Skip to main content

วันหนึ่งปลายฤดูหนาวของลอนดอน ณ Natural History Museum ย่าน South Kensington เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมมีโอกาสได้ไปเดินชมนิทรรศการภาพถ่ายทางอากาศนิทรรศการหนึ่ง จำความรู้สึกของตัวเองขณะนั่งรถไฟใต้ดินไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ว่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่กำลังจะได้ชมภาพถ่ายเหล่านี้ที่กำลังแสดงอยู่อย่างใกล้ชิด


“Earth From Above” By Yann Arthus-Bertrand…


สาเหตุก็คือเมื่อหลายปีก่อนหน้านั้นไปอีก ผมได้เห็นหนังสือชื่อเดียวกันนี้เป็นหนังสือปกแข็งขนาดเขื่องวางขายอยู่ในร้านหนังสือต่างประเทศในกรุงเทพฯ ภาพปกเป็นภาพสีเขียวขจีของดินแดนหนึ่งที่มีรอยโค้งเว้าของแผ่นดินซึ่งเมื่อมองลงมาเบื้องบนกลับดินแดนนั้นมีลักษณะเหมือนรูปหัวใจ เมื่อได้เปิดชมภาพงามๆ แสนจะน่ากังขาว่าช่างภาพสามารถเก็บภาพเหล่านี้มาได้อย่างไร ก็ทำให้ตกหลุมรักภาพถ่ายทางอากาศฝีมือช่างภาพหนุ่มใหญ่ชาวฝรั่งเศสคนนี้จนต้องรีบจดจำชื่อเสียงเรียงนามเขาเอาไว้ กระทั่งมีโอกาสได้ชมภาพเหล่านี้ที่ลอนดอนในอีกไม่นานปีต่อมา


ถ้าหากจะบอกว่าเรากำลังใช้ชีวิตกันอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ทุกสรรพสิ่งในหมู่บ้านโลกเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน และทุกสิ่งอย่างสามารถส่งแรงกระเพื่อมถึงกันได้ไม่ยาก ก็เชื่อได้ว่าความจริงที่กำลังมีนิทรรศการชื่อเดียวกันนี้ - Earth From Above : An Aerial Portrait of Our Planet. Towards a Sustainable Development นิทรรศการภาพถ่ายทางอากาศ สาส์นสำรวจสภาวะโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดย ญานน์ อารฺตุส-แบรฺทรองด์ (Yann Arthus-Bertrand) ช่างภาพชาวฝรั่งเศส กำลังมาจัดแสดงให้คนไทยและชาวกรุงเทพฯ ได้ชมอย่างใกล้ชิดนานถึง 99 วัน (ระหว่างวันที่ 3 มิ.. - 9 .. 51) ณ บริเวณ เซน เอ้าท์ดอร์ อารีน่า และบริเวณรอบลานน้ำพุเซ็นทรัลเวิลด์ ถือเป็นแรงกระเพื่อมที่ดีของคลื่นโลกาภิวัตน์ที่กระทบมาถึงคนไทยและเมืองไทย


........................................................

 

17_06_1

 


เกือบจะเที่ยงวันภายในร้านอาหารและร้านกาแฟแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้า Zen ญานน์ อารฺตุส-แบรฺทรองด์ ตัวจริงเสียงจริงปรากฏตัวขึ้นในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกางเกงผ้าสแล็คสีเข้ม วันนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟาหนังสีน้ำตาลตัวยาวในร้านพร้อมกับโทรศัพท์มือถือเท่านั้น โดยไม่มีอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพหรือการทำงานใดๆ วางไว้ข้างกาย


วันนี้เป็นครึ่งวันที่เหลืออยู่จากเวลาเพียงสองวันในประเทศไทยที่เขาเดินทางมาเปิดนิทรรศการแสดงภาพถ่ายทางอากาศจำนวน 120 ภาพ ซึ่งเป็นผลแห่งความพากเพียรในการออกสำรวจตั้งแต่ปี พ.. 2533 โดยสะท้อนความหลากหลายของธรรมชาติและสีสันแห่งชีวิต รวมทั้งรอยประทับของมนุษย์และการล่วงละเมิดต่อสิ่งแวดล้อม ภาพเหล่านี้ถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ในระดับความสูงระหว่าง 30 เมตร ถึง 3,000 เมตร และใช้ชั่วโมงบินรวมทั้งหมดถึง 4,000 ชั่วโมง และเพื่อให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายสำนักของไทย

 

17_06_2  17_06_3


ผมมีโอกาสนั่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสัมภาษณ์ญานน์อย่างใกล้ชิด ครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นโอกาสพิเศษที่จะได้สัมผัสตัวตนของช่างภาพวัย 62 คนนี้พร้อมกับได้รับรู้แง่คิดในการใช้ชีวิต การทำงานและกิจกรรมที่ชอบทำในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (เขาบอกว่าเขาเป็นนักกิจกรรม – Activist มาแต่ไหนแต่ไร) จนกระทั่งได้ชื่อว่าเป็นช่างภาพนักอนุรักษ์ของเขาคนนี้

 

........................................................


ญานนเป็นช่างภาพนักอนุรักษ์ชาวฝรั่งเศสที่มีผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์มากที่สุดของฝรั่งเศส และผลงานของเขาถือเป็นสุดยอดของภาพถ่ายทางอากาศที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก มีการจัดแสดงผลงานภาพถ่ายชั้นยอดที่ถ่ายทางอากาศบนเฮลิคอปเตอร์มามากกว่า 110 เมืองใน 40 ประเทศทั่วโลก อาทิ ฝรั่งเศส, สเปน, เบลเยียม, เม็กซิโก, สวีเดน, ออสเตรเลีย, อังกฤษ, เยอรมัน, ญี่ปุ่น, อิตาลี, เกาหลี, จีน,สหรัฐอเมริกา, อาร์เจนตินา, ซาอุดิอาระเบีย,สิงคโปร์ และไทย เป็นต้น นับตั้งแต่ได้จัดนิทรรศการครั้งแรกซึ่งจัดแสดงภาพตามแนวรั้วของสวนลุกซัมบวร์ก กรุงปารีส เมื่อปี พ.. 2543 จนถึงปัจจุบันมีผู้ชมภาพถ่ายของเขามาแล้วมากกว่า 120 ล้านคน

 


17_06_4
หัวใจแห่งเมืองโวห์ นิวคาลีโดเนีย เขตปกครองของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นป่าโกงกาง


.. 2548 ญานน์ได้ก่อตั้งมูลนิธิ GoodPlanet.org ขึ้นเพื่อเป็นองค์กรการกุศลอิสระที่สนับสนุนการพัฒนาแบบยั่งยืนผ่านทางโครงการที่หลากหลาย เช่น Action Carbone ที่วัดระดับการแพร่กระจายของก๊าซคาร์บอน หรือ Sustainable Development, what for? ซึ่งเป็นโครงการโปสเตอร์ทางการศึกษาเพื่อโรงเรียนในประเทศฝรั่งเศส และกำลังดำเนินการถ่ายทำใบหน้าและเก็บเสียงของผู้คนต่างๆ ในโลกในโครงการ 6 Billion Others ซึ่งมีแนวคิดหลักในการดำเนินการคือ เพื่อพบปะผู้คนทั่วโลกและถามคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับมนุษยชาติ โดยเขาได้บันทึกลงแผ่นฟิล์มไว้และสามารถติดตามชมรายละเอียดได้ทางเว็บไชต์


นอกจากนี้มูลนิธิ GoodPlanet.org ของเขายังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ "Alliance for the Planet" (Alliance pour la Planète) และ "Committee 21" (Comité 21) โดยเป็นการรวมพลังของชาวฝรั่งเศสตลอดจนองค์กรที่อุทิศให้กับการพัฒนาอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังได้รังสรรค์ Vu du Ciel ซึ่งเป็นรายการต่อเนื่องทางโทรทัศน์สำหรับสถานีโทรทัศน์ฝรั่งเศสอีกด้วย โครงการนี้ได้เริ่มขึ้นในปี พ.. 2550 ด้วยการถ่ายทำสารคดียาวเกี่ยวกับสภาวะเป็นพิษของโลกและทางแก้ปัญหาที่เป็นไปได้


........................................................


แรกเริ่มทีเดียวญานน์ติดตามภรรยาที่ไปศึกษาวิจัยเรื่องราวชีวิตสัตว์ป่าด้วยการถ่ายภาพสิงโตที่ Masaï Mara Reserve ประเทศเคนยาในแอฟริกา และที่เคนยานี่เองที่เขาได้ค้นพบเสน่ห์ของการถ่ายภาพทางอากาศในขณะที่อยู่บนบอลลูนในฐานะนักบิน จนเขาและภรรยาได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกชื่อ Lions ออกมาในปีพ.. 2524 จากการคลุกคลีกับธรรมชาติและสัตว์ป่าหลายปีทำให้เขาเรียนรู้และเข้าใจดีว่า โลกมิได้เป็นของมนุษย์เผ่าเดียวเท่านั้น และธรรมชาติคือทรัพยากรที่มีค่าของโลกใบนี้ที่กำลังถูกทำลายลงด้วยน้ำมือมนุษย์


หลังจากนั้นญานน์ก็ได้เริ่มหันมาจับงานถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าควบคู่ไปกับการเป็นช่างภาพถ่ายภาพกีฬาเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่เขาก็ยังให้ความสนใจต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในปี พ.. 2529 เขาได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพทางอากาศ หลังจากนั้น 9 ปี เขาก็ได้ริเริ่มโครงการ The Earth from Above ขึ้นโดยสื่อผ่านทางหนังสือและนิทรรศการต่างๆ ซึ่งภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายภาพเหล่านี้ได้ช่วยให้สังคมเข้าใจความเป็นไปของโลก ตลอดจนความสำคัญของการอนุรักษ์อย่างเด่นชัด ผลงานหลายภาพในโครงการนี้ของญานน์ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร National Geographic มาแล้วทำให้เมื่อได้เห็นภาพเหล่านี้อีกครั้งก็รู้สึกคุ้นตา นอกจากนี้ยังมีภาพทิวทัศน์ของเมืองไทยและภาพชีวิตของคนไทยอีกหลายภาพที่ได้นำมาจัดแสดงในนิทรรศการนี้ด้วย

 

17_06_5
ฝูงนกช้อนหอย ใกล้เมืองเพเดรนาเลส ลุ่มน้ำอมาคุโร ประเทศเวเนซุเอลา


........................................................


ญานน์บอกกับผู้สื่อข่าวชาวไทยที่ไปนั่งฟังการสัมภาษณ์ของเขาว่า ทุกวันนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญคือความยากจนและการมีประชากรล้นโลก จนทำให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าหรือธรรมชาติต่างๆ จำนวนมาก เขายกตัวอย่างที่ประเทศมาดากัสการ์ที่เขาเพิ่งจะเดินทางไปเยือนก่อนมาถึงประเทศไทยว่าที่นั่นเขาได้พบเห็นการขึ้นไปทำนาปลูกข้าวบนภูเขา ในบริเวณที่ควรจะปล่อยให้เป็นพื้นที่ป่า แต่เมื่อคนเรามีการหักล้างถางพงป่าเหล่านั้นออกไปเพื่อทำการเกษตร โดยหารู้ไม่ว่ากว่าที่ธรรมชาติจะค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพหรือกลายเป็นป่าได้นั้นจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 80 ปี และหนทางแก้ไขที่ทุกคนช่วยกันได้คือเริ่มทำอะไรก็ได้ที่เราคิดว่าดีต่อโลกต่อสิ่งแวดล้อม โดยขอให้เริ่มจากตัวของเราก่อน ส่วนการแก้ไขปัญหาทั้งระบบนั้นก็จะต้องให้การศึกษาเป็นตัวช่วย


ปกติแล้วในการทำงานญานน์จะต้องขึ้นไปบินอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ร่วมกับนักบินของประเทศต่างๆ ในระดับความสูงของการถ่ายทำและสภาพอากาศที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นในการเตรียมการก่อนออกไปถ่ายภาพแต่ละครั้ง เขาและทีมงานจะต้องมีการศึกษาแผนที่ ศึกษาทุกๆ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการทำงานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะการขึ้นบินแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ฉะนั้นหากบินขึ้นครั้งใดก็จะต้องได้ภาพสวยๆ หรือที่น่าพอใช้กลับลงมาด้วยทุกครั้ง

 

17_06_6
คาราวานอูฐโหนกเดียวใกล้เมืองฟาชิ ประเทศไนเจอร์


แม้ภาพของญานน์จะสวยด้วยสีสันและเรื่องราวที่ถ่ายทอดทุกๆ อย่างลงในหัวใจและสายตาของผู้ได้พบเห็นได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่หากใครก็ตามที่ได้ไปชมนิทรรศการภาพถ่ายของเขาย่อมจะเห็นได้ว่าคำบรรยายภาพและการให้รายละเอียดว่าภาพนี้ถ่ายที่ใดและเกิดอะไรขึ้น มีเรื่องราวอะไรในภาพถ่ายนั้นเพิ่มเติมให้การชมภาพนั้นสมบูรณ์ขึ้นได้อีกด้วย


“70
เปอร์เซ็นต์ของภาพถ่ายที่ผมถ่ายมาได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย ไม่ใช่การเตรียมการที่ดีหรือการที่ผมมีฝีมือ เพราะทุกวันนี้การถ่ายภาพมันง่าย ใครๆ ก็มีกล้องดิจิทัลหรือกล้องจากโทรศัพท์มือถือ แต่สิ่งที่ทุกคนควรจะเรียนรู้และทำให้ได้ก็คือการที่เราต้องรู้ตัวเองให้ได้ว่าเราอยากจะเป็นอะไรและอยากจะทำอะไร ด้วยเหตุผลใด แล้วทำมันให้เต็มที่ ทำออกมาให้ดีที่สุด” ช่างภาพอาวุโสระดับโลกให้ข้อคิด


วันนั้นแม้เสี้ยวเวลาหนึ่งของชีวิตที่ผมได้นั่งเผชิญหน้าและรับฟังมุมมองของช่างภาพระดับโลกผู้สวมเสื้อสีฟ้าและมีดวงตาไว้เพื่อมองลงมาจากเบื้องบนอยู่เสมอ


........................................................

 

  • ชมเว็บไซต์และภาพถ่ายทางอากาศของญานน์ อารฺตุส-แบรฺทรองด์ ได้ที่
    www.yannarthusbertrand.org

บล็อกของ อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง

อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมอนุญาตให้ตัวเองมีความฝันที่ค้างคามานานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ สักร้านและระหว่างรอให้ความฝันตกผลึกหรืออิ่มตัวจนตกตะกอนนอนก้น (เหมือนเวลาที่กินกาแฟชงแบบเวียดนามที่ไหลผ่านถ้วยกรองช้าๆ ขมหวานได้ที่)  ผมก็ใช้เวลาระหว่างรอ พักในร้านกาแฟที่ผ่านทางอยู่เสมอๆ สั่งกาแฟต่างรูปแบบมาจิบ บางเวลาเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับกาแฟดำธรรมดาๆ แต่หอมกรุ่นอย่างกาแฟสด บางเวลาเราอาจจะอยากเปลี่ยนไปสั่งกาแฟดำในแบบที่เรียกว่า “อเมริกาโน่” ดูบ้าง บางช่วงก็เป็นชั่วโมงที่ต้องย้อมความฝันด้วยกาแฟกรุ่นกลิ่นนมของลาเต้ร้อน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ในงานนิทรรศการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและของแต่งบ้านปีหนึ่งนานมาแล้วที่บังเอิญได้ไปเดินดูและเลือกซื้อข้าวของ ในมุมหนึ่งของงานซึ่งเป็นการออกร้านสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศอื่นๆ ตะกร้าสานจากกาน่าเหมือนจะได้รับความนิยมจากผู้คนที่เดินในงานมากเป็นพิเศษ สินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้และไม้แกะสลักในร้านจากอินโดนีเซียก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ร้านของเวียดนามและกัมพูชาที่อยู่ถัดๆ มาก็มีผู้คนเข้าไปชมสินค้ากันคึกคัก แต่เหตุไฉนร้านค้าซึ่งเป็นสินค้าตัวแทนจากประเทศลาวหรือ สปป. ลาว…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้นปีผ่านมา...เป็นการเดินทางที่ไม่ยาวนานนักในสามจุดหมายคือเซินเจิ้น หนึ่งเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ แวะฮ่องกงและกลับจากมาเก๊า แต่ก็มีความเหนื่อย เหน็บหนาวจากสภาพอากาศอันไม่คุ้นเคยของจุดหมายที่ว่าแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางอันไม่คาดหมายว่าจะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตรวดเร็วอย่างไม่ทันจะตั้งตัว จะเป็นการเดินทางอีกครั้งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ผมเอาไว้................................................ที่ว่าการเดินทางช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปผ่านพ้นหรือผจญภัยกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อนเราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัยแต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
“เราคิดว่ามันอาจจะเร็วเกินไปไม่ว่าจะสำหรับนักท่องเที่ยว การลงทุนหรือความช่วยเหลือ... ตราบใดที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในประเทศ ก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อแรงจูงใจที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลง”ออง ซาน ซูจี 2538“เราหวังว่าคุณจะไม่เข้ามาเที่ยวพม่ากับการมีกล้องในมือและแค่เพื่อการเก็บรูปถ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น จงพูดคุยกับคนที่คุณอยากจะคุยด้วย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตของคุณบ้าง”ชาวย่างกุ้งผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย 2547 สายตาที่สื่อส่งมาดูเหมือนรู้จัก รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่คลายบนใบหน้าแลดูคุ้นเคย…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
ผมหยิบยืมคำว่า “ไปทำไม” ขึ้นมาเป็นชื่อเรื่องของข้อเขียนนี้จากชื่อสำนักพิมพ์ของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายการเดินทางและโปสการ์ดราคาประหยัดเพียงสามใบสิบบาท และเขาเรียกขานสำนักพิมพ์ตัวเองในเชิงสัพยอกว่า ‘สำนักพิมพ์ไปทำไม’...แม้จะฟังดูคล้ายกับว่าเจตนาจะกวนๆ แต่ก็เข้าท่าดีเหมือนกันคำว่า “ไปทำไม” แม้จะดูคล้ายกับการตั้งคำถามโดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการปุชฉาโดยมีโทนของน้ำเสียงฟังเหมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเองหรือการพ่นความไม่ได้ดังใจหรือความไม่เข้าใจของคนที่บังเอิญไปประสบพบเห็นพฤติกรรมของ “การไป” (ที่ไหนสักที่ ของคนสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่ง)…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
เพชรบุรีวางตัวอยู่อย่างน่าสนใจจากกรุงเทพฯ…ที่ว่าน่าสนใจนั่นคือ ระยะทางที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป แค่ชั่วเวลานั่งรถเพลินๆ ไม่เกินสองชั่วโมงก็น่าจะเข้าเขตเมืองเพชร โดยมีภาพของทุ่งนายามข้าวออกรวงสีเขียวละมุนตาและต้นตาลยืนต้นเรียงรายอยู่ปลายนา หรืออาจจะเห็นปลายจั่วแหลมๆ ของบ้านหลังคาทรงไทยหลายหลังโผล่พ้นทุ่งนาหรือรั้วบ้าน เป็นฉากทั้งหลายที่บ่งบอกว่า บัดนี้เข้าสู่ดินแดนแห่งน้ำตาลเมืองเพชรแล้วหลายวันก่อนเป็นอีกครั้งของความตั้งใจที่จะไปเยือนเพชรบุรีโดยที่ไม่ต้องมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน…
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คืนและวันที่ดูแปลกหน้า แม้สบายๆ แต่ก็เปี่ยมด้วยความมุ่งหวังบางอย่าง หลายสิ่งที่ได้พบเห็นเติมเต็มความรู้สึกที่ได้รับจากการเดินทาง จากดินแดนเหนือสุดของเวียดนามประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้เรากำลังไต่ตามแผ่นดินแคบๆ ที่เลียบท้องทะเลมาถึงเมืองมรดกโลกลือชื่ออย่าง  ‘ฮอยอัน’  และในระหว่างเส้นทางอันยา
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
สายวันหนึ่งขณะที่เดินทางออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งจอแจเช่นเคย สายตาเหลือบไปเห็นข้อความด้านหลังของรถแท็กซี่มิเตอร์สีเขียวเหลืองคันที่อยู่ข้างหน้า “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน”...แม้จะเป็นข้อความเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็เป็นข้อความที่มีความหมาย และให้ความรู้สึกแปลกตาโดยเฉพาะเมื่อมาปรากฏอยู่บนกระจกหลังของแท็กซี่เช่นนี้ ทำให้พาลอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลังพวงมาลัยของแท็กซี่คันนี้ก็เป็นได้…