Skip to main content

  

"ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน
เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า

เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน

หนุ่มสาวหลายคนเกิดและโตที่นี่ ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนหนังสือกันจนกว่าจะแต่งงานกันไป สร้างครอบครัวเล็กๆโดยไม่คาดหวังถึงอนาคต

มีจำนวนอีกไม่น้อยที่ยังคอยเสรีภาพและการกลับบ้าน พวกเขาแสดงออกผ่านบทเพลงที่แต่งทำนองเนื้อร้องขึ้นเองประสานกับเสียงกีต้าซึ่งเป็นเครื่องดนตรีเพียงไม่กี่ชิ้นที่มีอยู่ บ้างขีดเขียนถ้อยคำแห่งเสรีภาพบนกระดาษติดไว้ฝาผนังบ้าน ซึ่งฉันมักจะอ่านเจออยู่เสมอ

แต่ดูเหมือนทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างไม่เร่งรีบ พวกเขามีข้าวสารอาหารแห้งที่ถูกเจียดจ่ายพอประทังชีวิตทุกๆ เดือนจาก UNHCR และหน่วยงานเอ็นจีโออื่นๆ

มีการจัดการชุมชนเรียกเป็นป็อก มีทั้งหมดยี่สิบป็อก เพื่อความสะดวกในการจดจำ แต่ก็ยังเกิดความสับสนในการค้นหาบ้านที่ดูจะคล้ายกันไปหมด ทั้งตรอกซอกซอยที่สลับซับซ้อน

  

กว่าจะเจอบ้านพี่สาวเราจึงเสียเวลาไถ่ถามอยู่นาน ดีที่ว่าครอบครัวของพี่สาวเป็นชาวกระยันซึ่งมีอยู่เพียงน้อยนิดในจำนวนผู้ลี้ภัยที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวกระเหรี่ยงแดง

ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ของที่นี่เคยอาศัยในรัฐกระเรนนีเดิม ซึ่งทางการพม่าได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อรัฐคะยา พวกเขาจึงเรียกตัวเองว่าเป็นกระเรนนี ชาวกระเรนนีมีกองกำลังปลดแอกหลายกลุ่ม หนุ่มสาวกระยันที่เข้าร่วมรบกับกองกำลังกระเหรี่ยงแดงก็มีไม่น้อยเช่นกัน

บ้านของพี่สาวอยู่ค่อนข้างไกลความวุ่นวาย ด้านหลังอยู่ติดราวป่ามองเห็นเห็นสีเขียวของใบไม้แทนสีน้ำตาลของไม้ไผ่และใบตองตึง

เจ้ามิมิและหล่าคุ ลูกชายที่วัยยังไม่ขึ้นประถม นั่งเล่นกองฟืนอยู่ใต้ถุนบ้าน ฉันขึ้นไปนั่งหลบร้อนบนชานที่ดูกว้างขวางร่มรื่น จนแทบจะเอนตัว

"บ้านดูโล่งนะ นี่เก็บข้าวของกันหมดแล้วเหรอ" สามีไถ่ถามถึงข่าวคราวที่พี่สาวและครอบครัวจะได้เดินทางไปประเทศที่สาม

"ก็คงไม่เกินเดือนหน้า นี่ก็นัดตรวจเลือดแล้ว" ดูพี่สาวตื่นเต้นไม่น้อยกับระยะเวลาอันกระชั้นชิดจนดูเหมือนไม่ทันได้ตั้งตัว

"เขาไม่ให้เอาอะไรไปมาก พี่ก็ทิ้งทุกอย่างไว้ให้น้องสาวกับน้องชายของเธอนั่นแหละ เอาไปแต่ของที่จำเป็น" พี่สาวหมายถึง น้องสาวและน้องชายอีกสองคน ที่มาอยู่ในศูนย์ เพื่อเรียนหนังสือ หนังสือที่ว่านั้นฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาเรียนกันอย่างไร เพราะรู้ว่าสอนกันตั้งแต่ภาษาไทย ภาษาพม่า ภาษากระเหรี่ยงแดง ไปจนถึงภาษาอังกฤษเลยทีเดียว

น้องสาวและน้องชายของสามีเอง ก็ลงชื่อไปประเทศที่สามกับเขาด้วย เมื่อรู้ว่าพี่สาวได้รับเลือกต่างก็พากันดีใจและเริ่มมีความหวังมากขึ้น

"คราวนี้คงไม่ฟาล์วเหมือนตอนนั้นนะ" ฉันหยอกพี่สาวเล่น ถึงการฟาล์วที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ก่อนหน้านั้นมีชาวกระยันได้ถูกรับเลือกให้ไปประเทศที่สามแต่กลับไม่ได้ไปเพราะทางผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ยินยอม

โดยอ้างว่าชาวกระยันอยู่ในประเทศไทย ด้วยความอภิสิทธิ์ชนกว่าผู้ลี้ภัยคนอื่น เพราะได้รับอนุญาตให้อาศัยนอกเขตพื้นที่ศูนย์ และคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวในหมู่บ้านที่จัดไว้ต่างหาก

เรื่องราวทั้งหมดจึงจบลงด้วยข้อตกลงที่ว่า หากชาวกระยันต้องการไปประเทศที่สามก็ต้องทำตัวให้เหมือนกับผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ นั่นก็คือต้องอาศัยในศูนย์ผู้อพยพเท่านั้น

ดูเหมือนการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของครอบครัวชาวกระยัน ที่ย้ายครอบครัวมาลำบากในศูนย์อพยพ แทนการเป็นนกในกรงทอง ณ หมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาวเพื่อการท่องเที่ยว จะสัมฤทธิ์ผลในบัดดลแล้ว.

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชมละครเรื่องเมียหลวง ที่ถ่ายทอดทุกวันจันทร์-อังคารทางช่องเจ็ด เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ฉันชอบดู ด้วยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รับสัญญาณโทรทัศน์ได้เพียงไม่กี่ช่อง  และอีกเหตุผลหนึ่งคือละครดีๆ มีไม่กี่เรื่อง  แม้หลายคนจะเหมารวมละครทีวีของไทยว่าเป็นละครน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่ แต่ฉันก็เชื่อว่าละครที่สร้างมาจาก นวนิยาย ก็น่าจะมีเนื้อหาสาระบางอย่างสอนใจคนดูได้บ้าง ไม่ใช่จะดูแต่เพียงฉากตบกันของบรรดาเมียน้อยของคุณอนิรุจเท่านั้น
เจนจิรา สุ
เรานั่งพูดคุยบนชานหน้าบ้านอย่างออกรส ส่วนใหญ่ก็จะถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน เลยไปถึงญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน พี่เขยขึ้นเรือนมาสมทบเมื่อสิ้นเสียงออดของโรงเรียนได้พักใหญ่ “ไปเป็นการ์ดยามมา เขาให้เดือนละสี่ร้อย” พี่สาวแจง เป็นรายได้เดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัว
เจนจิรา สุ
 "ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน
เจนจิรา สุ
บนถนนที่ทอดยาวสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่ห่างออกมาเพียงสามสิบกิโลเมตรเศษ ลัดเลาะไปตามภูเขาบนถนนสายรพช. ซึ่งค่อยๆ แปรสภาพเป็นดินและหินลูกรังก่อนจะถึงสุดสายปลายทาง อันเป็นสถานที่คล้ายด่านกักกันมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ไร้ประเทศและเสรีภาพ หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
เจนจิรา สุ
 มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป…
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน…
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง…
เจนจิรา สุ
20 พฤศจิกายน 2550 คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า “ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน” “…
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก…