Skip to main content

นาฏกรรมชีวิตและเรื่องราวแห่งการกินของผู้คนที่ ‘นครปฐม’ เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ติดๆ กัน ผมจะมีโอกาสแวะเที่ยวชมและเที่ยวชิมขนม ข้าวปลาอาหารและเมียงมองชีวิตของผู้คนในเมืองส้มโอหวาน ข้าวสารขาวถึงสองครั้งสองครา ซึ่งแต่ละครั้งคราเป็นต้องอดสงสัยไม่ได้ว่าในเมืองแห่งนี้ทำไมจึงมีการขายอาหารกันเป็นล่ำเป็นสัน ที่สำคัญยังมีรสชาติดีถูกปากถูกใจคนบ้านใกล้บ้านไกล ชนิดที่ว่าไม่ต้องรู้จักชื่อเสียงหรือมีป้ายโฆษณาชวนเชื่อ แค่ลองแวะชิมอาหารรถเข็นหรือตามสองข้างทางสักร้านในเมืองนครปฐมเป็นต้องอร่อยติดใจเกือบจะทุกรายไป

หลายครั้งก่อนที่ได้แวะไปชิมข้าวหมูแดงกลางเมืองนครปฐม (เมืองนี้ยังมีชื่อเรื่องการเลี้ยงหมูเป็นล่ำเป็นสัน) ตรงข้างๆ คลองที่มีร้านอาหารและขนมขายเรียงรายกันอยู่หลายเจ้าก็ทำให้ติดอกติดใจอยากหาโอกาสกลับไปลิ้มรสอีกครั้ง ที่ร้านแห่งนั้นนอกจากจะเสิร์ฟข้าวหมูแดงรสดีแล้วยังมีน้ำส้มคั้นสดราคาถูก แค่ขวดละ 10 บาทเอาไว้ให้แก้รสเลี่ยนมันของอาหารคาวได้ดี เมื่อกินข้าวหมูแดงเสร็จแล้วเดินต่อลงมาอีกสักหน่อยก็จะถึงร้านลอดช่องใบเตย รสกะทิหวานหอมมัน กินแล้วชื่นใจคลายร้อน ขายแค่ถ้วยละ 12 บาท (แต่ตอนนี้ปรับราคาขึ้นเป็น 14 บาทแล้ว)

อีกครั้งหนึ่งต่อมาเมื่อได้กลับไปเยือนถนนสายอาหารริมคลองตรงข้ามองค์พระปฐมเจดีย์แห่งนี้อีกครั้งก็พบว่าอาหารอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ ก๋วยเตี๋ยวไก่ หรือแผงขายส้มตำ ลาบหมู ไก่ย่าง ที่อยู่ถัดๆไปก็ล้วนมีรสชาติดีและขายดิบขายดีเช่นกัน โดยเฉพาะร้านส้มตำแห่งนี้ยังมี ‘ตำหลดบัว’ ซึ่งเป็นสายบัวอ่อนกรอบตำปูให้ลองชิมอีกด้วย ตำหลดบัวที่ว่านี้ยังมีขายกันอีกหลายร้านในนครปฐมและผมก็เพิ่งจะได้ชิมเป็นครั้งแรกที่นี่เอง

20080605 1
ตำหลดบัว

ร้านไอติมไอส์เบิร์กที่อยู่ละแวกเดียวกันกับแผงค้าอาหารย่านนี้ก็ถือว่าเป็นร้านเด่นดังของที่นี่ ด้วยว่าเปิดขายกันวันเว้นวัน (ทางร้านบอกว่าเปิดเฉพาะวันเลนคู่) และเปิดขายเอาตอนบ่ายสองโมงเป็นต้นไป ได้ยินกิตติศัพท์ถึงรสชาติอร่อยราคาไม่แพงของไอติมรสผลไม้ตามฤดูกาลของที่ร้านแห่งนี้ แต่ก็ไม่ทันได้ชิมเนื่องด้วยครั้งแรกที่ไปเป็นวันเลขคี่ซึ่งร้านปิด เพราะต้องหยุดทำไอติม

ใช่ว่าบรรยากาศและเรื่องราวแห่งการกินที่เมืองพระปฐมเจดีย์จะฟู่ฟ่าเฉพาะตอนกลางวันดังที่ว่ามาเท่านั้น หากใครที่ชื่นชอบการออกไปหาอะไรกินนอกบ้าน ย่อมจะต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของตลาดโต้รุ่งหน้าองค์พระฯ ซึ่งเป็นตลาดอาหารที่อยู่บริเวณลานพระปฐมเจดีย์นั่นเอง ตลาดแห่งนี้เปิดขายตอนเย็นประมาณหกโมงเย็นเป็นต้นไปจนถึงยามค่ำคืนดึกดื่น และเป็นที่นิยมของคนในจังหวัด ทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร สนามจันทร์ ทั้งบรรยากาศนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจึงมีความคึกคักทั้งอาหารที่ขายและผู้คนที่เดินเลือกอาหารว่าจะปลงใจกับร้านใดดี

20080605 2
ตลาดหน้าองค์พระ

ที่ตลาดอาหารแห่งนี้เองหลายคนคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของร้านไอศกรีมลอยฟ้า ที่มีการโยนลูกไอติมขึ้นไปแล้วให้ลูกค้าได้ลองถือถ้วยไปรองไอติมเอาไว้ ใครรับไอติมที่ลอยลงไปตกลงในถ้วยได้พอดี รับรองว่าได้กินไอติมถ้วยนั้นฟรี จึงมีเด็กๆ วัยรุ่นและนักท่องเที่ยวเข้าไปมุงและผลัดกันลองทดสอบฝีมือรับไอติมกันเนืองแน่หน้าร้านอยู่เสมอ

20080605 3
ไอศกรีมลอยฟ้า

ถนนสายอาหารในยามค่ำคืนที่ตลาดองค์พระฯ แบ่งออกเป็นสองช่องทาง และแต่ละเลนก็มีร้านรวงเรียงรายนับสิบยี่สิบร้านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นขนมครก น้ำแข็งไส ไก่ย่าง สเต๊ก ผัดไท หอยทอด ข้าวมันไก่ เย็นตาโฟหรือก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ทุกรส ฯลฯ ล้วนมีให้เลือกอย่างละลานตาแทบจะเลือกไม่ถูก แม้ว่าน้ำลายและน้ำย่อยในกระเพาะได้ถูกกระตุ้นให้หลั่งไหลออกมารอแล้วก็ตาม

20080605 4

เดินทางในเอเชียและที่อื่นๆ มาก็หลายประเทศ ผมไม่เคยเห็นว่าจะมีประเทศใดที่จะมีการขายอาหารกันเป็นตลาด โดยเฉพาะแบบตลาดโต้รุ่งได้คึกคักหลากหลายได้เท่าเมืองไทย และแค่ตลาดหน้าองค์พระฯ ยามค่ำคืนที่นครปฐมแห่งนี้ที่เดียวก็แทบจะทำให้หลายๆ ประเทศในโลกหันมาค้อนขวับในความหลากหลายของบรรยากาศการกินอาหารนอกบ้านของคนไทยได้ทีเดียว

อาหารแบบนี้ใช่หรือไม่ที่เป็นอาหารจานด่วนราคาประหยัด (สนนราคา 25 – 35 บาทต่อจานหรือชาม) สำหรับคนไทยโดยไม่ต้องพึ่งพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ ฮ็อตดอก หรือแซนด์วิชตามร้านหัวนอก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น Junk Food จานด่วนมาจากตะวันตก ขอแค่ข้าวแกงที่มีข้าวหอมมะลิร้อนๆ ราดกับข้าวสักอย่างสองอย่าง หรือได้บะหมี่ร้อนๆ สักชาม คนไทยก็อิ่มได้อย่างถูกใจและยังถูกสตางค์กว่าด้วย

ระหว่างการเดินเลือกดูอาหารว่าจะพาท้องว่างๆ ไปเติมที่ร้านใด ซึ่งต้องเล็งและเลือกให้ดี เพราะว่าแม้อาหารจะมีหลายร้านและหลากรสปานใด แต่คนเราก็มีได้แค่ ‘หนึ่งอิ่ม’ เท่านั้นเอง ผมไปถูกใจเนื้อหมูย่างที่หั่นสไลด์ได้บางที่โชว์อยู่ในตู้ไม้ใบเก่าเคียงเส้นบะหมี่ที่ม้วนกองดูน่ากินที่หน้าร้านบะหมี่เกี๊ยวเจ้าหนึ่ง ซึ่งพอดีมีโต๊ะว่างให้นั่งรอคนขายมารับอาหารที่เราจะสั่ง แต่ใช่ว่ามีที่นั่งและจะได้สั่งและได้ลิ้มลองรสชาติบะหมี่เจ้านี้ที่ดูน่ากินอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นผมสังเกตว่ามีหลายคิวที่ซื้อกลับบ้าน หลายคนที่มาก่อนและยังต้องนั่งรอ สักพักหนึ่งในคนขายที่เป็นชายหนุ่มหันมาบอกว่า...นานสักหน่อยนะครับ ประหนึ่งว่าถ้ายังสมัครใจจะกินก็นั่งรอไปก่อน

20080605 5
จอนยาวบะหมี่เกี๊ยว

นั่งรอกันไปเรื่อยๆ ได้สักเกือบยี่สิบนาทีกว่าจะมีการเดินมาสั่งอาหารและลำเลียงบะหมี่เกี๊ยวน้ำหมูแดงร้อนๆ ในชามมาเสิร์ฟในเวลาต่อมาไม่นาน รสชาติที่ว่านั้นก็อร่อยใช้ได้ นอกจากจะมีหมูแดงหั่นบางๆ แล้วยังมีหมูบะช่อเป็นแผ่นๆ ใส่มาในชามด้วย และน้ำซุปแม้จะมีรสจืดไปสักหน่อยแต่ก็ได้รับรู้ได้ว่าปรุงมาอย่างตั้งใจ...

ในจังหวะแห่งการรอคอยอาหารมื้อเย็นจะมาถึงบนโต๊ะบะหมี่ว่างๆ แห่งนั้น สายตาผมเหลือบมอง ‘พวงพริก’ บนโต๊ะที่ตั้งรอให้ลูกค้าได้ตักไปปรุงรสบะหมี่ของตัวเอง มันไม่ใช่พวงพริกสำเร็จรูปแบบที่เราพบเห็นกันดาษดื่นตามร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วไปเสียทีเดียว ด้วยว่าทั้งกระปุกแก้วที่บรรจุน้ำตาล พริกน้ำส้มและน้ำปลานั้นเป็นแบบบ้านๆ ที่ว่างอยู่บนถาดสังกะสีเคลือบแบบเก่า และทุกโต๊ะของร้านบะหมี่เกี๊ยวจอนยาวแห่งนี้ก็เป็นพวงพริกแบบเตรียมเองทั้งสิ้น

20080605 6
พวงพริกแบบจัดเอง เรียบง่าย สะดวก ประหยัด

แค่พวงพริกหนึ่งอันบอกอะไรเราบ้าง? บ่งบอกว่าร้านแห่งนี้ใส่ใจกับการจัดเตรียมเครื่องปรุงสำหรับลูกค้า (หากใครเคยขายก๋วยเตี๋ยวหรือเคยสัมผัสรับรู้ความคิดของร้านก๋วยเตี๋ยวย่อมรู้ดีว่าการเตรียมพวงพริกให้ดูสะอาดหมดจด ดูน่ากินน่าใช้ ตลอดจนการต้องห่อมัดพริก น้ำปลา น้ำส้มเตรียมไว้ถือได้ว่าเป็นงานหรือภาระอย่างหนึ่ง) อิสระจากการซื้อหาเถาพวงพริกสำเร็จรูปพลาสติกเอามาใช้ โดยไม่ปล่อยให้ความสะดวกเร่งรัดมาครอบงำแต่หันมาเตรียมโถเครื่องปรุงต่างๆ จัดใส่ถาดเตรียมไว้บอกอะไรเราบ้าง?

ท่ามกลางความโล่งว่างของอากาศเบื้องบนที่ตลาดอาหารหน้าองค์พระฯ แห่งนี้มีอยู่ ช่างเป็นความโปร่งโล่งที่ตรงกันข้ามกับความหนาแน่นคึกคักในแนวราบของแผงค้าอาหารที่เบียดกันผัด เสิร์ฟ และสนองความอิ่มท้องให้ผู้คน ณ ที่แห่งนั้น

‘หนึ่งอิ่ม’ ของค่ำนั้นกับการได้ไปเยือนนครปฐมเพื่อเมียงมองและลิ้มลองรสชาติอาหารอันรุ่มรวยหลากหลายให้อะไรมากกว่าการได้ไปอิ่มแก่ผมจริงๆ

บล็อกของ อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง

อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้านและระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ในงานนิทรรศการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและของแต่งบ้านปีหนึ่งนานมาแล้วที่บังเอิญได้ไปเดินดูและเลือกซื้อข้าวของ ในมุมหนึ่งของงานซึ่งเป็นการออกร้านสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศอื่นๆ ตะกร้าสานจากกาน่าเหมือนจะได้รับความนิยมจากผู้คนที่เดินในงานมากเป็นพิเศษ สินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้และไม้แกะสลักในร้านจากอินโดนีเซียก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ร้านของเวียดนามและกัมพูชาที่อยู่ถัดๆ มาก็มีผู้คนเข้าไปชมสินค้ากันคึกคัก แต่เหตุไฉนร้านค้าซึ่งเป็นสินค้าตัวแทนจากประเทศลาวหรือ สปป. ลาว…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้นปีผ่านมา...เป็นการเดินทางที่ไม่ยาวนานนักในสามจุดหมายคือเซินเจิ้น หนึ่งเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ แวะฮ่องกงและกลับจากมาเก๊า แต่ก็มีความเหนื่อย เหน็บหนาวจากสภาพอากาศอันไม่คุ้นเคยของจุดหมายที่ว่าแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางอันไม่คาดหมายว่าจะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตรวดเร็วอย่างไม่ทันจะตั้งตัว จะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ผมเอาไว้................................................ที่ว่าการเดินทางช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปผ่านพ้นหรือผจญภัยกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อนเราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัยแต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”ออง ซาน ซูจี 2538“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547 สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมหยิบยืมคำว่า “ไปทำไม” ขึ้นมาเป็นชื่อเรื่องของข้อเขียนนี้จากชื่อสำนักพิมพ์ของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายการเดินทางและโปสการ์ดราคาประหยัดเพียงสามใบสิบบาท และเขาเรียกขานสำนักพิมพ์ตัวเองในเชิงสัพยอกว่า ‘สำนักพิมพ์ไปทำไม’...แม้จะฟังดูคล้ายกับว่าเจตนาจะกวนๆ แต่ก็เข้าท่าดีเหมือนกันคำว่า “ไปทำไม” แม้จะดูคล้ายกับการตั้งคำถามโดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการปุชฉาโดยมีโทนของน้ำเสียงฟังเหมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเองหรือการพ่นความไม่ได้ดังใจหรือความไม่เข้าใจของคนที่บังเอิญไปประสบพบเห็นพฤติกรรมของ “การไป” (ที่ไหนสักที่ ของคนสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่ง)…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
เพชรบุรีวางตัวอยู่อย่างน่าสนใจจากกรุงเทพฯ…ที่ว่าน่าสนใจนั่นคือ ระยะทางที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป แค่ชั่วเวลานั่งรถเพลินๆ ไม่เกินสองชั่วโมงก็น่าจะเข้าเขตเมืองเพชร โดยมีภาพของทุ่งนายามข้าวออกรวงสีเขียวละมุนตาและต้นตาลยืนต้นเรียงรายอยู่ปลายนา หรืออาจจะเห็นปลายจั่วแหลมๆ ของบ้านหลังคาทรงไทยหลายหลังโผล่พ้นทุ่งนาหรือรั้วบ้าน เป็นฉากทั้งหลายที่บ่งบอกว่า บัดนี้เข้าสู่ดินแดนแห่งน้ำตาลเมืองเพชรแล้วหลายวันก่อนเป็นอีกครั้งของความตั้งใจที่จะไปเยือนเพชรบุรีโดยที่ไม่ต้องมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คืนและวันที่ดูแปลกหน้า แม้สบายๆ แต่ก็เปี่ยมด้วยความมุ่งหวังบางอย่าง หลายสิ่งที่ได้พบเห็นเติมเต็มความรู้สึกที่ได้รับจากการเดินทาง จากดินแดนเหนือสุดของเวียดนามประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้เรากำลังไต่ตามแผ่นดินแคบๆ ที่เลียบท้องทะเลมาถึงเมืองมรดกโลกลือชื่ออย่าง  ‘ฮอยอัน’  และในระหว่างเส้นทางอันยา
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
สายวันหนึ่งขณะที่เดินทางออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งจอแจเช่นเคย สายตาเหลือบไปเห็นข้อความด้านหลังของรถแท็กซี่มิเตอร์สีเขียวเหลืองคันที่อยู่ข้างหน้า “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน”...แม้จะเป็นข้อความเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็เป็นข้อความที่มีความหมาย และให้ความรู้สึกแปลกตาโดยเฉพาะเมื่อมาปรากฏอยู่บนกระจกหลังของแท็กซี่เช่นนี้ ทำให้พาลอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลังพวงมาลัยของแท็กซี่คันนี้ก็เป็นได้…