Skip to main content

20080219 ร้านกาแฟ (1)

ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้าน
และระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน หรือนั่งเหลือบแลปริศนาในพรายฟองนมที่ดูเย้ายวนในบางจังหวะเวลากับคาปูชิโน่สักแก้ว

...กาแฟต่างคนชงต่างที่ต่างร้านก็ต่างบอกเล่าเรื่องราวไปคนละเรื่อง มิไยว่าอารมณ์ของคนสั่งคนดื่มตอนนั้นเป็นเช่นไร ก็ยิ่งขยายความออกไปได้แตกต่างกัน..

20080219 ร้านกาแฟ (2)

หลายวันก่อน...
มีสายโทรศัพท์เข้ามาที่เครื่องมือถือ ปลายายคือมิตรผู้น้องคนหนึ่งซึ่งทำงานติดต่อกันอยู่ เธอโทรเข้ามาหาเพราะหวังพึ่งพิง...
“พี่ๆ พอจะรู้จักเจ้าของร้านอาหารบ้างไหม ถ้าไม่มี เราคิดว่าพี่ก็อาจจะพอมีเพื่อนเป็นเจ้าของร้านกาแฟสักที่อยู่บ้างแน่ๆ ถ้ามีก็ขอความช่วยเหลือหน่อยละกัน เราจะติดต่อขอใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำรายการน่ะ”

เมื่อตอบคำถามที่ปลายสายเสร็จ ผมก็มานั่งนิ่งอยู่กับตัวเองว่า แท้จริงแล้วแม้เราจะเคยผ่านเข้าออกร้านกาแฟเป็นว่าเล่นและชอบพอที่จะสั่งกาแฟร้อนมานั่งระหว่างการพักรออะไรสักอย่างอยู่ตามร้านกาแฟแปลกหน้าต่างที่ต่างถิ่นต่างเมืองอยู่เป็นประจำจนดูคุ้นเคยกันดีกับการเดินเข้าร้านกาแฟ แล้วเหตุใดหนอเราจึงไม่มีใครสักคนที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนแล้วทำร้านกาแฟอยู่ในตอนนี้...

20080219 ร้านกาแฟ (3)

20080219 ร้านกาแฟ (4)

ทำไมคนเราจึงต้องมีความอยากความฝันที่จะเป็นเจ้าของร้านกาแฟสักร้าน และร้านกาแฟในความคิดความฝันของคนเราแต่ละคนนั้นจะมีรูปโฉมหน้าตาเป็นเช่นไร

และครั้นได้ลงมือทำร้านกาแฟขึ้นมาจริงๆ ร้านกาแฟที่ปรากฏตัวออกมาแล้วจะยังเป็นเหมือนร้านกาแฟในความคิดความฝันของแต่ละคนอยู่มากน้อยแค่ไหน

หลายครั้งที่เราเอกเขนกทอดกายลงข้างๆ ถ้วยกาแฟในร้านกาแฟเล็กๆ หย่อนใจไปกับความคิดเช่นนี้ ระหว่างที่ใช้กาแฟปลุกความฝันของตัวเองให้ตื่นขึ้นกลางความฝันที่กลายเป็นความจริงแล้วของคนอื่นๆ

20080219 ร้านกาแฟ (5)

ในบางขณะกาแฟสักแก้วที่เราสั่งมาอาจจะเป็นแค่เครื่องมือของการแก้ขวยเขินหรือละลายเวลาเพื่อหาอะไรทำ เราปล่อยให้ความเข้มขมของกาแฟเจือจางลงด้วยระยะเวลา เมื่อง่วนอยู่กับนิตยสารที่หยิบขึ้นมาอ่านจนยากจะวางได้ลง หรือการจดบนทึก การเขียนข้อความบนโปสการ์ด ปรายตาชมความร่มรื่นของไม้กระถางที่ตกแต่งร้านเวลาก็เรื่อยไหลไป ร้านกาแฟบางร้านอนุญาตให้เราออกนอกเรื่องรสชาติและขอบเขตของการกินกาแฟไปจนถึงการไล่ตามความเร็วสูงของอินเตอร์เน็ตวายฟายที่มีให้บริการ

คนเราจะชื่นชอบร้านกาแฟแบบไหน มีบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติแค่ไหน มีโต๊ะเก้าอี้ที่สวยงามน่านั่ง หรือต้องการแค่มุมสงบๆ เพื่อสบตากับความถูกใจในถ้วยกาแฟของตัวเองแค่นั้น

20080219 ร้านกาแฟ (6)

20080219 ร้านกาแฟ (7)

หลายโอกาสเราเข้าร้านกาแฟโดยปราศจากความมุ่งหวัง ขอเพียงให้มีโอกาสได้เจอร้านกาแฟสักร้านที่มีกาแฟอร่อยๆ ถูกใจสักแก้วให้รองท้องในยามเช้าหลังเปิดเปลือกตามขึ้นจากความงัวเงียก็ยังดี แล้วต่อมาก็ทำให้พบว่าตกหลุมรักบรรยากาศง่ายๆ ของร้านกาแฟแปลกหน้าในต่างเมือง เหมือนกับเวลาที่ได้กินกาแฟสดร่อยๆ หอมกรุ่นโดยไม่ต้องเติมความหวานของน้ำตาลหรือครีมนมมันข้นผสมให้มากความ

ร้านกาแฟและถ้วยกาแฟสักที่ในวันนี้จึงเป็นเหมือนไวยากรณ์หนึ่งที่ทำให้ประโยคข้อความของการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่มีเนื้อหาที่ครบถ้วนกระบวนความ ไม่ขาดประธาน กริยาและกรรม บางครั้งร้านกาแฟก็ทำหน้าที่เป็นประธาน บางครากาแฟสักแก้วที่เราสั่งไปก็กลายเป็นกรรม

ในต่างที่ต่างถิ่นความฝันและการเดินทางที่สะเปะสะปะชักพาให้เราได้ลงเอยกับร้านกาแฟ ได้พบรักกับกาแฟร้อนรสหอมหวานพอดีตรงใจ และในช่วงเวลาของการพักรอในร้านกาแฟแห่งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วก็กลับกลายเป็นช่วงเวลาชั่วครู่ของความทรงจำที่พร้อมจะปล่อยควันหอมกรุ่นลอยขึ้นมาเย้ายวนความรู้สึกเมื่อใดก็ได้ที่นึกเถลไถลไปถึง...ครั้งแล้วครั้งเล่า

บล็อกของ อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง

อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้านและระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ในงานนิทรรศการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและของแต่งบ้านปีหนึ่งนานมาแล้วที่บังเอิญได้ไปเดินดูและเลือกซื้อข้าวของ ในมุมหนึ่งของงานซึ่งเป็นการออกร้านสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศอื่นๆ ตะกร้าสานจากกาน่าเหมือนจะได้รับความนิยมจากผู้คนที่เดินในงานมากเป็นพิเศษ สินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้และไม้แกะสลักในร้านจากอินโดนีเซียก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ร้านของเวียดนามและกัมพูชาที่อยู่ถัดๆ มาก็มีผู้คนเข้าไปชมสินค้ากันคึกคัก แต่เหตุไฉนร้านค้าซึ่งเป็นสินค้าตัวแทนจากประเทศลาวหรือ สปป. ลาว…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้นปีผ่านมา...เป็นการเดินทางที่ไม่ยาวนานนักในสามจุดหมายคือเซินเจิ้น หนึ่งเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ แวะฮ่องกงและกลับจากมาเก๊า แต่ก็มีความเหนื่อย เหน็บหนาวจากสภาพอากาศอันไม่คุ้นเคยของจุดหมายที่ว่าแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางอันไม่คาดหมายว่าจะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตรวดเร็วอย่างไม่ทันจะตั้งตัว จะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ผมเอาไว้................................................ที่ว่าการเดินทางช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปผ่านพ้นหรือผจญภัยกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อนเราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัยแต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”ออง ซาน ซูจี 2538“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547 สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมหยิบยืมคำว่า “ไปทำไม” ขึ้นมาเป็นชื่อเรื่องของข้อเขียนนี้จากชื่อสำนักพิมพ์ของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายการเดินทางและโปสการ์ดราคาประหยัดเพียงสามใบสิบบาท และเขาเรียกขานสำนักพิมพ์ตัวเองในเชิงสัพยอกว่า ‘สำนักพิมพ์ไปทำไม’...แม้จะฟังดูคล้ายกับว่าเจตนาจะกวนๆ แต่ก็เข้าท่าดีเหมือนกันคำว่า “ไปทำไม” แม้จะดูคล้ายกับการตั้งคำถามโดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการปุชฉาโดยมีโทนของน้ำเสียงฟังเหมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเองหรือการพ่นความไม่ได้ดังใจหรือความไม่เข้าใจของคนที่บังเอิญไปประสบพบเห็นพฤติกรรมของ “การไป” (ที่ไหนสักที่ ของคนสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่ง)…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
เพชรบุรีวางตัวอยู่อย่างน่าสนใจจากกรุงเทพฯ…ที่ว่าน่าสนใจนั่นคือ ระยะทางที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป แค่ชั่วเวลานั่งรถเพลินๆ ไม่เกินสองชั่วโมงก็น่าจะเข้าเขตเมืองเพชร โดยมีภาพของทุ่งนายามข้าวออกรวงสีเขียวละมุนตาและต้นตาลยืนต้นเรียงรายอยู่ปลายนา หรืออาจจะเห็นปลายจั่วแหลมๆ ของบ้านหลังคาทรงไทยหลายหลังโผล่พ้นทุ่งนาหรือรั้วบ้าน เป็นฉากทั้งหลายที่บ่งบอกว่า บัดนี้เข้าสู่ดินแดนแห่งน้ำตาลเมืองเพชรแล้วหลายวันก่อนเป็นอีกครั้งของความตั้งใจที่จะไปเยือนเพชรบุรีโดยที่ไม่ต้องมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คืนและวันที่ดูแปลกหน้า แม้สบายๆ แต่ก็เปี่ยมด้วยความมุ่งหวังบางอย่าง หลายสิ่งที่ได้พบเห็นเติมเต็มความรู้สึกที่ได้รับจากการเดินทาง จากดินแดนเหนือสุดของเวียดนามประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้เรากำลังไต่ตามแผ่นดินแคบๆ ที่เลียบท้องทะเลมาถึงเมืองมรดกโลกลือชื่ออย่าง  ‘ฮอยอัน’  และในระหว่างเส้นทางอันยา
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
สายวันหนึ่งขณะที่เดินทางออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งจอแจเช่นเคย สายตาเหลือบไปเห็นข้อความด้านหลังของรถแท็กซี่มิเตอร์สีเขียวเหลืองคันที่อยู่ข้างหน้า “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน”...แม้จะเป็นข้อความเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็เป็นข้อความที่มีความหมาย และให้ความรู้สึกแปลกตาโดยเฉพาะเมื่อมาปรากฏอยู่บนกระจกหลังของแท็กซี่เช่นนี้ ทำให้พาลอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลังพวงมาลัยของแท็กซี่คันนี้ก็เป็นได้…