Skip to main content
ฝันสลายของคนชั้นกลางอเมริกัน = ฝันสลายของตลาดส่งออกใหญ่ของเอเชียตะวันออกรวมทั้งไทย = ฝันสลายของตัวแบบเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก (EAEM - East Asian Economic Model) รวมทั้งไทยด้วย
เกษียร เตชะพีระ(19/7/56)
 
ความฝันของอเมริกันชนที่ชูใจพวกเขามานานปีว่านี่เป็นดินแดนแห่งโอกาส ไม่ว่าคุณเป็นใครมาจากไหน ถ้ามุมานะขยันทำงานริเริ่มสร้างสรรค์ไต่เต้าก็จะรวยหรือกระทั่งมีสิทธิ์เป็นประธานาธิบดีได้ ชักไม่เป็นจริงเสียแล้วสำหรับครัวเรือนคนชั้นกลางอเมริกันจำนวนมาก บ้างก็ทำท่าฝันหลุดมือ บ้างก็สลายวับไปเลยทีเดียว
 
กลุ่มอาการฝันคนชั้นกลางอเมริกันสลายได้แก่: เสียงานมั่นคงรายได้ดีไป, หาได้แต่งานที่ชั่วโมงทำงานยาวนานและไม่ค่อยมั่นคง รายได้และสิทธิประโยชน์ต่ำลง, เริ่มติดหนี้พอกพูน, ครอบครัวเครียดขึ้งแตกแยก ฯลฯ
 
นี่ย่อมส่งผลกระทบสืบเนื่องต่อมาถึงอุตสาหกรรมส่งออกของเอเชียตะวันออกรวมทั้งไทยแน่นอน
 
1) ค่าจ้างต่ำลง
 
รายได้ของคนชั้นกลางอเมริกันต่ำลง ๘.๕% นับแต่ปีค.ศ. ๒๐๐๐ เป็นต้นมา ทั้งที่ทศวรรษก่อนหน้านั้นเคยเพิ่มขึ้นอย่างคงเส้นคงวามาตลอด ในปี ๒๐๑๑ รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน ๖๐% ที่เป็นคนชั้นกลางอเมริกันตกราว ๕๓,๐๔๒ US$/ปี จากเดิมเคยอยู่ที่ ๕๘,๐๐๙ US$/ปี เมื่อปี ๒๐๐๐
(ภาพประกอบ: รายได้เฉลี่ยของคนชั้นกลางอเมริกันจากปี ค.ศ. ๑๙๘๐ - ๒๐๑๑)
 
2) ส่วนแบ่งรายได้ของคนชั้นกลางต่ำลง
 
ส่วนหนึ่งเนื่องจากได้ค่าจ้างต่ำลง ส่วนแบ่งของคนชั้นกลางในรายได้ประชาชาติโดยรวมก็ตกต่ำลงด้วยในปี ค.ศ. ๑๙๘๐ ครัวเรือน ๖๐% ที่เป็นคนชั้นกลางมีรายได้คิดเป็น ๕๑.๗% ของรายได้ประชาชาติอเมริกัน แต่พอถึงปี ค.ศ. ๒๐๑๑ มันก็ลดลงเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรายได้ประชาชาติ ขณะเดียวกันครัวเรือนอเมริกันที่รวยที่สุด ๒๐% แรกกลับมีรายได้เพิ่มขึ้น ๑๖% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ส่วนแบ่งในรายได้ประชาชาติของพวกเขาเพิ่มขึ้นจาก ๔๔.๑% เป็น ๕๑.๑%
(ภาพประกอบ: การกระจายรายได้ในสหรัฐฯของผู้มีรายได้สูงสุด ๒๐% แรกและคนชั้นกลาง นับแต่คริสตทศวรรษ ๑๙๘๐ เป็นต้นมา)
 
3) ตำแหน่งงานที่อิงสหภาพแรงงานหดตัวลง
 
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รายได้คนชั้นกลางอเมริกันลดน้อยถอยลงคือการหดลดลงของจำนวนคนงานที่กินอัตราเงินเดือนซึ่งสหภาพแรงงานต่อรองกับนายจ้างมาได้ ในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ เงินเดือนมัธยฐาน(median) สำหรับคนงานสังกัดสหภาพแรงงานตกประมาณ ๔๙,๐๐๐ US$/ปี ขณะที่เงินเดือนมัธยฐานสำหรับคนงานไม่สังกัดสหภาพแรงงานอยู่ที่เกือบ ๓๙,๐๐๐ US$/ปี เท่านั้น อย่างไรก็ตาม นับแต่ปี ๑๙๘๓ เป็นต้นมา สัดส่วนประชากรที่สังกัดสหภาพแรงงานก็หดตัวลงจาก ๑ คนในคนงานทุก ๕ คน เหลือแค่มากกว่า ๑ คนในคนงานทุก ๑๐ คนเพียงเล็กน้อย
(ภาพประกอบ: สัดส่วนร้อยละของสมาชิกสหภาพแรงงานในกำลังแรงงานทั้งหมดนับแต่ปี ๑๙๘๓ -๒๐๑๒ และเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ย/ปีของคนงานสังกัดกับไม่สังกัดสหภาพแรงงานในปี ๒๐๑๒)
 
4) คนงานที่หาได้แต่งาน part-time ทำไปไหนไม่รอดมีจำนวนเพิ่มขึ้น
 
ปัจจัยที่สองซึ่งถ่วงค่าจ้างไว้ไม่ให้เพิ่มขึ้นได้แก่การที่จำนวนชาวอเมริกันที่หาได้แต่งาน part-time ทำไปไหนไม่รอดมีจำนวนสูงขึ้น ในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ คนอเมริกันกว่า ๒.๕ ล้านคนทำงาน part-time เพราะหาตำแหน่งงานเต็มเวลาไม่ได้ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับแต่ปี ค.ศ. ๑๙๙๓ เป็นต้นมา
(ภาพประกอบ: จำนวนคนงานอเมริกันที่หาได้แต่งาน part-time ในช่วงปี ๑๙๘๐ - ๒๐๑๒ แถบสีจางบ่งบอกช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย)
 
5) บรรษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกันมีตำแหน่งงานให้ทำน้อยลง
 
ปัญหาที่ท้าทายผู้หางานทำในสหรัฐฯส่วนหนึ่งก็คือบรรษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกันจ้างงานคนในประเทศบ้านเกิดน้อยลงมาระยะหนึ่งแล้ว บริษัทใหญ่ยี่ห้อดังเหล่านี้จ้างคนงานอเมริกันราว ๑ ใน ๕ ของทั้งหมด แต่จากปี ค.ศ. ๑๙๙๙ - ๒๐๐๘ บริษัทเหล่านี้กลับพากันปลดลดคนงานในสหรัฐฯทิ้งไปราว ๒.๑ ล้านตำแหน่งขณะที่จ้างคนงานเพิ่มขึ้น ๒.๒ ล้านตำแหน่งในต่างประเทศที่ไปลงทุน
(ภาพประกอบ: ตำแหน่งงานที่สร้างโดยบรรษัทข้ามชาติอเมริกันเปรียบเทียบระหว่างในสหรัฐอเมริกากับต่างแดนระหว่างปีค.ศ. ๑๙๙๙ - ๒๐๐๘)
 
6) หนี้สินพอกพูน
 
ย่อมคาดเดาได้ว่าแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เผชิญหน้าคนชั้นกลางอเมริกันดังกล่าวมาจะส่งผลให้ครัวเรือนของพวกเขาจมปลักหนี้สินดิ่งลึกลงไปอีก ในปี ค.ศ. ๑๙๙๒ ระดับหนี้มัธยฐานของครัวเรือนอเมริกัน ๑ ใน ๓ ที่มีฐานะปานกลางอยู่ที่ ๓๒,๒๐๐ US$ ทว่าพอถึงปี ค.ศ. ๒๐๑๐ ตัวเลขนั้นก็โป่งพองไปเป็น ๘๔,๐๐๐ US$ หรือเพิ่มขึ้นราว ๑๖๑%
(ภาพประกอบ: หนี้คนชั้นกลางอเมริกันจากปี ค.ศ. ๑๙๘๙ - ๒๐๑๐)
 
7) เงินออมครัวเรือนลดน้อยถอยลง
 
หนี้สินที่เพิ่มขึ้นย่อมหมายความว่าครัวเรือนน้อยลงมีปัญญาจะเก็บหอมรอมริบเงินไว้ใช้สำหรับยามเกษียณอายุหรือเป็นค่าเล่าเรียนของลูก ในปี ค.ศ. ๒๐๐๑ กว่า ๒ ใน ๓ ของครัวเรือนคนชั้นกลางอเมริกันแจ้งว่าพวกเขาสามารถออมเงินไว้ได้ในปีก่อนหน้านั้น ปรากฏว่าถึงปี ค.ศ. ๒๐๑๐ ตัวเลขดังกล่าวตกลงเหลือไม่ถึง ๕๕%
(ภาพประกอบ: ครัวเรือนมากน้อยแค่ไหนที่มีปัญญาออมเงิน? จากปีค.ศ. ๑๙๙๒ - ๒๐๑๐)
 
8) มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิตกต่ำลง
 
ผลกระทบทั้งหมดทั้งมวลต่อมูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของครัวเรือน (หรือนัยหนึ่งจำนวนสินทรัพย์ที่มากกว่าหนี้สินของครัวเรือน) เป็นที่ปวดร้าวยิ่ง ในปี ค.ศ. ๒๐๐๗ มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิมัธยฐานของครัวเรือนอเมริกันถึบตัวขึ้นสูงสุดถึง ๑๒๐,๖๐๐ US$ และแล้วก็เกิดวิกฤตการเงินซับไพรม์ซึ่งส่งผลให้ชาวอเมริกันหลายล้านตกงานหรือถูกยึดบ้าน ถึงปี ค.ศ. ๒๐๑๐ มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิมัธยฐานของครัวเรือนอเมริกันก็ตกต่ำลงถึง ๓๖% เหลือแค่ ๗๗,๓๐๐ US$
 
ลูกค้าผู้บริโภคที่จู่ ๆ ก็จนลง ๑ ใน ๓ หรือถดถอยกลับไปราวสิบปี อีกทั้งอาจตกงานและไร้บ้านของตัวเอง จะมีปัญญาซื้อสินค้าส่งออกจากเอเชียและไทยสักกี่มากน้อยกัน?
 
ฝันสลายของคนชั้นกลางอเมริกัน จึงย่อมเท่ากับฝันสลายของตลาดส่งออกใหญ่ของเอเชียและไทยรวมทั้งฝันสลายของตัวแบบเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก (East Asian Economic Model - EAEM) ที่ใช้การส่งออกเป็นพลังขับดันด้วย ฤๅมิใช่?
(ภาพประกอบ: มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของครัวเรือนอเมริกัน จากปีค.ศ. ๑๙๘๙ - ๒๐๑๐)
 
 

บล็อกของ เกษียร เตชะพีระ

เกษียร เตชะพีระ
จาก "บทอาเศียรวาทของมติชน" ถึง "กาแฟลวกมือของ "ทราย เจริญปุระ" สู้ "การิทัตผจญภัย" นิยายปรัชญาการเมืองที่ตอนหนึ่งกล่าวถึงลักษณะของชุมชนนครหนึ่ง ที่ "เจตนาของผู้พูดผู้แต่งไม่สำคัญ ยึดเอาการตีความของผู้อ่านผู้ฟังเป็นสรณะ แล้วตัดสินวินิจฉัยตามนั้นเลย"
เกษียร เตชะพีระ
คำอธิบายของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิคกรณีดำเนินการกับพนักงานที่โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดีย: ประเด็นไม่ใช่สีไหน แต่คือกระทำอะไร (Professionalism, not ideology, is the issue.) และตรรกะเบื้องหลังวิธีคิดและการกระทำสุดโต่งทางการเมือง
เกษียร เตชะพีระ
ข้ออ้างคำโตแค่ว่าตลาดข้าวหรือตลาดสินค้า/บริการด้านใดด้านหนึ่งเป็นระเบียบศักดิ์สิทธิ์ ห้ามรัฐยุ่งเกี่ยวแตะต้องสภาพดังที่เป็นอยู่ อันเป็นข้อถกเถียงแบบฉบับของเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมกระแสหลักที่ระแวงการเมือง เกลียดรัฐแทรกแซง แบบตายตัวบ้องตื้นนั้น ฟังไม่ขึ้น มิพักต้องยกมากรอกหูอีกต่อไป
เกษียร เตชะพีระ
ไม่มีประชาธิปไตยแน่ ๆ คือสภาตรายางและการเลือกตั้งที่มีเก๊ทั้งนั้น หลังฉากจัดตั้งของพรรคคุมเข้มตลอด, ประชาชนลำบากเดือดร้อนก็หาทางประท้วงต่อต้านนโยบายรัฐลำบาก การรอนสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนของประชาชนหนักข้อมาก และไม่มีหลักนิติรัฐครับ ยืนยันได้ว่าไม่มี เพราะพรรคอยู่เหนือศาลและอยู่เหนือความพร้อมรับผิดทางการเมืองและกฎหมาย
เกษียร เตชะพีระ
ความสัมพันธ์อันมั่นคงยืนนานตั้งอยู่บนความรักโดยสมัครใจ ซึ่งกว่าจะได้มาก็ใช้เวลายาวนานในการปลูกสร้างสั่งสมจนเชื่อมั่นไว้วางใจกัน เพราะได้ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลอุปถัมภ์กันในยามยากและยามคับขัน ให้อภัยกันในยามหลุดปากพลั้งมือผิดพลาดต่อกัน ต่างฝ่ายต่างเข้าใจว่าเราตั้งใจจะคงความสัมพันธ์นี้ต่อไปและเราจะอยู่ด้วยกันอย่างยาวนานได้ก็ด้วยการปฏิบัติต่อกันเยี่ยงนี้
เกษียร เตชะพีระ
"..ทุกสังคมมีพลังฝ่ายขวา ผมอยากให้เขาอยู่และรวมกลุ่มต่อสู้รณรงค์ในระบอบรัฐสภาครับ ถึงตอนนั้นเป็นไปได้ว่าเขาจะมีข้อเสนอเชิงนโยบายที่เข้มแข็งกว่านี้ แต่ตอนนี้เขากลายเป็น outlet สำหรับสารพัดความอึดอัดไม่พอใจรัฐบาล แต่ไม่รู้จะสู้ในระบบอย่างไร.."
เกษียร เตชะพีระ
วิธีคิดที่เหมารวมการวิพากษ์วิจารณ์ทุกอย่างว่าเป็น hate speech นั้นไม่ต่างจากวิธีคิดของคนจำนวนมากในสังคมไทยต่อกฎหมายม. ๑๑๒ คือไม่สามารถแยกแยะระหว่าง วิพากษ์วิจารณ์ กับ ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย เลย ถ้าเราเริ่มคิดแบบนั้น เราก็กำลังเดินตรรกะเดียวกับผู้จงรักภักดีที่ไม่อาจแยกแยะแบบนั้นได้ น่าแปลกใจไหมครับ?
เกษียร เตชะพีระ
ตกลงประชาชนมีดุลพินิจถ่องแท้เที่ยงธรรม หรือ อ่อนเปราะพลิ้วไหวถูกคนอื่นชักจูงให้รังแกข่มเหงคนอื่นด้วยอคติกันแน่?
เกษียร เตชะพีระ
บางทีที่น่ากลัวที่สุดไม่เพียงแต่เป็น hate speech แต่รวมทั้ง love speech ด้วย อะไรที่สุดโต่งและไม่ฟังไม่ยับยั้งชั่งใจ คิดว่า สิ่งนี้ สำคัญ กว่าชีวิตคน น่ากลัวทั้งนั้น ไม่ว่ามันจะมาในนามอะไร? ความจงรักภักดี, สิทธิเสรีภาพ, ประชาธิปไตย, สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คำเหล่านี้ใช้เป่าคาถาฆ่าคนมาแล้วทั้งนั้น ไม่มีคำไหนไม่เปื้อนเลือด คำถามจึงไม่ใช่แค่กำจัดคำ แต่จะทำอย่างไรให้เงื่อนไขการใช้คำฆ่าคน น้อยลง
เกษียร เตชะพีระ
..ในสังคมสาธารณ์ที่ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกบ่อนทำลายลงจากความรู้สมัยใหม่ทางวิทยาศาสตร์ทุกวี่วัน พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์กลับเพิ่มพูนขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ และในทางกลับกัน พื้นที่เหล่านั้นก็กลับสาธารณ์หรือเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ลงทุกทีเหมือนกัน..
เกษียร เตชะพีระ
คนเพิ่งอพยพจากชนบทเข้าเมืองไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนสำมะโนครัวประชากรทางการ ทำให้เข้าถึงบริการพื้นฐานของรัฐ เช่น น้ำประปา, สาธารณสุข, โรงเรียน ยาก คนที่รายได้ไม่เข้าเกณฑ์ทางการ (ต่ำไม่พอ) ทำให้ไม่มีสิทธิ์ลงชื่อในทะเบียนคนจน ก็เลยพลอยไม่ได้สวัสดิการสำหรับคนจนของรัฐไปด้วย
เกษียร เตชะพีระ
...สันติวิธีหรือปฏิบัติการไม่รุนแรงเป็นวิธีการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพไม่น้อยกว่าความรุนแรง และมีคุณค่าทางจริยธรรมในตัว สมควรได้รับการพิจารณาสำหรับผู้ต้องการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ว่าเพื่อเป้าหมายใดก็ตาม