทำมาหากินและการยัดเยียดจากสื่ออีกทางหนึ่ง) ฟังเหมือนเป็นบรรยากาศที่มีความหวังของคนที่ห่างบ้านห่างเมืองแล้วกลับมาสู่บรรยากาศของการรับรู้ข่าวสารต่างๆ อีกครั้ง เป็นเหมือนความเคลื่อนไหวที่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปในทางดีหรือทางร้าย

แต่มองในอีกมุมหนึ่งมันก็ช่างคล้ายรอยกระเพื่อมไหวของวงน้ำที่เกิดขึ้นในบ่อน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งก่อนที่วงน้ำที่เคลื่อนไหวนั้นจะตีวงกว้างจางหายไปกับขอบบ่อแคบๆ อย่างรวดเร็วภายใต้บรรยากาศเก่าๆ เดิมๆ ของประเทศแห่งนี้

บล็อกของ อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง

อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้านและระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ในงานนิทรรศการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและของแต่งบ้านปีหนึ่งนานมาแล้วที่บังเอิญได้ไปเดินดูและเลือกซื้อข้าวของ ในมุมหนึ่งของงานซึ่งเป็นการออกร้านสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศอื่นๆ ตะกร้าสานจากกาน่าเหมือนจะได้รับความนิยมจากผู้คนที่เดินในงานมากเป็นพิเศษ สินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้และไม้แกะสลักในร้านจากอินโดนีเซียก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ร้านของเวียดนามและกัมพูชาที่อยู่ถัดๆ มาก็มีผู้คนเข้าไปชมสินค้ากันคึกคัก แต่เหตุไฉนร้านค้าซึ่งเป็นสินค้าตัวแทนจากประเทศลาวหรือ สปป. ลาว…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้นปีผ่านมา...เป็นการเดินทางที่ไม่ยาวนานนักในสามจุดหมายคือเซินเจิ้น หนึ่งเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ แวะฮ่องกงและกลับจากมาเก๊า แต่ก็มีความเหนื่อย เหน็บหนาวจากสภาพอากาศอันไม่คุ้นเคยของจุดหมายที่ว่าแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางอันไม่คาดหมายว่าจะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตรวดเร็วอย่างไม่ทันจะตั้งตัว จะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ผมเอาไว้................................................ที่ว่าการเดินทางช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปผ่านพ้นหรือผจญภัยกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อนเราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัยแต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”ออง ซาน ซูจี 2538“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547 สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมหยิบยืมคำว่า “ไปทำไม” ขึ้นมาเป็นชื่อเรื่องของข้อเขียนนี้จากชื่อสำนักพิมพ์ของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายการเดินทางและโปสการ์ดราคาประหยัดเพียงสามใบสิบบาท และเขาเรียกขานสำนักพิมพ์ตัวเองในเชิงสัพยอกว่า ‘สำนักพิมพ์ไปทำไม’...แม้จะฟังดูคล้ายกับว่าเจตนาจะกวนๆ แต่ก็เข้าท่าดีเหมือนกันคำว่า “ไปทำไม” แม้จะดูคล้ายกับการตั้งคำถามโดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการปุชฉาโดยมีโทนของน้ำเสียงฟังเหมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเองหรือการพ่นความไม่ได้ดังใจหรือความไม่เข้าใจของคนที่บังเอิญไปประสบพบเห็นพฤติกรรมของ “การไป” (ที่ไหนสักที่ ของคนสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่ง)…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
เพชรบุรีวางตัวอยู่อย่างน่าสนใจจากกรุงเทพฯ…ที่ว่าน่าสนใจนั่นคือ ระยะทางที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป แค่ชั่วเวลานั่งรถเพลินๆ ไม่เกินสองชั่วโมงก็น่าจะเข้าเขตเมืองเพชร โดยมีภาพของทุ่งนายามข้าวออกรวงสีเขียวละมุนตาและต้นตาลยืนต้นเรียงรายอยู่ปลายนา หรืออาจจะเห็นปลายจั่วแหลมๆ ของบ้านหลังคาทรงไทยหลายหลังโผล่พ้นทุ่งนาหรือรั้วบ้าน เป็นฉากทั้งหลายที่บ่งบอกว่า บัดนี้เข้าสู่ดินแดนแห่งน้ำตาลเมืองเพชรแล้วหลายวันก่อนเป็นอีกครั้งของความตั้งใจที่จะไปเยือนเพชรบุรีโดยที่ไม่ต้องมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คืนและวันที่ดูแปลกหน้า แม้สบายๆ แต่ก็เปี่ยมด้วยความมุ่งหวังบางอย่าง หลายสิ่งที่ได้พบเห็นเติมเต็มความรู้สึกที่ได้รับจากการเดินทาง จากดินแดนเหนือสุดของเวียดนามประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้เรากำลังไต่ตามแผ่นดินแคบๆ ที่เลียบท้องทะเลมาถึงเมืองมรดกโลกลือชื่ออย่าง  ‘ฮอยอัน’  และในระหว่างเส้นทางอันยา
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
สายวันหนึ่งขณะที่เดินทางออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งจอแจเช่นเคย สายตาเหลือบไปเห็นข้อความด้านหลังของรถแท็กซี่มิเตอร์สีเขียวเหลืองคันที่อยู่ข้างหน้า “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน”...แม้จะเป็นข้อความเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็เป็นข้อความที่มีความหมาย และให้ความรู้สึกแปลกตาโดยเฉพาะเมื่อมาปรากฏอยู่บนกระจกหลังของแท็กซี่เช่นนี้ ทำให้พาลอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลังพวงมาลัยของแท็กซี่คันนี้ก็เป็นได้…