Skip to main content

สำรวจลงไปในกระเป๋าหรือย่ามของความฝัน พบสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ก้นย่ามคือการทำร้านกาแฟเล็กๆ ที่มีมุมหนังสือวางเอาไว้ให้คนจิบกาแฟละเมียดตัวอักษร

20080326 ภาพประกอบ 1

นานวันความฝันก็ถูกกัดกร่อนเหมือนย่ามที่ก้นขาดเพราะโดนฟันหนูแทะ เป็นรอยขาดแหว่งเล็กๆ ที่ไม่ยอมปล่อยให้ฝันนั้นขาดร่วงหล่นลงมาสักที กลายเป็นฝันค้างๆ คาๆ ที่ปล่องรูของย่ามแห่งฝันก้นขาดอยู่อย่างนั้น

ไม่นานมานี้ฝันนั้นได้ถูกนำออกมาสัพยอกกันเล่นระหว่างการพบปะกันของเพื่อนฝูงที่สนิท...อีกครั้ง

“ยังจำได้ไหม ‘ร้านกาแฟวันสุข’ ที่เราคิดว่าจะทำกัน ไอ้...มันว่าเมื่อไหร่ถึงจะเริ่มสักที (ว่ะ) รอจะร่วมลงขันมาเป็นสิบปีแล้ว” รุ่นพี่คนหนึ่งในกลุ่มจำปากคำของเพื่อนอีกคนมาแซวขำๆ กันกลางวงสนทนา และเรายังร่วมกันรำลึกไปถึงฝันที่ค้างๆ คาๆ ที่ว่าอยากจะรวมกลุ่มกันทำสำนักพิมพ์หรือร้านหนังสือเล็กๆ ในชื่อที่ผม (ลืมไปแล้วว่า) เป็นคนคิดว่า ‘เกลอเจอจันทร์’

ผมเอ่ยปากถามถึงเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งมักจะคิดเออออไปในทางเดียวกันเสมอ โดยเฉพาะเรื่องหนังสือ ดนตรี การเดินทาง...และความฝันถึงการมีร้านกาแฟ

คำตอบที่ได้คือเพื่อนคนนี้ไม่ได้มาพบเจอด้วยเพราะกำลังมีเรื่องราวเจ็บปวดกับความรัก เจ็บเพราะตัวเองไม่ยอมปล่อยให้เรื่องบางเรื่องที่สมควรจะจบลงไปกลายเป็นเรื่องของอดีตไป แต่ดึงดันที่จะคงทุกอย่างไว้แม้ว่าความรักหรือเสน่หาที่มีต่อกันจะกลายร่างแปรรูปไปหมดแล้ว ยังอยากจะให้คนที่เคยรักเป็นคนรักกันเหมือนเดิม เรื่องที่ได้ยินชักจะซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจหากไม่ได้ยินจากปากคำของเจ้าตัวเอง แต่ผมก็สรุปว่าทางเลือกที่เป็นอยู่ของเพื่อนในเงาเศร้าก็คือยอมเป็นความสุขบนกองทุกข์ของตัวเอง

“เห็นมันเปรยๆ ว่าเบื่อสภาพแบบนี้เหมือนกัน มันก็เลยอยากจะหนีขึ้นเชียงใหม่ไปหาที่เปิดร้านกาแฟ...” เสียงของรุ่นพี่คนเดิมเปรยถึงเรื่องราวของเพื่อนคนนี้ส่งท้ายให้ได้ยิน

20080326 ภาพประกอบ 2

โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก...
นี่กล่าวเฉพาะโฉมหน้าของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและมาเยือนเฉพาะแค่ทางกายภาพเท่านั้น ดังที่เราเคยได้ยินถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและโลกร้อน ซึ่งกลายเป็น hot issue ที่คนในสังคมหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกัน
มิได้กล่าวถึงความวกวนซับซ้อนของความคิด ความสัมพันธ์หรือทัศนคติอันกำหนดการกระทำที่มีต่อกันและกันและสรรพสิ่งในการอยู่ร่วมโลก

โลกที่เปลี่ยนแปลงไปมากมายเช่นนี้ คนเราจะหยุดยั้งหรือคงชีวิตอยู่อย่างไรให้มีชีวิตอยู่ได้ต่อไปด้วยลมหายใจที่ยังมีความหวัง
ผมคิดว่านี่ก็เป็นประเด็นสำคัญ หรือรายละเอียดปลีกย่อยของ hot issue ที่น่าถกหรือครุ่นคำนึงต่อไปไม่น้อย

ยากหรือไม่ที่เราจะหยุดยั้งคนรักไม่ให้เปลี่ยนแปรไป ยากเพียงใดที่จะทำให้ฝันเล็กๆ น้อยๆ แค่กับการมีร้านเสิร์ฟกาแฟและมีหนังสือดีๆ รอท่าให้คนเข้ามาเสพได้ก่อรูปกลายร่างขึ้นมาเป็นร้านในความจริงได้ ภายใต้บรรยากาศของเศรษฐกิจผันผวนและการแข่งขันของสินค้าและบริหารหลากหลายโดยเฉพาะในระบบใครใหญ่ใครอยู่หรือมือใครยาวสาวได้สาวเอา ราคาของข้าวของที่ทวีขึ้นไปเสียทุกในบริบทของชีวิตความเป็นอยู่...กาแฟร้อนควรจะแก้วสักกี่บาทถึงจะดึงดูดใจให้คนก้าวเข้ามานั่งลงเพื่อสั่งและจิบมันลงไปได้โดยไม่สะอึก

20080326 ภาพประกอบ 3

ผมอาจจะมีความฝันถึงความหวังในการมีร้านกาแฟเล็กๆ...
แต่ฝันของคนไม่เหมือนกัน ทั้งยังไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
ไม่ผิดที่ใครสักคน (อย่างเพื่อนคนหนึ่งของผม) เมื่อเอาดีไม่ได้กับความรักก็ชักอยากจะยักย้ายหาที่ทางใหม่ให้ความฝันด้วยการขยับขยายไปสู่การทำร้านกาแฟ และไม่แน่ที่ความฝันอันยุ่งยากรอคอยความลงตัวนานวันตราบที่ความคิดไม่กลั่นกรองจนเกิดเป็นร้านกาแฟสักทีของคนคนหนึ่ง กลับเป็นเพียงฝันที่เกิดขึ้นได้ง่ายภายในชั่วพริบตาของใครอีกคนหนึ่งที่อาจมีภาพร้านกาแฟเป็นเพียงสถานีเปลี่ยนถ่ายความฝัน...

เคยได้ยินได้ฟังว่าการมีร้านอาหาร ร้านกาแฟหรือกิจการอะไรสักร้านของเราเองความยุ่งยากยุ่งเหยิงก็จะเกิดขึ้นกับชีวิต จะปล่อยวางหรือฝากฝังให้คนอื่นดูแลหรือทำแทน แม้จะเป็นไปได้ แต่ก็คงอดไม่ได้ที่จะห่วงใยหรือกังวลอยู่ลึกๆ ดังนี้แล้วแม้คนที่ไม่มีลูกแต่หากมีความคิดความฝันว่าจะมีร้านอะไรเล็กๆ เป็นของตัวเองก็พึงเข้าใจหัวอกของเพื่อนฝูงหลายคนที่กลายเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีความยึดติดผูกพันและปล่อยวางไม่ลงในตัวลูกที่เป็นความหวังทั้งหมดในวันนี้

20080326 ภาพประกอบ 4

ฝันของเพื่อนเมื่อวัยหนุ่มสาวที่อยากเปิดร้านเล็กๆ ที่อิสระ ได้ทำกาแฟหอมกรุ่นรสละเมียดเสิร์ฟให้คนที่ผ่านเข้ามาในร้าน เมื่อมีลูกความฝันที่เคยมีก็กลับกลายเป็นความยึดติดกับลูกไป ภารกิจในการเลี้ยงดูเขาให้ดีไม่ยอมปลดปล่อยความฝันที่อิสระเสรีออกมาได้ง่ายๆ เหมือนเคย เพื่อนๆ เหล่านี้เคยพูดให้ฟังว่าแม้การเป็นพ่อเป็นแม่เลี้ยงดูลูกสักคนจะเป็นการงานของชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยและไม่มีวันจบสิ้น ฝันที่มีก็ไม่ได้เป็นฝันลมๆ แล้งๆ แต่เป็นความสุขใจอิ่มใจเมื่อรู้ว่าหวังและฝันทั้งหมดของชีวิตได้ทุ่มเทให้กับใคร...

แม้ไม่มีลูกและความฝันถึงการมีร้านกาแฟเล็กๆ ในโลกอันปกติสุข ไม่วุ่นวายและไม่เบียดเบียนกันจะยังไม่บังเกิดในชีวิตอันใกล้

20080326 ภาพประกอบ 5

แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่า ‘โลก ลูก และร้านกาแฟ’ ต้องการองค์ประกอบเหมือนๆ กัน นั่นคือความหลงใหล...และความรักที่ไม่รู้จบ

บล็อกของ อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง

อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้านและระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ในงานนิทรรศการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและของแต่งบ้านปีหนึ่งนานมาแล้วที่บังเอิญได้ไปเดินดูและเลือกซื้อข้าวของ ในมุมหนึ่งของงานซึ่งเป็นการออกร้านสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศอื่นๆ ตะกร้าสานจากกาน่าเหมือนจะได้รับความนิยมจากผู้คนที่เดินในงานมากเป็นพิเศษ สินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้และไม้แกะสลักในร้านจากอินโดนีเซียก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ร้านของเวียดนามและกัมพูชาที่อยู่ถัดๆ มาก็มีผู้คนเข้าไปชมสินค้ากันคึกคัก แต่เหตุไฉนร้านค้าซึ่งเป็นสินค้าตัวแทนจากประเทศลาวหรือ สปป. ลาว…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้นปีผ่านมา...เป็นการเดินทางที่ไม่ยาวนานนักในสามจุดหมายคือเซินเจิ้น หนึ่งเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ แวะฮ่องกงและกลับจากมาเก๊า แต่ก็มีความเหนื่อย เหน็บหนาวจากสภาพอากาศอันไม่คุ้นเคยของจุดหมายที่ว่าแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางอันไม่คาดหมายว่าจะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตรวดเร็วอย่างไม่ทันจะตั้งตัว จะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ผมเอาไว้................................................ที่ว่าการเดินทางช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปผ่านพ้นหรือผจญภัยกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อนเราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัยแต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”ออง ซาน ซูจี 2538“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547 สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมหยิบยืมคำว่า “ไปทำไม” ขึ้นมาเป็นชื่อเรื่องของข้อเขียนนี้จากชื่อสำนักพิมพ์ของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายการเดินทางและโปสการ์ดราคาประหยัดเพียงสามใบสิบบาท และเขาเรียกขานสำนักพิมพ์ตัวเองในเชิงสัพยอกว่า ‘สำนักพิมพ์ไปทำไม’...แม้จะฟังดูคล้ายกับว่าเจตนาจะกวนๆ แต่ก็เข้าท่าดีเหมือนกันคำว่า “ไปทำไม” แม้จะดูคล้ายกับการตั้งคำถามโดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการปุชฉาโดยมีโทนของน้ำเสียงฟังเหมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเองหรือการพ่นความไม่ได้ดังใจหรือความไม่เข้าใจของคนที่บังเอิญไปประสบพบเห็นพฤติกรรมของ “การไป” (ที่ไหนสักที่ ของคนสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่ง)…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
เพชรบุรีวางตัวอยู่อย่างน่าสนใจจากกรุงเทพฯ…ที่ว่าน่าสนใจนั่นคือ ระยะทางที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป แค่ชั่วเวลานั่งรถเพลินๆ ไม่เกินสองชั่วโมงก็น่าจะเข้าเขตเมืองเพชร โดยมีภาพของทุ่งนายามข้าวออกรวงสีเขียวละมุนตาและต้นตาลยืนต้นเรียงรายอยู่ปลายนา หรืออาจจะเห็นปลายจั่วแหลมๆ ของบ้านหลังคาทรงไทยหลายหลังโผล่พ้นทุ่งนาหรือรั้วบ้าน เป็นฉากทั้งหลายที่บ่งบอกว่า บัดนี้เข้าสู่ดินแดนแห่งน้ำตาลเมืองเพชรแล้วหลายวันก่อนเป็นอีกครั้งของความตั้งใจที่จะไปเยือนเพชรบุรีโดยที่ไม่ต้องมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คืนและวันที่ดูแปลกหน้า แม้สบายๆ แต่ก็เปี่ยมด้วยความมุ่งหวังบางอย่าง หลายสิ่งที่ได้พบเห็นเติมเต็มความรู้สึกที่ได้รับจากการเดินทาง จากดินแดนเหนือสุดของเวียดนามประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้เรากำลังไต่ตามแผ่นดินแคบๆ ที่เลียบท้องทะเลมาถึงเมืองมรดกโลกลือชื่ออย่าง  ‘ฮอยอัน’  และในระหว่างเส้นทางอันยา
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
สายวันหนึ่งขณะที่เดินทางออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งจอแจเช่นเคย สายตาเหลือบไปเห็นข้อความด้านหลังของรถแท็กซี่มิเตอร์สีเขียวเหลืองคันที่อยู่ข้างหน้า “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน”...แม้จะเป็นข้อความเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็เป็นข้อความที่มีความหมาย และให้ความรู้สึกแปลกตาโดยเฉพาะเมื่อมาปรากฏอยู่บนกระจกหลังของแท็กซี่เช่นนี้ ทำให้พาลอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลังพวงมาลัยของแท็กซี่คันนี้ก็เป็นได้…