เกษียร เตชะพีระ
พูดอย่างย่นย่อที่สุด ปมปัญหาว่าด้วย “รัฏฐาธิปัตย์” ไทยนับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมาคือช่วงตกห่างระหว่าง “รัฏฐาธิปัตย์ผู้มีประสิทธิผล” (effective sovereign อันได้แก่ผู้กุมอำนาจอธิปไตยได้จริงในช่วงจังหวะสถานการณ์หนึ่ง ๆ) กับ “รัฏฐาธิปัตย์ผู้ชอบธรรม” (legitimate sovereign อันได้แก่ปวงชนชาวไทย), เงื่อนไขของช่วงตกห่างดังกล่าวคือจินตนากรรมเรื่องชาติ, ทำให้ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของรัฏฐาธิปัตย์ไทยเต็มไปด้วยการทำให้เงียบ, การพูดแทน, การเบียดขับกีดกันออกไปซึ่งประชาชนชายขอบผู้ออกเสียงเลือกตั้งในปัจจุบัน
การประกาศตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ของคุณสุเทพ ณ กปปส. (in all seriousness but may turn out to be merely เชิญยิ้ม.....อันที่จริงก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีการประกาศตัวยึดอำนาจ อวดอ้างแสดงตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ “เชิญยิ้ม” ของพลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ณ กปท. กลางถนนราชดำเนินมาแล้ว) เกิดขึ้นก็ด้วยเงื่อนไขเชิงประวัติศาสตร์และโครงสร้างข้างต้นนี้
กล่าวในทางหลักการ นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญเมื่อ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ อำนาจอธิปไตย (sovereignty) ก็เปลี่ยนมือผู้เป็นเจ้าของจากพระมหากษัตริย์เป็นปวงชนชาวไทยแล้ว และไม่อาจหวนกลับไปอีกในเชิงโครงสร้างทางการอย่างยาวนาน
ปัญหาของผู้เคยเป็นรัฏฐาธิปัตย์ในระบอบเดิม (ancien regime) จึงเป็นว่าจะบริหารจัดการการที่อำนาจอธิปไตยหลุดมือสูญเสียไปแล้วอย่างไร จึงจะปกป้องรักษาพื้นที่อำนาจและผลประโยชน์สำคัญยิ่งของตนและเครือข่ายไว้ได้ภายใต้ระบอบใหม่ซึ่งอำนาจอธิปไตยตกเป็นของ “คนแปลกหน้า” นอกแวดวงโครงสร้างอำนาจเดิม?
คำตอบที่ค้นพบในประวัติศาสตร์คือการโต้อภิวัฒน์ทางการเมืองวัฒนธรรมเพื่อสถาปนาพระราชอำนาจนำขึ้นทดแทนอำนาจอธิปไตยที่สูญเสียไป (A cultural political counter-revolution to establish royal hegemony in lieu of the lost sovereign power) ซึ่งมาปรากฏเป็นจริงในช่วงสมัยรัชกาลปัจจุบันโดยเฉพาะหลัง ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นต้นมา (สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลแย้งว่าเป็นจริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ ๒๕๓๐) โดยเฉพาะหลังขบวนการต่อสู้ด้วยอาวุธของพคท.ล่มสลาย, กองทัพกลายเป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, และคนชั้นกลางกระฎุมพีกำพร้าไร้รากพบผู้ให้กำเนิดทางการเมืองวัฒนธรรมของตนในราชาชาตินิยม
พูดในภาษา Ben Anderson ช่วงตกห่างระหว่าง effective sovereign vs. legitimate sovereign เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์หลัง ๒๔๗๕ คือหลุดจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ไปไม่ถึงรัฐชาติประชาธิปไตยสมัยใหม่จริง ค้างเติ่งอยู่แค่ระบอบรัฐราชการหรืออำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) เนื่องจากการขาดหายไปของขบวนการชาตินิยมของประชาชน (popular nationalism) ในประวัติศาสตร์ ซึ่งเพิ่งปรากฏเป็นตัวตนจริงขึ้นมาในการลุกฮือของนักศึกษาประชาชนเมื่อ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ที่ Ben เห็นว่าคือ “การปฏิวัติกระฎุมพี ค.ศ. ๑๗๘๙ ของไทย”
อะไรคือปัญหา “ชาติ” กับ ๔๐ ปีของการถูกทำให้เงียบ, พูดแทนและเบียดขับกีดกันออกไปซึ่งประชาชนชายขอบ?
มีปัญหาความสัมพันธ์อันยอกย้อนซับซ้อนอยู่ระหว่าง “ชาติ” กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน/ประชาธิปไตยที่จำเป็นต้องอธิบายสักเล็กน้อย
ในโลกการเมืองสมัยใหม่ ประชาชนผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยย่อมไม่ใช่ประชาชนอะไรที่ไหนก็ได้ แต่ต้องมีหน่วยชุมชนการเมืองที่สังกัด มีพรมแดนรั้วรอบขอบชิดว่า “ประชาชนผู้ทรงอำนาจอธิปไตย” เริ่มที่ไหน, สิ้นสุดที่ไหน, นับใครบ้าง, ไม่นับใครบ้าง? ซึ่งหน่วยสังกัดที่เป็นพื้นฐานของระบบรัฐสมัยใหม่ทั่วโลกก็คือ “ชาติ” หรือ “รัฐชาติ”
แต่ก็ดังที่ทราบกันอยู่ว่าในหน่วยชุมชนรวมหมู่ใหญ่กว่าหมู่บ้านที่พบปะสัมพันธ์รู้จักหน้าค่าตาทั่วถึงกันหมดขึ้นมา การรวมตัวเป็นชุมชนต้องผ่านจินตนากรรม ชาติเอาเข้าจริงจึงเป็นชุมชนในจินตนากรรม (Ben Anderson - nations as imagined communities) ตรงนี้เปิดช่องโหว่ช่องว่างหรือพื้นที่ในการขยับหมากเคลื่อนไหวให้สามารถจินตนากรรม “ชาติ” ไปได้ต่าง ๆ นานาในลักษณะที่มันหลุดลอย กีดกัน ผลักไสประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งไปอยู่ชายขอบได้
ที่สำคัญคือการจินตนากรรมชุมชนชาติไทยแบบที่อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริเรียกว่า “เสนาชาตินิยม-อำมาตยาชาตินิยม” กล่าวคือทหารและข้าราชการอ้างตนเป็นตัวแทน “ชาติ” เข้าเคลมอำนาจอธิปไตยโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน หากผ่านการปฏิวัติรัฐประหารแทน โดยอธิบายว่า “ชาติ” ที่ตนเป็นตัวแทนนั้นกว้างไกลออกไปกว่า “ประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งในปัจจุบัน” เพราะ “ชาติ” ย่อมต้องจินตนากรรมกว้างรับนับรวมเอา “บรรพบุรุษไทยในอดีต” (ผีไทยที่ตายไปแล้ว) และ “คนไทยในอนาคต” ”(วิญญาณไทยที่จะมาจุติ) เข้าไว้ด้วย จากนั้นก็อ้างผีและวิญญาณไทยเบียดขับผลักไสกีดกัน “คนไทยผู้ออกเสียงเลือกตั้งที่มีชีวิตในปัจจุบัน” ไปอยู่ชายขอบของอำนาจอธิปไตย
ส่วน “ราชาชาตินิยม-ประชาธิปไตย” ดังข้อเสนอของธงชัย วินิจจะกูล (สรุปรวมความคือ ร.๕ ราชากู้ชาติ + ร.๗ กษัตริย์ประชาธิปไตย = ร.๙ พระผู้ทรงกู้ชาติจากคอมมิวนิสต์และทุนโลกาภิวัตน์ อีกทั้งทรงรักษาประชาธิปไตยจากเผด็จการฝ่ายซ้ายและขวา) ก็ทำให้ประชาชนซึ่งกว้างใหญ่หลากหลายคลุมเครือสามารถสำนึกสำเหนียกหมายอัตตา “ชาติไทย-ความเป็นไทย” รวมหมู่ของตนได้ง่ายขึ้นผ่านบุคลาทิษฐานซึ่งรวมศูนย์อยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ ในฐานะประมุขรัฐและสัญลักษณ์แห่งชาติในการใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน
ความคลุมเครือเรื้อรังของ “ราชาชาตินิยม-ประชาธิปไตย” ระหว่างผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยกับผู้ใช้อำนาจแทน (แสดงออกในมาตราหลักของรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ ว่าด้วยอำนาจอธิปไตยว่ามันเป็น “เป็นของ” หรือ “มาจาก” ปวงชนชาวไทยกันแน่?.....ซึ่งนำไปสู้ข้อตีความพิสดารของ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณว่าพระมหากษัตริย์กับประชาชนถือครองอำนาจอธิปไตยคู่กันในภาวะปกติ และพระมหากษัตริย์ถือครองอำนาจอธิปไตยฝ่ายเดียวในภาวะรัฐประหาร) ประการหนึ่ง, เมื่อกอปรกับการตีความ “ชาติ” กว้างไกลไปกว่า “ประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งปัจจุบัน” ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นอีกประการหนึ่ง, ก็ทำให้เป็นไปได้ที่จะจินตนากรรม “ชาติ” ในลักษณะกีดกันผลักไสให้หลุดลอยออกไปจากประชาชน
ประชาชนที่จินตนากรรมตัวเองเป็นชาติเดียวกันหรือ “ประชาชาติ” จะออกเสียงแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองการปกครองของตนให้ปรากฏได้ยินได้ฟังกับหูกับตาอย่างไร? นี่เป็นปัญหาปรัชญาการเมืองคลาสสิกที่ทำให้มหาชนรัฐ “ประชาธิปไตยทางตรง” ของรุสโซในหนังสือสัญญาประชาคมมีขีดจำกัดทางขนาดในโลกปัจจุบัน ทางเลือกมีไม่มากที่เราจะได้ยินเสียงนั้น กล่าวคือ
๑) ประชุมคน ๖๔.๘ ล้านคนพร้อมเพรียงกันในที่ประชุมมโหฬารสักแห่ง เปิดอภิปรายอย่างกว้างขวางทั่วถึง แล้วลงมติ.... ความเป็นไปไม่ได้ของการณ์นี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัด แม้จะคิดถึงการใช้ IT, Computers, IPad, Wifi, 3G, 4G มาช่วย digital democracy ก็ตาม
๒) สำรวจ poll สารพัดสำนักซึ่งเราก็ทำกันสม่ำเสมอ แต่ก็นั่นแหละ มันจะถูกทักท้วงได้เสมอว่าผล poll ที่ได้แทนตนมติมหาชนที่แท้จริงได้เที่ยงตรงเที่ยงแท้เพียงใด?
๓) หันไปใช้ “ประชาธิปไตยแบบแทนตน” ผ่านการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป
ในความหมายนี้ “การเลือกตั้ง” จึงทำหน้าที่สำคัญน่าพิศวงในชุมชนชาติที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน) เป็นช่องทางเปล่งเสียงของประชาชนให้ได้ยินออกมา มิฉะนั้นก็จะไม่ได้ยินได้ฟังกัน กล่าวคือ....
เมื่อพวกเราประชาชนพลเมืองแต่ละคนแสดงตนเข้าไปโหวตในคูหาเลือกตั้งนั้น เอกลักษณ์หลากหลายนานัปการของเราไม่ว่าเพศ, ชาติพันธุ์, อายุ, ศาสนา, อุดมการณ์การเมือง, สมาชิกภาพพรรคการเมือง, ระดับการศึกษา, รสนิยมทางอาหาร, แฟชั่นการแต่งกาย, เชียร์ทีมฟุตบอลใด, แฟนคลับนักร้องดาราคนไหน ฯลฯ (เท่าที่เข้าเกณฑ์พื้นฐานเช่นอายุถึง ๑๘ ปี, ไม่ได้ติดคุกอยู่, ไม่ได้เป็นนักบวช, ไม่ได้วิกลจริตฟั่นเฟือน ฯลฯ) ไม่เกี่ยวข้องสำคัญเลย ไม่ถูกนึกถึงและนับเข้ามารวมเลย เราได้เข้าไปโหวตเพียงเพราะคุณสมบัติประการเดียวคือเราเป็นพลเมืองของรัฐชาติไทยถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น และเราแต่ละคนได้โหวตก็เพียงเพราะเหตุนั้นมันเหมือนเป็นการถอดประกอบเอกลักษณ์ทุกอย่างออกหมดจนแทบเปล่าเปลือย เหลือแต่เพียง “ความเป็นพลเมืองไทย” ไม่เลือกหน้าด้วน ๆ (individuals) เท่านั้นเอง และเราก็ถูกสมมุติคาดหมายให้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วยสถานภาพโดด ๆ นั้น
แน่นอน ในทางเป็นจริง เราพกพาเอาเอกลักษณ์อันซับซ้อนหลากหลายของเราเข้าคูหาไปโหวตด้วยทั้งหมดนั่นแหละ และเราก็เลือกตั้งผู้แทนของเราด้วยข้อพินิจคำนึงประกอบจากอคติประดามีทั้งหมดนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอเราโหวตในฐานะ individual citizens พรั่งพร้อมด้วยอคติจากเอกลักษณ์ประดามีของเรา พอมันหลุดผ่านหีบบัตรเลือกตั้งเข้าไปคละเคล้าผสมปนเปกับบัตรเลือกตั้งแสดงเจตจำนงของเพื่อนพลเมืองปัจเจกคนอื่นทั้งหมด แล้วนับคะแนนรวม ผู้แทนที่ได้ชัยชนะเสียงข้างมากเข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนเราและกลายเป็นผลลัพธ์บั้นปลายของการโหวตรวมหมู่ของเรา กลับไม่ใช่ตัวแทนของเราแต่ละคนเลย เราเคลมเขาเป็นของเราคนเดียวหรือแม้แต่เขตเลือกตั้งเดียวจังหวัดเดียวไม่ได้เลยในทางหลักการ พวกเขากลายเป็นตัวแทนของ “ชาติ” ไปเสียฉิบ และถูกคาดหมายให้ออกเสียงลงมติใช้อำนาจอธิปไตยที่เรามอบหมายไปเพื่อประโยชน์ของชาติ ในนามของชาติ เป็นตัวแทนชาติ
นั่นแปลว่าอะไร? นั่นแปลว่า somehow ในท่อที่ผ่านจากหีบบัตรเลือกตั้ง ไปสู่การนับคะแนนทั้งหมดรวมกัน แล้วประกาศผลนั้น “ชาติ” จุติขึ้นในกระบวนการนั้นเอง และได้ส่งเสียงดัง ๆ ให้เราได้ยินได้ฟังเพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของ “ประชาชาติ” ในการใช้อำนาจอธิปไตยผ่านกระบวนการเลือกตั้งนั้นเอง
ควรกล่าวไว้ด้วยว่าอาจารย์ปฤณ เทพนรินทร์ได้วิเคราะห์เสนอไว้อย่างแหลมคมแยบคายในวิทยานิพนธ์ดีเด่นของเขาว่าระบบเลือกตั้งใหม่แบบบัญชีรายชื่อพรรค party list ที่ถือทั่วทั้งประเทศเป็นเขตเลือกตั้งเดียวกันซึ่งเริ่มไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ได้สร้างเงื่อนไขใหม่ในการเมืองไทยให้เกิดขึ้น กล่าวคือ โดยผ่านการเลือกตั้ง party list พรรคที่ชนะได้เสียงข้างมากสามารถเคลมได้เป็นครั้งแรกว่าตนเป็นตัวแทนเจตจำนงทางการเมืองของคนไทยทั้งชาติในลักษณะที่การเลือกตั้งแบบเขตเลือกตั้งย่อย ๆ แต่เดิมที่ผ่านมาไม่เปิดช่องให้เห็นชัดโดยตรงมาก่อน
การเคลมนี้ส่งผลสะเทือนอย่างยิ่งในทางความชอบธรรมทางการเมือง เพราะมันทำให้ “ประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน” สามารถแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของตัวออกมาเป็นตัวเป็นตนประจักษ์ชัดเจนว่านี่คือแนวนโยบายและตัวแทนที่พวกเขาต้องการให้ไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนตน (เทียบกับผีไทย, วิญญาณไทย, ชาติไทยแบบอื่น ๆ) หรือกล่าวอีกในหนึ่งการเลือกตั้งระบบ party list ได้ทำให้ effective sovereign เข้าถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ legitimate sovereign ผ่านการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในการเมืองไทย
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมมีความพยายามในสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดคมช.แต่งตั้งที่จะตราหน้าว่าการเลือกตั้งแบบ party list ที่ถือทั่วประเทศเป็นเขตเลือกตั้งเดียวกันไปกันไม่ได้กับระบอบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งไม่ใช่ระบอบประธานาธิบดี (จรัญ ภักดีธนากุล) และลดทอนมันลงมาทั้งในแง่จำนวนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ (เหลือ ๘๐ จากเดิม ๑๐๐ คน) และแบ่งแยกเขตเลือกตั้งทั่วทั้งประเทศให้แตกย่อยออกไปเป็น ๘ กลุ่มจังหวัดแทน ก่อนที่จะแก้ไขเขตเลือกตั้งกลับเป็นทั่วทั้งประเทศแบบเดิมและเพิ่มจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อเป็น ๑๒๕ คนในปี พ.ศ. ๒๕๕๔
ดังนั้น ไม่มีเลือกตั้ง ประชาชาติก็ไม่มีเสียง ออกเสียงให้ได้ยินได้ฟังไม่ได้ว่าประชาชนในชาติต้องการใช้อำนาจอธิปไตยไปทำอะไร พูดอีกอย่างถ้าคุณขัดขวางทำลายการเลือกตั้ง คุณก็กำลังทำแท้ง “อำนาจอธิปไตย” ของชาติและประชาชนนั่นเอง
ที่คุณสุเทพ ณ กปปส.คัดค้านการเลือกตั้งก่อนปฏิรูป ยืนกรานว่าต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็มีนัยการเมืองสำคัญตรงนี้ คือต้องทำแท้ง “อำนาจอธิปไตย” ของปวงชนชาวไทยให้จงได้ ไม่ให้มันได้คลอดได้ผุดได้เกิดผ่านกระบวนการเลือกตั้งมาลืมตาดูโลก ทำแท้ง “อำนาจอธิปไตย” ของปวงชนชาวไทยได้สำเร็จแล้ว ก็จะได้เคลมตนเองเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” แทนนั่นปะไร!
บล็อกของ เกษียร เตชะพีระ
เกษียร เตชะพีระ
เราอยู่ในสังคมการเมืองที่มากไปด้วยมรดกของการใช้อำนาจรัฐปิดปากฝ่ายค้านและผู้มีความเห็นต่างไม่ให้ออกสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นปกติธรรมดามานานปี ดังนั้นเมื่อมีการระงับออกรายการ ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด (เหนือเมฆ, คนค้นคนตอนศศิน, ฯลฯ) เราจึงคิดแบบแทบจะอัตโนมัติ/เป็นสัญชาตญาณเลยว่า "รัฐบาล", "หน่วยราชการ", "นักการเมือง" แทรกแซงให้แบนอีกแล้ว...
เกษียร เตชะพีระ
แย้งคุณสมเกียรติ อ่อนวิมล: เส้นแบ่งพรรคการเมืองทางรัฐศาสตร์ที่สำคัญคือเป็นพรรคมวลชน (mass party) หรือพรรคชนชั้นนำ (elite party) ไม่ใช่เกณฑ์หละหลวมว่าเป็นพรรคที่ "เกิดและเติบโตจากประชาชน" หรือไม่
เกษียร เตชะพีระ
รวม 15 เรื่องราวการเหยียดเชื้อชาติของคนต่างชาติในเยอรมนี
เกษียร เตชะพีระ
ท่ามกลางข่าวกลุ่มผู้เคร่งศาสนาอิสลามชาวอินโดนีเซียประท้วงการจัดประกวดมิสเวิลด์ประจำปีนี้ที่ประเทศของตน จนทางผู้จัดต้องปรับลดรายการ งดให้ผู้เข้าประกวดนานาชาติใส่ชุดบิกินีแต่ให้ใส่โสร่งบาหลีแทนและยังถูกรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งย้ายสถานที่จัดงานจากกรุงจาการ์ตาไปเกาะบาหลีซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู ก็มีการประกวดนางงามเวอร์ชั่นอิสลามอย่างถูกต้องตามหลักศาสนาที่จาการ์ตาด้วยเหมือนกัน!
เกษียร เตชะพีระ
โลกาภิวัตน์สะดุดลัทธิคุ้มครองการค้า (Protectionism): รัฐบาลนานาชาติทั่วโลกวางมาตรการคุ้มครองการค้าใหม่ถึง ๑๕๔ มาตรการในชั่วปีเดียว!
เกษียร เตชะพีระ
ทำความรู้จัก 'เทเรซ่า ฟอร์คาดส์' แม่ชีคาทอลิกชาวสเปน ปัญญาชนสาธารณะฝ่ายซ้ายที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของยุโรป คนหลายพันพากันเข้าร่วมขบวนการต่อต้านทุนนิยมของเธอซึ่งรณรงค์ให้แคว้นคาตาโลเนียเป็นอิสระ กับนโยบาย ๑๐ ข้อซึ่งเธอกับนักเศรษฐศาสตร์ อาร์คาดี โอลีเวเรส ช่วยกันร่างขึ้น
เกษียร เตชะพีระ
"ในโลกซังกะบ๊วยแบบที่เราอยู่ปัจจุบัน มีการรณรงค์ที่สำคัญกว่าที่เราทำในเงื่อนไขสถานที่ที่เราอยู่เสมอ ประเด็นจึงไม่ใช่หยุดหรือสละการต่อสู้เฉพาะที่เพื่อเห็นแก่เรื่องสำคัญ/ใหญ่กว่า แต่คือฟังกัน เห็นอกเห็นใจกัน เคารพกัน ขยายสร้างความเข้าใจเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ให้แก่กัน หาทางหนุนช่วยเชื่อมโยงกันบนฐานความเข้าใจจุดร่วมและความเชื่อมโยงที่มีอยู่จริงของปัญหาซึ่งกันและกัน"
เกษียร เตชะพีระ
ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย และระหว่างพื้นที่สิทธิกับอำนาจบริหาร กับกรณี "อั้ม เนโกะ" กับ "4 ภาพ sex" ต้าน "บังคับแต่งชุด นศ.มธ."
เกษียร เตชะพีระ
สมาคมผู้พิพากษาแห่งชาติได้ขออภัยที่ไม่ได้ปกป้องคุ้มครองพลเมืองชิลีในโอกาสระลึก ๔๐ ปีนับแต่รัฐประหารที่นำปิโนเช่ต์ขึ้นสู่อำนาจ
เกษียร เตชะพีระ
วิวัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับชาตินิยม ตั้งแต่ ขั้นการปฏิวัติชาตินิยมในคริสตศตวรรษที่ ๑๘, ขั้นการปรับตัวทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์เป็นอยู่ใต้รัฐธรรมนูญและราชาชาตินิยมในคริสตศตวรรษที่ ๑๙ และ ๒๐, ขั้นการปรับตัวทางวัฒนธรรมของสถาบันกษัตริย์เป็นแบบกระฎุมพีในคริสตศตวรรษที่ ๒๐ และขั้นสถาบันกษัตริย์ในยุควัฒนธรรมสื่อทีวีมหาชนปัจจุบัน
เกษียร เตชะพีระ
.. Honi Soit ลงพิมพ์ปกรูปอวัยวะเพศของหญิง ๑๘ คนเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันมีความหลากหลายแตกต่างเป็นปกติธรรมดา ไม่ได้เป็นและไม่จำต้องเป็น "วงขา" อุดมคติอย่างในหนังโป๊เปลือยทั้งหลาย จึงเป็นย่างก้าวสำคัญในการเตะสกัดกระบวนการทำอวัยวะผู้หญิงให้เป็นสินค้าในตลาดทุนนิยม ก่อนมันจะรุกคืบหน้าจากวงแขนลงไปข้างล่าง..