Skip to main content

...โอ๊ตเกิดที่ฉะเชิงเทรา จังหวัดหนึ่งในไทย ได้บวชเป็นพระสามอาทิตย์ในปี 2548 ที่วัดสามกอ นอกจากมีงานประจำแล้ว โอ๊ตยังทำงาน อาสาหน่วยแพทย์กู้ชีวิตวชิระพยาบาลในกรุงเทพฯ และย่านแหล่งท่องเที่ยว เป็นอาสาสายตรวจตำรวจจักรยานที่อยุธยาเพื่อดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวด้วย

ที่ ‘สปินน์ คาเฟ่’ มีค็อกเทลให้เลือกมากมาย นอกจากเขาทำค็อกเทล พิงค์เลดี้ หรือพุซซีแค็ทแล้ว เขายังสามารถบอกแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับจักรยานได้อีกด้วย สามารถสอนคุณนานกว่าชั่วโมงก็ยังได้

และตอนนี้เขากำลังเรียนภาษาจีนอยู่ แต่เขาพูดตลก เก่งมาก… 
    
ข้างความข้างต้นปรากฏอยู่ในหน้า About Us ของเว็บไซต์ www.spinn.cn ซึ่งทำให้เรารู้จักและสนใจ “โอ๊ต” หรือกิตติพงษ์ กองแก้ว หนุ่มไทยนักปั่นวัยยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปด หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งร้าน Spinn Cafe ร้านอาหารและร้านกาแฟที่มีข้อมูลการท่องเที่ยวทิเบตและบริการซ่อมบำรุงจักรยานขึ้นในกรุงลาซา (Lhasa-เมืองหลวงของทิเบต) ทิเบต

20080502 (1)

20080502 (2)
โอ๊ตในลาซา

โอ๊ตและเพื่อนออกเดินทางจากประเทศไทยผ่านเขาสูงแถบเชียงรุ่ง สิบสองปันนาของจีนเข้าสู่ทิเบตโดยใช้เวลานานกว่าสามเดือนบนหลังอานจักรยานกว่าจะบรรลุเส้นทางหลังคาโลกที่พวกเขาใฝ่ฝันโดยพกพาความตั้งใจเล็กๆ ว่าอยากไปเปิดร้านกาแฟขึ้นที่นั่น

ทุกวันนี้โอ๊ตยังคงทำงานที่ร้านในกรุงลาซาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในทิเบตขึ้นเมื่อกลางเดือนมีนาคมก็ตาม การสัมภาษณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นโดยผ่านโปรแกรม Chat ระดับโลกอย่าง MSN และการถามตอบกันทางอีเมล์เพื่อหยั่งรู้สถานการณ์ในลาซา ทุกข์สุขและความฝันของคนไทยคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตกอยู่ใต้อุ้งมือมังกรจีน

ตอนนี้สถานการณ์ในลาซาเป็นไงบ้าง?
        เริ่มปกติขึ้นแล้วครับ ทหารที่เข้ามาคุมดูแลก็ลดลงแล้ว มีน้อยกว่าตอนแรกเยอะ มีการเริ่มซ่อมอาคารที่เสียหายที่โดนเผา ก็เริ่มมีการตกแต่งใหม่แล้วครับ บางร้านก็เริ่มเปิดค้าขายตามปกติแล้วครับ

ตอนเกิดเหตุการณ์ประท้วงเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาคุณโอ๊ตทำอะไรอยู่ที่ลาซา?
        ผมติดอยู่ในโรงแรมครับผม กำลังนอนอยู่ ไม่รู้เรื่องอะไร ผู้จัดการที่ร้านเขาก็โทรมาบอกว่าไม่ให้ผมออกจากโรงแรม และเขาบอกว่าขอปิดร้านด้วย ผมก็ไม่คิดอะไรก็ให้เขาทำและนอนต่อ แต่มาสายๆ ผู้จัดการโทรมาอีก ผมก็ยังงงว่าเป็นไปได้ยังไง แต่ก็ยังนอนต่ออีก จนเพื่อนของเพื่อนชาวฮ่องกงที่ทำร้านด้วยกันมาเคาะประตู บอกว่าเกิดการประท้วง ผมก็เลยตื่นตอนนั้นเลย

มันมีอะไรเป็นลางบอกเหตุไหมว่าจะมีการประท้วงขึ้นก่อนหน้านั้น?
        ไม่มีครับ เพราะวันเกิดเหตุประมาณตีห้า ผมปิดร้านแล้วกลับโรงแรมนอน ก็เงียบสงบปกติเลยครับ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรุนแรงมากไหมในสายตาคุณโอ๊ต?
        ถ้าผมเทียบกับการประท้วงครั้งที่แรงๆ ที่เมืองไทยแล้ว คงพอๆ กันครับ เพราะที่นี่ถ้าไม่มีการจุดไฟเผาร้านค้า และทหารตำรวจควบคุมเหตุการณ์ก่อนที่จะบานปลาย ก็คงจะเสียหายในวงแคบๆ นะครับ

ที่ร้าน (Spinn Cafe) อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากมั้ย ได้รับผลกระทบยังไงบ้าง?
        รัศมีที่เสียหายก็ประมาณสามสี่กิโลฯ จากจุดศูนย์กลางการประท้วงที่หน้าวัดโจคัง ซึ่งใกล้กับที่ตั้งร้านมากเลยล่ะครับ เดินไปห้านาที ก็ถึงวัดโจคังแล้ว และร้านผมอยู่ติดขนานกับถนนโรงพยาบาลทิเบต ซึ่งเป็นถนนที่นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ เปรียบเหมือนถนนข้าวสาร ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็ทำให้มีคนมาพักน้อย ถึงกับไม่มีเลย ช่วงแรกๆ ในโรงแรมที่ผมพักก็มีเพียงนักท่องเที่ยวที่ยังติดเหลืออยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน แต่หลังจากเขาอนุญาตให้ออกมาได้แล้ว ผู้คนก็พากันออกไปจากลาซาหมดจนเหลือแค่สามสี่คนเท่านั้น  ส่วนช่วงนี้คนก็เริ่มกลับเข้ามาแล้วตอนนี้ที่โรงแรมที่ผมพัก ก็มีคนเริ่มเข้ามาบ้างประปราย คาดว่าถึงพฤษภาคมคงจะดีกว่านี้ เพราะการท่องเที่ยวจีนเขาจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าทิเบตได้ตามปกติ

20080502 (3)

20080502 (4)
สปินน์คาเฟ่

ช่วยเล่าบรรยากาศของลาซาในเวลาปกติให้ฟังหน่อยว่าเป็นอย่างไร?
    เวลาปกติส่วนมากหลังตื่นนอนผมก็มาที่ร้านมาเอาจักรยานออกไปปั่นเล่นสักสามสิบกว่ากิโลฯ แล้วก็กลับมาดูแลร้านต่อ ลูกค้าส่วนมากจะมาช่วงเย็นๆ ค่ำๆ เยอะมาก มีเวลาก็เอาหนังสือภาษาจีนมาหัดเรียนบ้าง  บางวันก็ไปเดินเล่นตามถนนดูการใช้ชีวิตว่าคนเขาทำอะไรบ้าง แต่คนจะเยอะมากๆ ยิ่งแถวตลาดแทบเดินไม่ได้  ได้เห็นชาวทิเบตบางคนที่มาจากต่างจังหวัด เขาดูตื่นเต้นมากๆ และบางคนเขาเดินมาจากบ้านด้วยการไหว้กราบลงไปกับพื้นทั้งตัว ซึ่งทำให้ผมทึ่งในความศรัทราที่เขามีต่อสิ่งที่นับถือมากๆ  

คิดยังไงถึงได้เลือกการเดินทางไปทิเบต?
        ผมอยากเดินทางมาทิเบตเพราะว่าอยากดูโลกกว้างนะครับ และผมก็ชอบปั่นจักรยานด้วย เส้นทางไปทิเบตถือว่าเป็นเส้นทาง จักรยานที่นักปั่นจักรยานท่องเที่ยว (Touring - ทัวริ่ง) ทั่วโลก ฝันจะ พิชิตครับ

20080502 (5)
ระหว่างการเดินทางด้วยจักรยานเข้าเขตทิเบต

นั่นคือเริ่มการเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยจักรยานเลยหรือเปล่า และออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อไร?
        ตอนแรกที่เข้าทิเบต เริ่มทริปจากไทยเดือนมิถุนายน วันที่ 5 ปี 49 ครับ เพื่อนผมเขาเริ่มปั่นจักรยานมาจากกรุงเทพฯ ครับ ส่วนผมยังติดงานอยู่เลยตามมาทีหลังอีกเดือนต่อมาครับ ผมนั่งเครื่องบินไปลงเชียงใหม่ พาแม่เที่ยวก่อน แล้วก็ส่งแม่กลับผมจึงปั่นต่อไปเชียงแสน เพื่อไปลงเรือเข้าจีนเดินทางกันอีกสามวันสามคืนจากนั้นค่อยเริ่มปั่นจักรยาน

ตกลงเดินทางกันกี่คนครับ?
        สองคนครับ กับเพื่อนผมซึ่งเป็นคนฮ่องกงชื่อก้อง (เหยา หวาง ก้อง) ตอนนี้ก็ทำร้านอยู่ที่ลาซาด้วยกัน

20080502 (6)
โอ๊ตกับก้องท่ามกลางสภาพอากาศอันหนาวเย็นระหว่างการเดินทาง

ต้องเตรียมตัวยังไงก่อนออกเดินทาง?
        เตรียมตัวแทบไม่ทันเลยครับเพราะการเดินทางเกิดขึ้นกะทันหันมาก เลยเตรียมได้เฉพาะสิ่งที่คิดออกครับ ก็เตรียมเงินไว้ พอควรครับ แต่ส่วนมากเพื่อนฮ่องกงผมเขาออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งที่พัก และอาหารครับ เพราะผมก็ช่วยเขาดูแลเรื่องรถจักรยานเขาทุกอย่าง เหมือนกันครับ

ก่อนหน้านั้นเคยปั่นจักรยานไปไกลสุดแค่ไหนและที่ไหน?
        เคยปั่นไกลสุดต่อวันก็ 225 กิโลฯ ครับ ปั่นในทริปจักรยาน ของชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยไปนครนายกแค่นั้นเอง แต่ผมใช้จักรยานปั่นไปทำงานจากบ้านแถว ๆ สะพานพระนั่งเกล้าฯ ไป มาบุญครองทุกวัน

แล้วก้องเขาปั่นจักรยานมาก่อนหรือเปล่า?
        ไม่ครับ เขาเพิ่งมาซื้อจักรยานปั่นจักรยานเที่ยวครั้งแรกก็ที่ไทยเองครับ ผมไปเจอเขาในทริปจักรยานปั่นไปบางปะอินครับ ตอนนั้นผมทำหน้าที่ขี่จักรยานปิดท้าย ปฐมพยาบาล พอดีผมตื่นสายต้องรีบปั่นตามออกไปก็เลยเจอก้อง ตอนนั้นเขาปั่นอยู่ท้ายสุดเลย ผมเลยสอนเขาให้รู้วิธีขี่จักรยานอย่างถูกต้องครับ เรื่องปั่นจักรยานมาทิเบตก้องก็เป็นคนชวน ปกติผมทำงานประจำที่เมืองไทยก็มีความสุขอยู่แล้ว ไม่อยากไปไหน แต่พอดีที่เขามาชวนและผมเองก็อยากรู้อยากเห็นโลกกว้างบ้างก็เลยตกลงใจลาออกจากงานไปตามที่เพื่อนชวนครับ แต่กะไว้ว่าไปสักปี แล้วจะกลับมาทำงานใหม่ แต่พอมาเปิดร้านที่นี่แล้วเลยอดกลับไปทำงานที่เก่า ซึ่งผมทำงานเป็นกัปตันของบริษัท SF Music City ได้สี่ปีกว่าๆ ที่นี่เป็นคาราโอเกะในเครือของโรงหนัง อยู่ตรงชั้นเจ็ด มาบุญครอง ตอนนั้นงานหนักและผมต้องตื่นตอนเย็นๆ ปั่นจักรยานจากนนท์ฯ ไปมาบุญครองทุกวัน เลิกงานก็มาทำอาสาจักรยานหน่วยแพทย์กู้ชีวิตอีกครับ กว่าจะกลับบ้านก็ตีห้าหกโมงเช้า แต่ก็ต้องต้องกัดฟันขอลาออกทั้งๆ ที่เสียดายงานเก่า มันคาใจอยู่ห้าสิบห้าสิบว่าจะไปดีมั้ย ผมยังไม่เคยออกไปปั่นจักรยานต่างประเทศ ก็เลยอยากหาประสบการณ์เพิ่มบ้าง แล้วอีกอย่างเส้นทางปั่นจักรยานไปทิเบตเป็นเส้นทางในฝันของคนที่ชอบการปั่นจักรยานทั่วโลก และผมเองก็อยากไปพิชิตหลังคาโลกดูบ้างเลยตกลงใจขอลาออก
 
ตอนแรกไปทำจักรยานอาสาได้ยังไงและต้องทำอะไรบ้าง?
        ก่อนที่ผมจะเดินทางมาทิเบต ผมได้พบกับน้องปาว จักรยานกู้ชีพ (ทำอาสาจักรยานกู้ชีพและได้ออกรายการคนค้นคน) ครั้งแรกโดยไม่รู้จักชื่อเสียงเขามาก่อน  วันหนึ่งผมปั่นจักรยานกลับจากที่ทำงานแล้วกำลังคิดถึงเพื่อนๆ ในกลุ่มที่เคยร่วมทริปซึ่งประสบอุบัติเหตุ ก็เลยอยากหาวิธีช่วยปฐมพยาบาลเขา บังเอิญปั่นไปเจอน้องปาวปั่นจักรยานประหลาดๆ มีไฟเต็มคันเลย แต่พอเข้าไปดูใกล้ๆ เลยรู้ว่าเขาทำงานอาสาของหน่วยแพทย์กู้ชีวิต วชิระฯ  ซึ่งผมก็รู้สึกสนใจอยากศึกษาเรื่องการช่วยเหลือคนอยู่พอดี จึงเข้าร่วมทำงานเป็นอาสาจักรยานอีกคน
           ในกลุ่มจักรยานอาสากลุ่มผมจะอยู่ในพื้นที่สนามหลวง ถนน ข้าวสาร สามเสน บางลำพู  เราก็จะค่อยๆ ปั่นไปตามซอยเล็กซอยน้อย และฟังวิทยุแจ้งเหตุต่างๆ ทั้งคืน ซึ่งเป็นการดีที่ได้ช่วยเหลือในการออก ตรวจตระเวนไปเรื่อย เป็นการลดอาชญากรรมและป้องกันเหตุร้ายตาม ซอยเปลี่ยวๆ ได้ มีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บผู้ประสบเหตุต่างๆ

เส้นทางที่เดินทางมาทิเบตเป็นยังไง ใช้เส้นทางไหน และใช้เวลาเดินทางนานไหม?
        พอผมปั่นไปถึงเชียงแสนแล้วหาเรือเดินทางทวนแม่น้ำโขง ขึ้นไปถึงเชียงรุ่ง สิบสองปันนาก่อนแล้วก็ค่อยไปต่อถึงซินเหมา  ปูเออ ต้าหลี่ ลี่เจี่ยง จงเตี้ยน แชงกรีล่า จนเข้าทิเบต ที่จริงแล้วมาทิเบตได้หลายทางด้วยกัน จะเข้าจากทางเนปาลก็ได้ หรือทางทิศเหนือประเทศรัสเซียก็ได้ครับ ตอนออกมาจากเมืองไทยรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ในใจคิดถึงพ่อแม่และเพื่อนๆ ครับ ตอนเรือลอยออกจากท่าเรือเชียงแสนผมแอบ ร้องไห้นิดหน่อย

เป้าหมายในการเดินทางครั้งนั้นคือไปถึงลาซาและดินแดนหลังคาโลกให้ได้อย่างเดียว หรือมีอะไรอีก?
        เป้าหมายของผมมีแค่อยากไปพิชิตเท่านั้นเอง เพราะเคยอ่านแต่หนังสือเกี่ยวกับทิเบต เลยอยากเห็นของจริงว่าเป็นยังไงบ้าง ส่วน เพื่อนผมเขาอยากเปิดร้านและก็ชวนให้ผมร่วมงานด้วยครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ยาวครับ ก็กะอยู่เป็นเพื่อนเพื่อนแล้วใช้เวลาเรียนภาษาจีนไปด้วย ถ้าร้านอยู่ตัวแล้ว พนักงานสามารถดูแลร้านเองได้ ผมก็กลับไปหาอะไรทำต่อที่เมืองไทย และที่เปิดร้านนี้ขึ้นก็เพราะว่าเพื่อนเขาชอบกาแฟ ส่วนผมชอบจักรยาน ก็เลยเอาทั้งสองอย่างมารวมกัน ผมออกแบบร้านเองทุกอย่าง

การเดินทางครั้งนี้ระยะทางประมาณเท่าไร ใช้การเดินทางนานแค่ไหน?
        ประมาณสามพันกว่ากิโลฯ ครับ ใช้เส้นทางเก่าในยูนานตลอด ถ้าคิดเฉพาะเวลาที่ปั่นจักรยานบนอานจริงๆ ก็แค่สามเดือนครับ แต่เราไม่รีบเพราะเราถือว่ามาท่องเที่ยวด้วย ดังนั้นบางเมืองใหญ่จะหยุดพักและชมเมืองไปด้วย เลยใช้เวลาทั้งหมดห้าเดือน จนถึงทิเบตในเดือนพฤศจิกายน ระหว่างเส้นทางก็ได้เจอคนที่ปั่นจักรยานมาไกลกว่าเราอีก ก็เคยเจอบางคนที่ปั่นรอบทวีปหรือรอบโลก

การเดินทางไปทิเบตด้วยจักรยานเป็นไปอย่างที่คิดไหม
ชอบหรือประทับใจอะไรมากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้?
    ผมชอบการผจญภัย เราต้องคำนวณแทบทุกวันเวลาเข้าทิเบตว่าจะมีหมู่บ้านให้ซื้อของมั้ย ต้องเตรียมเสบียงสำรองไว้สำหรับสามสี่วันเลย เพราะถ้าปั่นไปในบางช่วงไม่มีหมู่บ้านหรือร้านค้าเลย ก็จะไม่มีอะไรกินเส้นทางแต่ละช่วงมันแห้งแล้งมากๆ แทบไม่มีคนเลย ผมยังชอบ เส้นทางและชาวบ้านตามเส้นทางครับ พวกเขาน่ารักดี บางครั้งชาวบ้าน เขาทำอะไรที่แปลก ๆ จากความคุ้นเคยของเรา เราก็แอบขำ ตลกพวกเขาก็มี

เส้นทางโหดไหม มีอันตรายหรือเรื่องตื่นเต้นเร้าใจเกิดขึ้นบ้างไหม?
        เส้นทางในยูนานไม่โหดมาก ถึงแม้จะใช้เส้นทางเก่าๆ แต่ก็ยังพอไปได้ แต่พอเข้าเขตทิเบตแล้ว ยากขึ้นครับ เพราะเจอความหนาวจัด และเราต้องข้ามภูเขาขึ้นไปอย่างเดียว ในบางลูกตั้งห้าสิบกว่ากิโลฯ แถม ถนนยังเป็นหินลอย ยิ่งทางเข้าเขตแดนช่วงแรก ถนนมีเลนเดียว ก็ไม่อยากเรียกว่าถนนเลย แถมข้างทางเป็นเหวเยอะแยะ
        อันตรายมีตลอดทางครับ อย่างวันแรกที่เขาจีน ก้องก็ปั่นไปลงหลุมรถล้มจนจักรยานพังเลยต้องหยุดปั่นไปวันหนึ่ง ต่อมาผมซ่อมจักรยานให้เขาพอปั่นไปต่อได้ แล้วจึงไปเปลี่ยนอะไหล่ที่ร้านจักรยานในเชียงรุ่ง ต่อมาก็เริ่มเข้าทิเบตเจอปัญหาเยอะกว่าเดิม ทั้งเรื่องอากาศที่เบาบางตอนข้ามเขาสูงกว่าห้าพันเมตร

20080502 (7)
เส้นทางจักรยานอันยาวไกลที่ต้องผ่าน

ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ปั่นจักรยานวันละกี่กิโลฯ จากกี่โมงถึงกี่โมง?
        ออกปั่นก็ตั้งแต่สิบโมงสิบเอ็ดโมงเช้าราวๆ นี้แล้วก็ไปหยุดพักหาที่ตั้งแคมป์ราวๆ หกโมงเย็น ต้องทำอาหารกินกันเอง เวลาเดินทาง ส่วนมากจะพยายามตื่นให้เช้า แต่ก็ตื่นกันได้ประมาณสิบโมงครับ เพราะ เวลาที่ทิเบตมันช้า ขนาดแปดโมงเช้าข้างนอกก็ยังมืดอยู่เลย

สัมภาระทั้งหมดหนักไหม เอาอะไรไปบ้าง?
        รถจักรยานผมสัมภาระมีเยอะครับ คือมีถุงนอนที่ใช้งานที่นี่แทบไม่ได้ เพราะอากาศมันหนาวเกินไป เต็นท์ก็ดันเอาแบบฤดูร้อนมา มีที่กรองน้ำแบบฟิลเตอร์ แล้วก็แบตเตอรี่ ขนาดสิบสองโวลต์ สิบสองแอมป์เอาไว้ชาร์จแบตฯ โทรศัพท์ หรือส่องไฟสปอตไลท์ล้านแรงเทียน เตาหุงอาหารแบบน้ำมัน หม้อสนาม     รถผมบรรทุกหนักสุดก็เจ็ดสิบกิโลฯ คันของเพื่อนจะหนักราวๆ สามสิบห้าถึงสี่สิบกิโลฯ และเป็นรถพ่วงด้วย มีวันหนึ่งเพื่อนผมเขาไม่สบาย ปั่นไม่ไหว ผมก็เลยต้องแบกทั้งของผมและลากรถพ่วงของเพื่อนด้วย ถึงที่พักหลับเป็นตายเลย ขาระบมไปหมด

ที่ว่าอากาศหนาวมาก หนาวแค่ไหน?
        อุณหภูมิช่วงเที่ยงประมาณแปดองศาครับ แต่ยามดึกเที่ยงคืน จนเช้าอุณหภูมิติดลบเลยครับ ตื่นมาเต็นท์ก็จะมีน้ำแข็งเกาะ จักรยานมีแต่เกล็ดน้ำแข็งเต็มเลย ช่วงเข้าทิเบตก็เลยไม่ค่อยได้อาบน้ำหรอก นานสุดเป็นอาทิตย์กว่าจะอาบที เพราะมันหนาวมากๆ ขนาดน้ำที่กรองไว้กิน ตื่นเช้ามาก็กินไม่ได้เพราะกลายเป็นน้ำแข็ง บางครั้งก็เลยทำได้แค่ต้มน้ำ แล้วชุบผ้าลูบเช็ดตัว

ความรู้สึกแรกที่ไปถึงทิเบตเป็นยังไง?
        ครั้งแรกที่ถึงลาซา เราปั่นเข้ามาลาซาประมาณเที่ยงคืนเกือบ ตีหนึ่ง ได้เห็นพระราชวังโปตาลาแล้ว น้ำตาเล็ดเลยครับ บอกตัวเองว่าเราทำสำเร็จแล้ว

ไปถึงแล้วเริ่มต้นยังไงถึงได้เปิดร้านนี้ขึ้น หรือว่าก้องเคยหาที่ทางไว้ก่อนแล้ว?
        พอก้องเขาเรียนจบมหาวิทยาลัยก็มีเงินเก็บไว้ เพราะตอนเรียนอยู่เขาทำงานสร้างเว็บไซต์ด้วยก็เลยมีเงินเก็บเยอะ และก็เริ่มออกท่องเที่ยวไปหลายที่ ทั้งยุโรป เอเชีย แต่ตอนนั้นเขายังไม่ได้ปั่นจักรยานเที่ยว เขาเคยมาลาซามาก่อนครับ ประมาณปี 2000 ก้องเขาชอบทิเบตเพราะในเวลาปกติแล้ว สงบดี และเขาก็อยากเรียนภาษาทิเบตด้วย ส่วนผมอยากเรียนภาษาจีน พอมาถึงพร้อมกันครั้งแรก ก็ได้แต่เดินออกไปหาทำเลที่จะทำร้าน เดินไปทุกถนนทุกซอยเพื่อหาสถานที่ เรามาถึงลาซาเดือน พฤศจิกายนปี 49 กว่าจะเปิดร้านได้ก็เดือนเมษาฯ ครับ นานมากๆ กว่าจะเจอสถานที่ ส่วนมากจะให้เช่าสถานที่ โชคดีที่เราใจเย็นจนมาเจออาคารที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ เลย ได้จ่ายแต่ค่าเช่าที่ไม่แพง แต่เป็นสัญญาเช่าระยะยาว 10 ปี

ตอนนี้เปิดร้านมาได้นานแค่ไหนแล้ว?
        เปิดมาใกล้จะครบปีหนึ่งแล้วครับ ตั้งแต่เดือนเมษาฯ ปีที่แล้ว (2550)

เห็นบอกว่าเป็นคนออกแบบร้านเอง ตกลงคืออยากทำเป็นร้านกาแฟ?
        ครับ ผมวาดแบบร้านว่าจะให้ออกมายังไง รูปร่างเป็นยังไง ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ห้องน้ำ ห้องครัว ชั้นวางของครับ เป็นร้านกาแฟที่รวมกับร้านจักรยานครับ ร้านเราดีที่ว่าเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติทั้งนักปั่นจักรยาน ทัวริ่งหรือนักแบกเป้ เพราะร้านเรามีให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิเบตทั้งการท่องเที่ยวและเส้นทางต่างๆ ด้วยครับ ตอนเปิดร้านแรกๆ เราก็ไม่มีอะไรเลย พนักงานก็ไม่มี จนประมาณสองสามเดือนผ่านไปถึงมีลูกค้ารู้จักมากขึ้น

ตกลงร้านนี้คุณโอ๊ตร่วมหุ้นลงทุนด้วยหรือเปล่า?
        เป็นการรวมเงินกันและแบ่งหน้าที่กันทำงานครับ ส่วนมากในร้านผมจะดูแลด้านจักรยานและอุปกรณ์ของร้าน ดูแลบาร์ เป็นพ่อครัวเฉพาะทำอาหารไทย เพราะผมก็พอรู้เรื่องการทำอาหารมาบ้าง พวกต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวาน ต้มข่าไก่ เพราะแม่ผมเขาเป็นคนทำอาหารขายส่วนก้องเขาดูแลเรื่องสัญญาเช่า ทำงานเกี่ยวกับเอกสารและข้อมูลของทิเบต

แล้วการทำร้าน Spinn Cafe มีเป้าหมายไว้ยังไง?
        ก็เป็นร้านที่เป็นความหวังของนักจักรยานแบบทัวริ่งครับ เพราะ ร้านจักรยานในลาซา เขาจะขายแค่จักรยานครับ เครื่องไม้เครื่องมือไม่เพียงพอที่จะซ่อมรถ และอะไหล่ที่ใช้ก็เป็นระดับต่ำทั้งหมด ส่วนที่ร้านผม ใช้อะไหล่เกรดสูงทั้งหมดเลยครับ ต้องสั่งนำเข้ามาจากจีน แต่ที่ร้านไม่มีบริการให้เช่าจักรยานนะครับ เพราะว่าจักรยานผมคันนึงก็ปาไปสองหมื่นแล้ว ถ้าเช่าแล้วหายก็แย่เลยครับ ไม่คุ้ม นอกจากนี้ที่ร้านยังเป็นแหล่งข้อมูลให้นักท่องเที่ยวด้วย เนื่องจากก้องเขาเก่งอังกฤษเลยแนะนำข้อมูลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดีครับ

20080502 (8)
โอ๊ตขี่จักรยานโชว์ให้เด็กชาวทิเบตชม

เป้าหมายลูกค้าที่ตั้งไว้คือนักท่องเที่ยวอย่างนั้นใช่มั้ย?
        ทั้งนักท่องเที่ยว นักจักรยาน แม้แต่คนในพื้นที่ คนทิเบตก็มา ครับ คนทิเบตชอบร้านเราเพราะร้านเราเป็นกันเองเขาเลยมาเป็นลูกค้า สุดท้ายเป็นเพื่อนกันไปหลายคนแล้ว ร้านเรามักมีของแปลกๆ ให้เขาชม ซึ่งหาดูที่ไหนไม่ได้ วันไหนว่างก็เล่นมายากลให้เขาดู เขาชอบของแปลกที่ไม่มีในลาซา อย่างพวกของที่มีดีไซน์แปลกๆ เราก็เอามาขาย มีเกมบอร์ดต่างๆ ให้เล่น

ทำมาเกือบๆ ปีกิจการเป็นยังไงบ้าง?
        ก็เริ่มดีครับ แต่มาแย่ตอนที่เขาประท้วงครับ ช่วงนี้เลยซบเซานักท่องเที่ยวไม่ค่อยมีครับ แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้น ถ้าลาซาเปิดปกติแล้ว ก็น่าจะดีเหมือนเดิมครับ

คิดว่าได้รับอะไรในการทำร้านขึ้นมา?
        ได้ความสนุกครับ ทำงานแบบนี้ยิ่งลูกค้าเยอะยิ่งสนุก เพราะมีเพื่อนคุยและได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน ตอนนี้ก็คิดกันว่าจะปรับปรุงร้านยังไงกันไปเรื่อยๆ ครับ มีเงินก็จะลงทุนอะไรอีกหลายอย่าง เพราะก้องเขาอยากขายจักรยานทั้งคัน อยากทำเมนูให้มีรายการอาหารเยอะขึ้น แต่เจอสถานการณ์แบบนี้เข้าไป เงินที่ได้ก็ลดลง แผนการที่คิดว่าจะลงทุนก็เลยต้องเก็บไว้ก่อน

พอมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นบรรยากาศในลาซาเปลี่ยนไปอย่างไร โดยส่วนตัวคุณโอ๊ตรู้สึกอย่างไร?
          รู้สึกเศร้าครับ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้นและหนักขนาดนี้ ทั้งๆ ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดมาก่อน ในช่วงแรกๆ ก็เครียดครับ เพราะมีทหารเต็มเมืองเลย แต่ตอนนี้เขาลดกำลังออกไปบ้างแล้ว และนักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาเที่ยวเหมือนเดิม  ในไม่ช้าก็จะเป็นสภาวะปกติเหมือนเดิม เราก็คงต้องเริ่มสู้ใหม่ ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนตอนที่เราเปิดใหม่ๆ คือลูกค้าไม่ค่อยมี เลยได้แต่ทำใจและคิดว่าจะพยายามให้ดีเป็นปกติในไม่ช้า ถึงมีเหตุการณ์ร้ายๆ หลังจากจบแล้วชาวทิเบตเขาก็คงทำตัวปกติ เป็นมิตรเหมือนเดิม เวลาเดินผ่านหน้้าร้านก็ยิ้มทักทายให้เรา บางวันผมก็เล่นกับเด็กๆ ทิเบต เอาจักรยานผมให้เขาขี่เล่น  อยากให้เด็กได้ขี่จักรยานบ้าง

จริงๆ แล้วผู้คนที่ลาซานิสัยใจคอเป็นยังไง?
        คนลาซาหรือคนทิเบต ปกติเป็นคนขี้อาย รักสงบ ใจกว้าง มากๆ มีลูกค้าทิเบตบางคนมาสั่งเบียร์กินเยอะมากๆ แต่เขาจ่ายเลี้ยงเพื่อนหมด คนที่นี่เขาอยู่กันอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องมีอะไรหรูหรามาก  เวลาเขาเจอคนต่างชาติ ก็ชอบทักทาย บางคนพูดเป็นแต่คำว่า โอเค บางคนก็พูดฮัลโหล ก็น่ารักดีครับ คนที่นี่ยิ้มง่าย เป็นมิตรดี

ในฐานะคนไทยที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่และทำงานที่ทิเบต รู้สึกอย่างไร คิดถึงบ้านไหม?
        คิดถึงบ้านมากๆ ครับ เพราะว่าจะสองปีแล้วยังไม่ได้กลับบ้าน รู้สึกเป็นห่วงและคิดถึงพ่อแม่มาก คิดว่าอยากจะเก็บเงินได้แล้วไปเปิดธุรกิจเล็กๆ ที่เมืองไทยบ้าง เคยคิดเอาไว้ว่าอยากทำร้านสปินน์คาเฟ่ในไทยบ้าง จะได้ใช้เวลาดูแลพ่อแม่ได้ครับ  แต่การใช้ชีวิตในลาซาก็มีสิ่งที่ชอบเยอะครับ ตั้งแต่ ได้เพื่อนใหม่ๆ เป็นชาวทิเบต และได้เรียนรู้ธรรมเนียมประเพณีเขามากขึ้น รู้สึกอากาศมันบริสุทธิ์ หายใจได้เต็มปอด แต่ออกซิเจนมันน้อยเท่านั้นเอง ที่ไม่ชอบคงเป็นเรื่องอากาศที่หนาวจัดตอนฤดูหนาวและออกไปไหนไกลๆ ไม่ได้ติดอยู่แต่ในลาซาที่ทั้งเมืองก็ไม่ใหญ่มากเลยได้แต่วนไปวนมาในเมืองเหมือนติดคุก ไม่ค่อยได้มีทริปออกไปปั่นจักรยานเหมือนตอนอยู่เมืองไทย ได้แต่ปั่นออกไปชานเมือง บางวันที่มีเทศกาลของคนทิเบตก็ไปดูเทศกาลเขา ตอนนี้ยังออกไปไกลๆ ไม่ได้ เพราะว่าต้องดูแลร้านครับ

เคยคิดเอาไว้ไหมว่าอยากจะปั่นจักรยานไปเที่ยวไหนไกลๆ อีกบ้างหลังจากการเดินทางครั้งนี้?
         ถ้าผมมีเงิน หมดห่วงทุกอย่าง ก็อยากปั่นจักรยานรอบโลก บ้างครับ โลกมันกว้างใหญ่ดี แต่ละถิ่นแต่ละประเทศ วัฒนธรรมประเพณี ไม่เหมือนกัน  ยังไงก็เกิดมาแล้วก็อยากเดินทางรอบโลกสักครั้ง แต่ทุนมันสูงมาก เลยขอเก็บเป็นฝันไว้ก่อน แต่ที่พอเป็นไปได้อยากใช้เวลาปั่นเที่ยวทุกที่ในไทยให้ครบทุกจังหวัดก่อน ไทยเองก็มีหลายที่น่าเที่ยวและผมยังไม่เคยไป

การเดินทางไปทิเบตด้วยจักรยานครั้งนี้ สรุปว่าให้อะไรกับชีวิต?
     ให้ความรู้สึกว่าตัวเองปลดปล่อยอิสระ เพราะไม่ต้องทำงาน ผมชอบที่ได้เห็นวัฒนธรรมต่างถิ่นต่างแดน ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยเห็นในไทย ได้ชมธรรมชาติแบบเต็มที่ รู้จักการเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ ได้มิตรภาพและเพื่อนใหม่ครับ  

บล็อกของ อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง

อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้านและระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ในงานนิทรรศการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและของแต่งบ้านปีหนึ่งนานมาแล้วที่บังเอิญได้ไปเดินดูและเลือกซื้อข้าวของ ในมุมหนึ่งของงานซึ่งเป็นการออกร้านสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศอื่นๆ ตะกร้าสานจากกาน่าเหมือนจะได้รับความนิยมจากผู้คนที่เดินในงานมากเป็นพิเศษ สินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้และไม้แกะสลักในร้านจากอินโดนีเซียก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ร้านของเวียดนามและกัมพูชาที่อยู่ถัดๆ มาก็มีผู้คนเข้าไปชมสินค้ากันคึกคัก แต่เหตุไฉนร้านค้าซึ่งเป็นสินค้าตัวแทนจากประเทศลาวหรือ สปป. ลาว…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้นปีผ่านมา...เป็นการเดินทางที่ไม่ยาวนานนักในสามจุดหมายคือเซินเจิ้น หนึ่งเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ แวะฮ่องกงและกลับจากมาเก๊า แต่ก็มีความเหนื่อย เหน็บหนาวจากสภาพอากาศอันไม่คุ้นเคยของจุดหมายที่ว่าแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางอันไม่คาดหมายว่าจะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตรวดเร็วอย่างไม่ทันจะตั้งตัว จะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ผมเอาไว้................................................ที่ว่าการเดินทางช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปผ่านพ้นหรือผจญภัยกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อนเราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัยแต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”ออง ซาน ซูจี 2538“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547 สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมหยิบยืมคำว่า “ไปทำไม” ขึ้นมาเป็นชื่อเรื่องของข้อเขียนนี้จากชื่อสำนักพิมพ์ของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายการเดินทางและโปสการ์ดราคาประหยัดเพียงสามใบสิบบาท และเขาเรียกขานสำนักพิมพ์ตัวเองในเชิงสัพยอกว่า ‘สำนักพิมพ์ไปทำไม’...แม้จะฟังดูคล้ายกับว่าเจตนาจะกวนๆ แต่ก็เข้าท่าดีเหมือนกันคำว่า “ไปทำไม” แม้จะดูคล้ายกับการตั้งคำถามโดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการปุชฉาโดยมีโทนของน้ำเสียงฟังเหมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเองหรือการพ่นความไม่ได้ดังใจหรือความไม่เข้าใจของคนที่บังเอิญไปประสบพบเห็นพฤติกรรมของ “การไป” (ที่ไหนสักที่ ของคนสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่ง)…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
เพชรบุรีวางตัวอยู่อย่างน่าสนใจจากกรุงเทพฯ…ที่ว่าน่าสนใจนั่นคือ ระยะทางที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป แค่ชั่วเวลานั่งรถเพลินๆ ไม่เกินสองชั่วโมงก็น่าจะเข้าเขตเมืองเพชร โดยมีภาพของทุ่งนายามข้าวออกรวงสีเขียวละมุนตาและต้นตาลยืนต้นเรียงรายอยู่ปลายนา หรืออาจจะเห็นปลายจั่วแหลมๆ ของบ้านหลังคาทรงไทยหลายหลังโผล่พ้นทุ่งนาหรือรั้วบ้าน เป็นฉากทั้งหลายที่บ่งบอกว่า บัดนี้เข้าสู่ดินแดนแห่งน้ำตาลเมืองเพชรแล้วหลายวันก่อนเป็นอีกครั้งของความตั้งใจที่จะไปเยือนเพชรบุรีโดยที่ไม่ต้องมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คืนและวันที่ดูแปลกหน้า แม้สบายๆ แต่ก็เปี่ยมด้วยความมุ่งหวังบางอย่าง หลายสิ่งที่ได้พบเห็นเติมเต็มความรู้สึกที่ได้รับจากการเดินทาง จากดินแดนเหนือสุดของเวียดนามประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้เรากำลังไต่ตามแผ่นดินแคบๆ ที่เลียบท้องทะเลมาถึงเมืองมรดกโลกลือชื่ออย่าง  ‘ฮอยอัน’  และในระหว่างเส้นทางอันยา
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
สายวันหนึ่งขณะที่เดินทางออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งจอแจเช่นเคย สายตาเหลือบไปเห็นข้อความด้านหลังของรถแท็กซี่มิเตอร์สีเขียวเหลืองคันที่อยู่ข้างหน้า “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน”...แม้จะเป็นข้อความเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็เป็นข้อความที่มีความหมาย และให้ความรู้สึกแปลกตาโดยเฉพาะเมื่อมาปรากฏอยู่บนกระจกหลังของแท็กซี่เช่นนี้ ทำให้พาลอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลังพวงมาลัยของแท็กซี่คันนี้ก็เป็นได้…