Skip to main content

 

๑) การดิสเครดิต (ชกเด็กใต้เข็มขัด ท่ามวยถนัดของผู้ใหญ่ไทยกระมัง?) ทางการเมืองทำนองนี้หากเกิดขึ้นในสังคมอื่น (ในทำนองว่า...คนที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย คัดค้านการรัฐประหาร ชี้ว่ารัฐบาลเผด็จการไม่ชอบธรรมพวกนี้ มันเรียนไม่เก่ง ได้เกรด D หรือ F ฯลฯ) ก็ย่อมถูกปัดทิ้งไปฟังไม่ขึ้นเลย เพราะมันไม่เกี่ยว

เขาจะเรียนเก่งหรือไม่ ข้อเรียกร้องของเขาก็ยังเป็นไปตามหลักเสรีประชาธิปไตยอยู่ดี

ทำนองเดียวกับการปลาบปลื้มว่าผู้เรียกร้องให้ฉีกรัฐธรรมนูญ โค่นระบอบประชาธิปไตย สนับสนุนเผด็จการ บลา ๆ ๆ เนี่ย เรียนเก่งมาก ได้ A ด้วย ฯลฯ ก็ไม่เกี่ยวเช่นกัน

เพราะจะเรียนเก่งแค่ไหน ท่าทีการเมืองของเขาก็ยังรับใช้เผด็จการอยู่ดี

แต่เผอิญสังคมคนชั้นกลางไทยมีจริตค่านิยมนับถือเกรดและปริญญามหาวิทยาลัยอยู่ (กรณีขัดแย้งระหว่างธนาคารแห่งหนึ่งกับมหาวิทยาลัยราชภัฎทั้งหลายเป็นตัวอย่างล่าสุด) การหยิบเรื่องนี้มาดิสเครดิตนักศึกษาผู้เห็นต่างทางการเมืองจึงเกิดขึ้นได้

 

๒) แต่ถ้าจะพูดเรื่องนี้ ก็ไม่ควรลืมว่า Steve Jobs ผู้ก่อตั้งและพัฒนาบริษัท Apple ก็เรียนไม่จบปริญญาตรี

ในเมืองไทย คอลัมนิสต์และนักวิจารณ์การเมือง-กฎหมายมือชั้นครูอย่าง "ใบตองแห้ง" ก็ไม่จบปริญญาตรีเช่นกัน

ฝีไม้ลายมือและความสำเร็จของเขาเหล่านี้ พวกดอกเตอร์ปริญญาเอกอย่างผมได้อายเป็นแถว ๆ

 

๓) สำหรับนักศึกษาที่ทำกิจกรรม การเรียนย่อมได้รับผลกระทบบ้างเป็นธรรมดา

สมัยผมทำกิจกรรมนักศึกษาอยู่ธรรมศาสตร์ปี ๒๕๑๘ นั้น เกรดปีแรก ผมได้เฉลี่ย ๔ คือ A หมดทุกตัว เป็นที่ฮือฮาในหมู่คนทำกิจกรรมและได้รับแต่งตั้งให้เป็นติวเตอร์เพื่อน ๆ ที่ขาดเรียนทั้งหลาย

แต่ปี ๒๕๑๙ การเรียนผมก็ขาด ๆ หาย ๆ เพราะสถานการณ์การเมืองรุนแรงขึ้น ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ฆ่าหมู่และรัฐประหาร ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เสียก่อน คงยากที่ผมจะรักษาเกรดเฉลี่ย ๔ ไว้ดังเดิมได้

หลังออกจากป่าสี่ปีกว่าให้หลัง ผมกลับมาคืนสภาพเรียนปริญญาตรีต่อ ไม่ได้ทำกิจกรรมนักศึกษาเข้มข้นดังก่อน เกรดก็ดีสม่ำเสมอ จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ๓.๘ และเมื่อไปเรียนปริญญาโท-เอกที่คอร์แนวนั้น เกรดวิชาต่าง ๆ ของผมไม่เคยต่ำกว่า A หรือ A- เลย

ประเด็นคือนักศึกษาที่ทำกิจกรรม เกรดแย่ลง ก็เป็นเรื่องธรรมดา หากเขาเรียนเต็มที่ เกรดก็กลับดีได้ เพราะมีประสบการณ์ความเข้าใจสังคมการเมืองจากการทำกิจกรรมช่วยเสริม

แล้วอยากให้พวกเขาเรียนรู้แต่ในตำราห้องเรียนห้องสมุด หรือได้ประสบสัมผัสประสานกับชีวิตจริงที่ลำบากยากแค้นของเพื่อนร่วมชาติข้างนอกเล่า?

 

๔) ในบรรดาผู้ที่เห็นว่าการศึกษาในมหาวิทยาลัยมีปัญหาข้อจำกัด แยกนักศึกษาจากความเป็นจริงของชาวบ้านในสังคม ก็คือหมอประเวศ วะสี ท่านจึงเสนอตลอดมาว่าให้ประสานการเรียนเข้ากับการวิจัยและทำกิจกรรมสัมผัสโลกเป็นจริง

ถ้าท่านนายพลว่างมาก ลองไปเถียงกับหมอประเวศดูก่อนก็ได้

 

หมายเหตุ : บทความดังกล่าวเผยแพร่ครั้งแรกที่เฟซบุ๊ก 'Kasian Tejapira' เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2558 สำหรับความเห็นของ ‘พล.ท.นันทเดช’ เผยแพร่ในเว็บไซต์ 'แนวหน้า' วันที่ 5 ก.ค.2558

 

บล็อกของ เกษียร เตชะพีระ

เกษียร เตชะพีระ
บทกวีไว้อาลัยการจากไปของ 'ไม้หนึ่ง ก.กุนที' ที่ถูกยิงเสียชีวิตวันนี้ "เมื่อกวีจากไปไร้กวี.."
เกษียร เตชะพีระ
ที่คุณสุเทพ ณ กปปส.คัดค้านการเลือกตั้งก่อนปฏิรูป ยืนกรานว่าต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็มีนัยการเมืองสำคัญตรงนี้ คือต้องทำแท้ง “อำนาจอธิปไตย” ของปวงชนชาวไทยให้จงได้ ไม่ให้มันได้คลอดได้ผุดได้เกิดผ่านกระบวนการเลือกตั้งมาลืมตาดูโลก ทำแท้ง “อำนาจอธิปไตย” ของปวงชนชาวไทยได้สำเร็จแล้ว ก็จะได้เคลมตนเองเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” แทนนั่นปะไร
เกษียร เตชะพีระ
พลังฮึกห้าวเหิมหาญของม็อบและขบวนการใดที่ก่อตัวขึ้นโดยกัดกร่อนบ่อนทำลายเหล่าสถาบันการเมืองของชาติให้เสื่อมทรุดถดถอยราบคาบลงไป ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ย่อมไม่สร้างสรรค์อะไรขึ้นมา มีแต่พลังทำลาย ผลได้ของการเคลื่อนไหว ไม่ยั่งยืน เมื่อฝุ่นหายตลบแล้วก็จะพบว่ามีแต่ซากปรักหักพังแห่งสถาบันการเมืองของชาติทั้งชาติ โดยไม่ได้ดอกผลการต่อสู้อะไรจริงจังยั่งยืนขึ้นมาเลย
เกษียร เตชะพีระ
ข้อสังเกตหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทเพื่อสร้างและปรับปรุงระบบลอจิสติกส์ของประเทศใหม่ ผิดรัฐธรรมนูญ
เกษียร เตชะพีระ
ผมอ่านข้อเสนอที่นายกแพทยสภาและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขแถลงล่าสุดแล้ว มีความเห็นว่ามัน "ไม่เป็นกลาง" ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้...
เกษียร เตชะพีระ
วิธีการที่ผิด ไม่สามารถนำไปสู่เป้าหมายที่ถูกต้องดีงามได้ และคนอื่นเป็นเจ้าของประเทศไทยเหมือนกันเท่ากับผมและคุณ เท่ากันเป๊ะ