เกษียร เตชะพีระ
พูดอย่างย่นย่อที่สุด ปมปัญหาว่าด้วย “รัฏฐาธิปัตย์” ไทยนับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมาคือช่วงตกห่างระหว่าง “รัฏฐาธิปัตย์ผู้มีประสิทธิผล” (effective sovereign อันได้แก่ผู้กุมอำนาจอธิปไตยได้จริงในช่วงจังหวะสถานการณ์หนึ่ง ๆ) กับ “รัฏฐาธิปัตย์ผู้ชอบธรรม” (legitimate sovereign อันได้แก่ปวงชนชาวไทย), เงื่อนไขของช่วงตกห่างดังกล่าวคือจินตนากรรมเรื่องชาติ, ทำให้ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของรัฏฐาธิปัตย์ไทยเต็มไปด้วยการทำให้เงียบ, การพูดแทน, การเบียดขับกีดกันออกไปซึ่งประชาชนชายขอบผู้ออกเสียงเลือกตั้งในปัจจุบัน
การประกาศตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ของคุณสุเทพ ณ กปปส. (in all seriousness but may turn out to be merely เชิญยิ้ม.....อันที่จริงก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีการประกาศตัวยึดอำนาจ อวดอ้างแสดงตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ “เชิญยิ้ม” ของพลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ณ กปท. กลางถนนราชดำเนินมาแล้ว) เกิดขึ้นก็ด้วยเงื่อนไขเชิงประวัติศาสตร์และโครงสร้างข้างต้นนี้
กล่าวในทางหลักการ นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญเมื่อ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ อำนาจอธิปไตย (sovereignty) ก็เปลี่ยนมือผู้เป็นเจ้าของจากพระมหากษัตริย์เป็นปวงชนชาวไทยแล้ว และไม่อาจหวนกลับไปอีกในเชิงโครงสร้างทางการอย่างยาวนาน
ปัญหาของผู้เคยเป็นรัฏฐาธิปัตย์ในระบอบเดิม (ancien regime) จึงเป็นว่าจะบริหารจัดการการที่อำนาจอธิปไตยหลุดมือสูญเสียไปแล้วอย่างไร จึงจะปกป้องรักษาพื้นที่อำนาจและผลประโยชน์สำคัญยิ่งของตนและเครือข่ายไว้ได้ภายใต้ระบอบใหม่ซึ่งอำนาจอธิปไตยตกเป็นของ “คนแปลกหน้า” นอกแวดวงโครงสร้างอำนาจเดิม?
คำตอบที่ค้นพบในประวัติศาสตร์คือการโต้อภิวัฒน์ทางการเมืองวัฒนธรรมเพื่อสถาปนาพระราชอำนาจนำขึ้นทดแทนอำนาจอธิปไตยที่สูญเสียไป (A cultural political counter-revolution to establish royal hegemony in lieu of the lost sovereign power) ซึ่งมาปรากฏเป็นจริงในช่วงสมัยรัชกาลปัจจุบันโดยเฉพาะหลัง ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นต้นมา (สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลแย้งว่าเป็นจริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ ๒๕๓๐) โดยเฉพาะหลังขบวนการต่อสู้ด้วยอาวุธของพคท.ล่มสลาย, กองทัพกลายเป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, และคนชั้นกลางกระฎุมพีกำพร้าไร้รากพบผู้ให้กำเนิดทางการเมืองวัฒนธรรมของตนในราชาชาตินิยม
พูดในภาษา Ben Anderson ช่วงตกห่างระหว่าง effective sovereign vs. legitimate sovereign เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์หลัง ๒๔๗๕ คือหลุดจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ไปไม่ถึงรัฐชาติประชาธิปไตยสมัยใหม่จริง ค้างเติ่งอยู่แค่ระบอบรัฐราชการหรืออำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) เนื่องจากการขาดหายไปของขบวนการชาตินิยมของประชาชน (popular nationalism) ในประวัติศาสตร์ ซึ่งเพิ่งปรากฏเป็นตัวตนจริงขึ้นมาในการลุกฮือของนักศึกษาประชาชนเมื่อ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ที่ Ben เห็นว่าคือ “การปฏิวัติกระฎุมพี ค.ศ. ๑๗๘๙ ของไทย”
อะไรคือปัญหา “ชาติ” กับ ๔๐ ปีของการถูกทำให้เงียบ, พูดแทนและเบียดขับกีดกันออกไปซึ่งประชาชนชายขอบ?
มีปัญหาความสัมพันธ์อันยอกย้อนซับซ้อนอยู่ระหว่าง “ชาติ” กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน/ประชาธิปไตยที่จำเป็นต้องอธิบายสักเล็กน้อย
ในโลกการเมืองสมัยใหม่ ประชาชนผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยย่อมไม่ใช่ประชาชนอะไรที่ไหนก็ได้ แต่ต้องมีหน่วยชุมชนการเมืองที่สังกัด มีพรมแดนรั้วรอบขอบชิดว่า “ประชาชนผู้ทรงอำนาจอธิปไตย” เริ่มที่ไหน, สิ้นสุดที่ไหน, นับใครบ้าง, ไม่นับใครบ้าง? ซึ่งหน่วยสังกัดที่เป็นพื้นฐานของระบบรัฐสมัยใหม่ทั่วโลกก็คือ “ชาติ” หรือ “รัฐชาติ”
แต่ก็ดังที่ทราบกันอยู่ว่าในหน่วยชุมชนรวมหมู่ใหญ่กว่าหมู่บ้านที่พบปะสัมพันธ์รู้จักหน้าค่าตาทั่วถึงกันหมดขึ้นมา การรวมตัวเป็นชุมชนต้องผ่านจินตนากรรม ชาติเอาเข้าจริงจึงเป็นชุมชนในจินตนากรรม (Ben Anderson - nations as imagined communities) ตรงนี้เปิดช่องโหว่ช่องว่างหรือพื้นที่ในการขยับหมากเคลื่อนไหวให้สามารถจินตนากรรม “ชาติ” ไปได้ต่าง ๆ นานาในลักษณะที่มันหลุดลอย กีดกัน ผลักไสประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งไปอยู่ชายขอบได้
ที่สำคัญคือการจินตนากรรมชุมชนชาติไทยแบบที่อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริเรียกว่า “เสนาชาตินิยม-อำมาตยาชาตินิยม” กล่าวคือทหารและข้าราชการอ้างตนเป็นตัวแทน “ชาติ” เข้าเคลมอำนาจอธิปไตยโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน หากผ่านการปฏิวัติรัฐประหารแทน โดยอธิบายว่า “ชาติ” ที่ตนเป็นตัวแทนนั้นกว้างไกลออกไปกว่า “ประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งในปัจจุบัน” เพราะ “ชาติ” ย่อมต้องจินตนากรรมกว้างรับนับรวมเอา “บรรพบุรุษไทยในอดีต” (ผีไทยที่ตายไปแล้ว) และ “คนไทยในอนาคต” ”(วิญญาณไทยที่จะมาจุติ) เข้าไว้ด้วย จากนั้นก็อ้างผีและวิญญาณไทยเบียดขับผลักไสกีดกัน “คนไทยผู้ออกเสียงเลือกตั้งที่มีชีวิตในปัจจุบัน” ไปอยู่ชายขอบของอำนาจอธิปไตย
ส่วน “ราชาชาตินิยม-ประชาธิปไตย” ดังข้อเสนอของธงชัย วินิจจะกูล (สรุปรวมความคือ ร.๕ ราชากู้ชาติ + ร.๗ กษัตริย์ประชาธิปไตย = ร.๙ พระผู้ทรงกู้ชาติจากคอมมิวนิสต์และทุนโลกาภิวัตน์ อีกทั้งทรงรักษาประชาธิปไตยจากเผด็จการฝ่ายซ้ายและขวา) ก็ทำให้ประชาชนซึ่งกว้างใหญ่หลากหลายคลุมเครือสามารถสำนึกสำเหนียกหมายอัตตา “ชาติไทย-ความเป็นไทย” รวมหมู่ของตนได้ง่ายขึ้นผ่านบุคลาทิษฐานซึ่งรวมศูนย์อยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ ในฐานะประมุขรัฐและสัญลักษณ์แห่งชาติในการใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน
ความคลุมเครือเรื้อรังของ “ราชาชาตินิยม-ประชาธิปไตย” ระหว่างผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยกับผู้ใช้อำนาจแทน (แสดงออกในมาตราหลักของรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ ว่าด้วยอำนาจอธิปไตยว่ามันเป็น “เป็นของ” หรือ “มาจาก” ปวงชนชาวไทยกันแน่?.....ซึ่งนำไปสู้ข้อตีความพิสดารของ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณว่าพระมหากษัตริย์กับประชาชนถือครองอำนาจอธิปไตยคู่กันในภาวะปกติ และพระมหากษัตริย์ถือครองอำนาจอธิปไตยฝ่ายเดียวในภาวะรัฐประหาร) ประการหนึ่ง, เมื่อกอปรกับการตีความ “ชาติ” กว้างไกลไปกว่า “ประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งปัจจุบัน” ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นอีกประการหนึ่ง, ก็ทำให้เป็นไปได้ที่จะจินตนากรรม “ชาติ” ในลักษณะกีดกันผลักไสให้หลุดลอยออกไปจากประชาชน
ประชาชนที่จินตนากรรมตัวเองเป็นชาติเดียวกันหรือ “ประชาชาติ” จะออกเสียงแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองการปกครองของตนให้ปรากฏได้ยินได้ฟังกับหูกับตาอย่างไร? นี่เป็นปัญหาปรัชญาการเมืองคลาสสิกที่ทำให้มหาชนรัฐ “ประชาธิปไตยทางตรง” ของรุสโซในหนังสือสัญญาประชาคมมีขีดจำกัดทางขนาดในโลกปัจจุบัน ทางเลือกมีไม่มากที่เราจะได้ยินเสียงนั้น กล่าวคือ
๑) ประชุมคน ๖๔.๘ ล้านคนพร้อมเพรียงกันในที่ประชุมมโหฬารสักแห่ง เปิดอภิปรายอย่างกว้างขวางทั่วถึง แล้วลงมติ.... ความเป็นไปไม่ได้ของการณ์นี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัด แม้จะคิดถึงการใช้ IT, Computers, IPad, Wifi, 3G, 4G มาช่วย digital democracy ก็ตาม
๒) สำรวจ poll สารพัดสำนักซึ่งเราก็ทำกันสม่ำเสมอ แต่ก็นั่นแหละ มันจะถูกทักท้วงได้เสมอว่าผล poll ที่ได้แทนตนมติมหาชนที่แท้จริงได้เที่ยงตรงเที่ยงแท้เพียงใด?
๓) หันไปใช้ “ประชาธิปไตยแบบแทนตน” ผ่านการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป
ในความหมายนี้ “การเลือกตั้ง” จึงทำหน้าที่สำคัญน่าพิศวงในชุมชนชาติที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน) เป็นช่องทางเปล่งเสียงของประชาชนให้ได้ยินออกมา มิฉะนั้นก็จะไม่ได้ยินได้ฟังกัน กล่าวคือ....
เมื่อพวกเราประชาชนพลเมืองแต่ละคนแสดงตนเข้าไปโหวตในคูหาเลือกตั้งนั้น เอกลักษณ์หลากหลายนานัปการของเราไม่ว่าเพศ, ชาติพันธุ์, อายุ, ศาสนา, อุดมการณ์การเมือง, สมาชิกภาพพรรคการเมือง, ระดับการศึกษา, รสนิยมทางอาหาร, แฟชั่นการแต่งกาย, เชียร์ทีมฟุตบอลใด, แฟนคลับนักร้องดาราคนไหน ฯลฯ (เท่าที่เข้าเกณฑ์พื้นฐานเช่นอายุถึง ๑๘ ปี, ไม่ได้ติดคุกอยู่, ไม่ได้เป็นนักบวช, ไม่ได้วิกลจริตฟั่นเฟือน ฯลฯ) ไม่เกี่ยวข้องสำคัญเลย ไม่ถูกนึกถึงและนับเข้ามารวมเลย เราได้เข้าไปโหวตเพียงเพราะคุณสมบัติประการเดียวคือเราเป็นพลเมืองของรัฐชาติไทยถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น และเราแต่ละคนได้โหวตก็เพียงเพราะเหตุนั้นมันเหมือนเป็นการถอดประกอบเอกลักษณ์ทุกอย่างออกหมดจนแทบเปล่าเปลือย เหลือแต่เพียง “ความเป็นพลเมืองไทย” ไม่เลือกหน้าด้วน ๆ (individuals) เท่านั้นเอง และเราก็ถูกสมมุติคาดหมายให้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วยสถานภาพโดด ๆ นั้น
แน่นอน ในทางเป็นจริง เราพกพาเอาเอกลักษณ์อันซับซ้อนหลากหลายของเราเข้าคูหาไปโหวตด้วยทั้งหมดนั่นแหละ และเราก็เลือกตั้งผู้แทนของเราด้วยข้อพินิจคำนึงประกอบจากอคติประดามีทั้งหมดนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอเราโหวตในฐานะ individual citizens พรั่งพร้อมด้วยอคติจากเอกลักษณ์ประดามีของเรา พอมันหลุดผ่านหีบบัตรเลือกตั้งเข้าไปคละเคล้าผสมปนเปกับบัตรเลือกตั้งแสดงเจตจำนงของเพื่อนพลเมืองปัจเจกคนอื่นทั้งหมด แล้วนับคะแนนรวม ผู้แทนที่ได้ชัยชนะเสียงข้างมากเข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนเราและกลายเป็นผลลัพธ์บั้นปลายของการโหวตรวมหมู่ของเรา กลับไม่ใช่ตัวแทนของเราแต่ละคนเลย เราเคลมเขาเป็นของเราคนเดียวหรือแม้แต่เขตเลือกตั้งเดียวจังหวัดเดียวไม่ได้เลยในทางหลักการ พวกเขากลายเป็นตัวแทนของ “ชาติ” ไปเสียฉิบ และถูกคาดหมายให้ออกเสียงลงมติใช้อำนาจอธิปไตยที่เรามอบหมายไปเพื่อประโยชน์ของชาติ ในนามของชาติ เป็นตัวแทนชาติ
นั่นแปลว่าอะไร? นั่นแปลว่า somehow ในท่อที่ผ่านจากหีบบัตรเลือกตั้ง ไปสู่การนับคะแนนทั้งหมดรวมกัน แล้วประกาศผลนั้น “ชาติ” จุติขึ้นในกระบวนการนั้นเอง และได้ส่งเสียงดัง ๆ ให้เราได้ยินได้ฟังเพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของ “ประชาชาติ” ในการใช้อำนาจอธิปไตยผ่านกระบวนการเลือกตั้งนั้นเอง
ควรกล่าวไว้ด้วยว่าอาจารย์ปฤณ เทพนรินทร์ได้วิเคราะห์เสนอไว้อย่างแหลมคมแยบคายในวิทยานิพนธ์ดีเด่นของเขาว่าระบบเลือกตั้งใหม่แบบบัญชีรายชื่อพรรค party list ที่ถือทั่วทั้งประเทศเป็นเขตเลือกตั้งเดียวกันซึ่งเริ่มไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ได้สร้างเงื่อนไขใหม่ในการเมืองไทยให้เกิดขึ้น กล่าวคือ โดยผ่านการเลือกตั้ง party list พรรคที่ชนะได้เสียงข้างมากสามารถเคลมได้เป็นครั้งแรกว่าตนเป็นตัวแทนเจตจำนงทางการเมืองของคนไทยทั้งชาติในลักษณะที่การเลือกตั้งแบบเขตเลือกตั้งย่อย ๆ แต่เดิมที่ผ่านมาไม่เปิดช่องให้เห็นชัดโดยตรงมาก่อน
การเคลมนี้ส่งผลสะเทือนอย่างยิ่งในทางความชอบธรรมทางการเมือง เพราะมันทำให้ “ประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน” สามารถแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของตัวออกมาเป็นตัวเป็นตนประจักษ์ชัดเจนว่านี่คือแนวนโยบายและตัวแทนที่พวกเขาต้องการให้ไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนตน (เทียบกับผีไทย, วิญญาณไทย, ชาติไทยแบบอื่น ๆ) หรือกล่าวอีกในหนึ่งการเลือกตั้งระบบ party list ได้ทำให้ effective sovereign เข้าถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ legitimate sovereign ผ่านการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในการเมืองไทย
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมมีความพยายามในสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดคมช.แต่งตั้งที่จะตราหน้าว่าการเลือกตั้งแบบ party list ที่ถือทั่วประเทศเป็นเขตเลือกตั้งเดียวกันไปกันไม่ได้กับระบอบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งไม่ใช่ระบอบประธานาธิบดี (จรัญ ภักดีธนากุล) และลดทอนมันลงมาทั้งในแง่จำนวนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ (เหลือ ๘๐ จากเดิม ๑๐๐ คน) และแบ่งแยกเขตเลือกตั้งทั่วทั้งประเทศให้แตกย่อยออกไปเป็น ๘ กลุ่มจังหวัดแทน ก่อนที่จะแก้ไขเขตเลือกตั้งกลับเป็นทั่วทั้งประเทศแบบเดิมและเพิ่มจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อเป็น ๑๒๕ คนในปี พ.ศ. ๒๕๕๔
ดังนั้น ไม่มีเลือกตั้ง ประชาชาติก็ไม่มีเสียง ออกเสียงให้ได้ยินได้ฟังไม่ได้ว่าประชาชนในชาติต้องการใช้อำนาจอธิปไตยไปทำอะไร พูดอีกอย่างถ้าคุณขัดขวางทำลายการเลือกตั้ง คุณก็กำลังทำแท้ง “อำนาจอธิปไตย” ของชาติและประชาชนนั่นเอง
ที่คุณสุเทพ ณ กปปส.คัดค้านการเลือกตั้งก่อนปฏิรูป ยืนกรานว่าต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็มีนัยการเมืองสำคัญตรงนี้ คือต้องทำแท้ง “อำนาจอธิปไตย” ของปวงชนชาวไทยให้จงได้ ไม่ให้มันได้คลอดได้ผุดได้เกิดผ่านกระบวนการเลือกตั้งมาลืมตาดูโลก ทำแท้ง “อำนาจอธิปไตย” ของปวงชนชาวไทยได้สำเร็จแล้ว ก็จะได้เคลมตนเองเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” แทนนั่นปะไร!
บล็อกของ เกษียร เตชะพีระ
เกษียร เตชะพีระ
ด้วยความระลึกถึงจาก "พวกดอกเตอร์สมองบวมบนหอคอยงาช้างทั้งหลาย" ต้องสู้กับทักษิณด้วยระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ทำลายระบอบประชาธิปไตย ต้องเอาชนะทักษิณด้วยการชนะใจเสียงข้างมาก ไม่ใช่ต่อต้านเสียงข้างมาก
เกษียร เตชะพีระ
คำปราศรัยของคุณสุเทพ ณ กปปส.บ่ายวันนี้ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ คือคำประกาศของขบวนการการเมืองแบบสู้รบของเสียงข้างน้อยที่ปฏิเสธความเสมอภาคทางการเมืองและการปกครองโดยเสียงข้างมาก
เกษียร เตชะพีระ
ว่าด้วย "ระบอบทักษิณ" ในสถานการณ์ปฏิวัติโค่นล้ม "ระบอบทักษิณ" ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.)
เกษียร เตชะพีระ
ด้วยเงื่อนไขเวลา สถานที่ แกนนำและประเด็นชนวนที่ต่างออกไปบ้าง ม็อบเทพเทือกปัจจุบันกับม็อบพันธมิตรฯเมื่อปี 2549 + 2551 ละม้ายเหมือนกันเป็นพิมพ์เดียวทั้งในแง่....
เกษียร เตชะพีระ
"เสียงข้างน้อย" ที่ศาลรัฐธรรมนูญพูดถึงว่าต้องปกป้องไว้จากอำนาจเสียงข้างมากนั้น ไม่ใช่เสียงข้างน้อยธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย แต่คืออภิสิทธิ์ชนส่วนน้อยในระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบที่ได้อำนาจอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นและเหนือเสียงข้างมากมาจากการรัฐประหารและรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยอำนาจรัฐประหารนั้น
เกษียร เตชะพีระ
กลุ่มอาการม็อบไทย ๆ ในปัจจุบัน: Thai Mob SyndromeOverpoliticization --> Political Fanaticism & Instant Political Awakening --> Lack of Political Experience and Patience
เกษียร เตชะพีระ
บทความ “A Sea of Dissent: nonviolent waves in China” ของ Michael Caster นักวิจัยและเคลื่อนไหวอิสระผู้เน้นศึกษาเรื่องความขัดแย้งและสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะในเอเชีย ได้ประมวลข้อมูลและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวมวลชนระยะใกล้ในจีนไว้อย่างน่าสนใจ ผมขอนำมาเล่าต่อบางส่วนดังนี้
เกษียร เตชะพีระ
สิ่งที่พึงปรารถนาไม่ใช่ "ให้คนเราเหมือนกันหมด จะได้เท่ากัน" (เอาเข้าจริง ถึงเหมือนกันก็ไม่เท่ากันได้) แต่คือ "แตกต่างแต่เท่ากัน" (เพราะมันคนละเรื่อง) หรือ "แตกต่างกันได้โดยไม่ต้องกลัว" ต่างหาก (Different but equal or To be different without fear.)
เกษียร เตชะพีระ
บทสัมภาษณ์ ควินติน สกินเนอร์ นักวิชาการด้านประวัติความคิดการเมืองชาวอังกฤษสำคัญที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบันต่อประเด็นเกี่ยวกับงานค้นคว้าประวัติความคิดเรื่องเสรีภาพและ เสรีนิยมของตะวันตกตลอดชีวิตของเขาโดยภาพรวม แนวคิดมหาชนรัฐ, มาเคียเวลลี, ฮ๊อบส์, การปฏิรูปศาสนา, เชคสเปียร์, มิลตัน, คาร์ล มาร์กซ จนถึงเอ็ดเวิร์ด สโนว์เด็น เป็นต้น
เกษียร เตชะพีระ
ว่าด้วย "เจ็ดไม่พูด"(ชีปู้เจียง) แคมเปนอุดมการณ์ล่าสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน คุณค่าสากล, เสรีภาพการพูดและพิมพ์โฆษณา, สิทธิพลเมือง, ประชาสังคม, ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน, กระฎุมพีข้าราชการ และความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ