ลมฟ้าอากาศเริ่มเปลี่ยนแปรไปตามสภาพ ฝนตกเพิ่งหยุดได้ไม่นาน ลมหนาวเยือนมาพัดผ่านท้องทุ่งจนต้นข้าวโยกเอียง บ้างล้ม บางตั้งตระหง่าน ตอนเช้าๆ อากาศแถวบ้านผม, จังหวัดเชียงราย อำเภอพาน ตำบลแม่อ้อ บ้านแม่แก้วเหนือ อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกขณะ
ชีวิตของผมทุกวันนี้ไม่เหมือนห้าเดือนก่อนที่ผ่านมา เพราะต้องย้ายสำมะโนครัวจากเชียงใหม่ กลับมาอยู่บ้านที่เชียงราย ซึ่งตลอดระยะเวลาสี่ปีที่อยู่เชียงใหม่ ผมได้พบเจอเรื่องราวหลายเรื่อง ทั้งการงาน ความรัก ชีวิต ความสัมพันธ์ เพื่อน ฯลฯ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างกับตอนที่อยู่บ้านที่เชียงรายอย่างมาก
สภาพอากาศ ความสงบ การดำเนินชีวิต สามอย่างเบื้องต้นคือความต่างที่ได้เห็นและสัมผัส เปรียบเทียบกับสองจังหวัดนี้ -ไม่มีเสียงเพลง แสงสี ยามค่ำคืน ที่เชียงราย หากมีเพียงท้องทุ่ง ลมเย็น กลิ่นรวงข้าว ดาวสีขาว พระจันทร์นวลเหลือง บางวันมีหิ่งห้อยตัวน้อยๆ บินมาเยี่ยมเยียน สลับกับเสียงของจิ้งหรีด เรไร ร้องไปมา
ชีวิตในเชียงใหม่ ไม่ได้ค่อยได้สัมผัส บรรยากาศแบบเชียงรายเท่าไหร่หรอกครับ วันหนึ่งๆ มีเพียงแต่ทำงาน หรือเที่ยวไปตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะผับ เธค - เรื่องยาวๆ ที่ชื่อ "บัวสีเทา" ก็เป็นผลอย่างหนึ่งที่ผมได้นำเรื่องจริง มาเขียนผสมกับงานแต่งอีกนิดน้อย เพื่อให้เรื่องราวเข้าถึงคนได้ง่ายอีกนิด เพราะหากจะเอาข้อมูลดิบๆ วิชาการมาให้ใครอ่าน คงจะยากต่อความเข้าใจสักนิด ซึ่งจริงๆ แล้ว บัวสีเทา เป็นเรื่องราวมาจากการศึกษาวิถีชีวิต องค์ความรู้ ของเพื่อนๆ ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มที่คนเรียกว่า "แก๊ง" ซึ่งทาง วิทยาลัยการจัดการทางสังคมหรือ วจส. สนับสนุนทรัพยากรในการดำเนินงาน
อย่างที่บอกไว้ครับ ว่าเดิมทีก็ผมเพียงแค่จะทำงานแบบเก็บข้อมูลมาเขียนๆ แล้วก็จบ แต่พอทำไปทำมา ก็ได้เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ พี่น้อง - การทำงานเลยกลายเป็นการใช้ชีวิตไปโดยปริยายและเป็นไปโดยผมไม่มีความสงสัยในความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
ที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาเขียนบัวสีเทานานหลายเดือน และผมเองก็ไม่เคยได้เขียนเรื่องราวอะไรยาวขนาดนี้ เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องยาวเรื่องแรกที่ผมได้เขียน - เขียนมาจากความรู้สึกและเนื้อหาจากงานบางส่วนที่มี เลยออกมาเป็นอย่างที่หลายๆ คนได้อ่านกันมาอย่างยาวยืดนั้นแหล่ะครับ
อันที่จริงแล้วช่วงระหว่างที่ทยอยนำ "บัวสีเทา" ขึ้นประชาไทนั้น ได้มีหลายเรื่องเข้ามาในชีวิต เข้ามากระทบมากมาย ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กแก๊ง หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ของเยาวชนที่สังคมวิพากษ์ ทั้งเด็กที่แต่งตัวโป๊ เด็กที่ไม่ใส่กางเกงใน เรื่องถุงยางอนามัย เรื่องการศึกษา การเมือง ฯลฯ - หลายเรื่องผมพยายามคิดและวิเคราะห์ว่าจะแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างไร แต่พอพื้นที่ "หนุ่มสาวสมัยนี้" แห่งนี้ ได้เป็นที่สถิตของบัวสีเทาเสียแล้ว จึงทำให้ผมไม่ได้เขียนเรื่องร้อนๆ ที่เป็นประเด็นทางสังคม
ทีนี้พอไม่ได้เขียนก็ทำให้ได้เรียนรู้ว่า บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องตอบโต้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมก็ได้ บางเรื่องเป็นสิ่งที่เราได้เฝ้ามองปรากฏการณ์นั้นให้ผ่านไป ตามเงื่อนไขของเวลา เพราะมันก็เปลี่ยนไป เมื่อได้เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้ว เรื่องนั้นๆ ก็จบลง จางหายไป เป็นไปตามหลักอนิจจัง
หากเราดูให้ดีแล้ว การได้นิ่งไม่ตอบโต้ก็เหมือนเป็นการ "ฟังเสียงข้างใน" ของตัวเอง และก็ได้เห็นคนที่ต้องทุกข์กับปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งผมมองว่าคนที่ทุกข์ใจนั้น หาใช่เยาวชนหรือคนหนุ่มสาว หากแต่เป็น ผู้ใหญ่เสียมากกว่า ที่ออกมาเต้นผาง ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์เด็กๆ ด้วยความคิดของผู้ใหญ่ บางครั้งเป็นคำเตือนที่มีความหมาย บางครั้งเป็นคำด่า สบถที่รุนแรง แต่ก็ถือเป็น "ความหวังดี" ของผู้ใหญ่ที่มีต่อวัยรุ่นและสังคม
แต่คิดดูให้ดีแล้วความหวังดีนั้น อาจกลายเป็นการทำลายคุณค่าในชีวิตของวัยรุ่นหลายคนเลยก็ได้
ผมไม่รู้ว่า พวกเรา, วัยรุ่นหลายคน จะอยู่กันอย่างไร ในสภาพที่สังคมและผู้ใหญ่ มองพวกเราด้วยสายตาและท่าทีหรือความไม่เข้าใจแบบนี้ และนั่นไม่แปลกหรอกครับที่คนรุ่นผมหลายคนจะมองผู้ใหญ่แบบตัดสิน แบบที่ไม่เข้าใจ เหมือนกัน เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการพื้นที่ของตนเอง ทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่น
จึงไม่น่าแปลกเท่าใด ที่ผู้ใหญ่จะเป็นทุกข์มากกว่าวัยรุ่น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงวัยรุ่นน่าจะเป็นทุกข์หรือมองเห็นทุกข์ได้มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องเพราะ "ที่ปลดทุกข์" ของวัยรุ่นมีมากกว่าผู้ใหญ่ไงครับ ไม่ว่าจะเป็นผับ เธค อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ นิตยสารต่างๆ ล้วนกลายเป็นแหล่งสร้างสุข สร้างพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ตัวตนของพวกเรามากกว่าสังคมจริงๆ แห่งนี้ ที่ผู้ใหญ่ปกครอง
สังคมที่วัยรุ่นออกแบบจึงเป็นสังคมที่ไม่เป็นทุกข์ มีแต่ความเข้าใจและยอมรับซึ่งกัน และข้อสังเกตของผมก็คือเป็น "สังคมสีเทา" ที่ไม่มีขาวดำ ไม่มีการตัดสิน ตีตรา คนอื่นด้วยมาตรฐานความดีงามตามบรรทัดฐานสังคมที่คนส่วนใหญ่มีและกำหนดกันขึ้นมา
สังคมของผู้ใหญ่ มีแต่ความทุกข์ มีขาว ดำ ไม่มีการให้โอกาส ไม่มีความสมานฉันท์ ไร้ซึ่งความเมตตา ต่อกัน เพราะผู้ใหญ่สมัยนี้ลืมรากเหง้าของตัวเอง ไม่เท่าทันสังคมโลกาภิวัตน์ และน่าสงสารยิ่งนักที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งของชนชั้นปกครอง จนซึมเข้ากับตัวเองทุกอนูความรู้สึก
ที่กล่าวมานี้เพราะผมสงสาร, ทั้งผู้ใหญ่และก็ตัวเองด้วย, ชีวิต คนเรายิ่งมีแต่ทุกข์ ทุกชั่วโมงยาม มีเรื่องราวมากมายให้ได้ค้นพบ มีหลายวิธีที่จะทำให้คนได้รับความสุขที่แท้จริง แต่คนกลับมองไม่เห็น หรือไม่ค่อยได้แสวงหาเท่าใดนัก
หรือนั้น อาจเป็นเพราะเราเกิดมาในสังคมขาว-ดำ เกิดมาในสังคมที่อ่อนแอ เยี่ยงสังคมแห่งนี้!?
อย่างไรก็ตาม, อีกเรื่องที่ผมพบกับตนเอง ในช่วงหลังๆ มานี้ คือผมไม่ค่อยอยากรับรู้เรื่องราวทางสังคมนี้เท่าไหร่เลย ผมเสมือนกลายเป็นคนเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ อันเนื่องเพราะสองข้างทางบ้านผมนั้นมีแต่ไร่กับนาจริงๆ ผมจึงพบว่าอันที่จริงแล้ว "สังคมขาวดำ" ที่เรารับรู้หรือรู้สึกอยู่นี้ มันไม่ได้มีอยู่จริงเลย เพราะเราเพียงแต่ "ถูกทำ" ให้เข้าใจว่า สังคมนี้เป็นแบบนี้อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งแท้แล้ว สังคมย่อยๆ อีกหลายแห่งมีความหลากหลายที่แตกต่างกัน และไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ หรือสีเทาๆ เท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายแบบ หลายแง่มุมให้สัมผัสและเรียนรู้
เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เข้าถึงแบบอื่นๆ เท่านั้นเอง เพราะสังคมที่เราอยู่แห่งนี้ ไม่มีพื้นที่ให้ความแตกต่างอื่นๆ ได้มีพื้นที่ของตัวเองเลยแม้แต่นิด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงไม่แปลกที่วัยรุ่นสีเทาๆ จะถูกมองไม่ดีจากคนในสังคมสีขาว-ดำ
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว สิ่งที่น่าจะทำได้ ต่อเรื่องสังคมขาวดำ หรือเทา ก็คือ นั่งเงียบๆ ฟังเสียงข้างในของตัวเอง รู้จักตัวเองให้มากขึ้น และยอมรับกับสภาวะจิตใจของเราที่เกิดขึ้นในแต่ละชั่วขณะ หรืออาจหาที่เงียบๆ สงบๆ ลมเย็นๆ อากาศดีๆ นอนหลับให้เต็มอิ่มเพื่อไปสู่พื้นที่ดีๆ มีความสุขในความฝัน ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาอีกครา เพื่อพบกับ "ความจริง" อันแสนจะปวดหัว.....
ความเห็น
เต้า,
เต้า, อยู่ที่โน่น หน่ะ ดีแล้ว อ่าน ฟัง เต้าบรรยายบรรยสกาศธรรมชาติที่งดงามที่นั่นแล้ว สดชื่นแจ่มใสไปด้วย ความเงียบสงบ ทำให้เราเขียนหนังสือได้มากและดีด้วย
เห็นด้วยกับ เต้า คับ ทว่าความหวังดีอาจทำลายคุณค่า ชีวิตวัยรุ่นหลายคนก็ได้
ผู้ใหญาที่มมีความคิดคับแคบ จึงไมสามารถเข้าใจ สังคม โลก ชีวิต ได้ และมักตัดสินอะดรง่ายๆ ไมว่าจะเป็น ฆราวาส แลรอ พระสงฆ์ ( ดูเรื่องที่ศิลปินวาดภาพ "ภิกษูสันดานกา ซี พระที่คับแคบไม่เข้าใจศิลปะ มัวแตยุ่งเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ ฯลฯ ) แล้วไปหาว่าศิลปินดูหม่นพระสงฆ์ โวยวาย เดินขบวนกันใหญ่ ไม่ดูตัวอย่างที่ดีของพระพม่าบ้างที่ออกมาปกป้องประชาชน
ฮักษาสุขภาพ เต้า เต้า
ขอบคุณอ้
ขอบคุณอ้ายแสงดาว จ๊าดนักครับ
ผมดีใจที่ยังมีผู้ใหญ่ใจกว้างอยู่ในสังคมแฮมนัก
บ่ฮู้ว่าเปิ้ลไปอยู่ไหนกั๋นหมด
อย่างน้อยก็มีอ้ายคนหนึ่งตี่ผมรู้จักอะนะครับ
ฮักษาสุขภาพครับ
มาขอบคุณ
มาขอบคุณที่สะท้อนอย่างจังนะคะ นี่ล่ะเสียงคนรุ่นใหม่ที่คนรุ่นก่อนหน้าต้องหันกลับมาฟัง และทำความเข้าใจซะใหม่ เข้าใจขนาดเลยค่ะน้องเต้า เพราะเคยอนู่ตรงนั้น รู้สึกอย่างนั้นมาก่อน และก็เห็นด้วยว่า ในสังคมมันมีผู้ใหญ่สองประเภท ประเภทที่เต้าว่าไว้ และประเภทที่เป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักโลกมากกว่าประเภทแรก
ผู้ใหญ่ทีใจกว้างคือผู้ใหญ่ที่เข้าใจโลก รู้จักโลก และเป็นผู้ใหฐ่ที่เห็นพลังของอนาคตในวัยรุ่น และพร้อมที่จะทำงานไปเคียงข้างกับวัยรุ่น คอยอยู่ช่วยสอน และในฐานะที่ผ่านช่วงนั่นมา บอกได้เลยว่ามันมีผู้ใหญ่ที่อยากทำงานกับวัยรุ่นอยู่อีกมาก ต้องการมุมมองต่างๆจากวัยรุ่น แต่ทั้งสองวัยก็คงต้องหาทางจูนกันอยู่ตลอดเวลา เต้าอย่าปล่อยให้มันเงียบสิคะ อย่าท้อนะ พี่คนนึงละที่เห็นความสำคัญ แต่เสียดายไม่ได้อยู่เชียงรายช่วงนี้ ไม่งั้นก็จะอาสาด้วย แต่อาสาข้ามซีกโลกได้เน้อ เพื่อเชียงรายและวัยรุ่นไทย
เราเคยคิ
เราเคยคิดว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวสีขาว โตมาแบบสีขาวๆ
แต่พอเปิดประตูบ้าน เราก็จะเจอกับสีเทาๆของโลกกว้าง...
จะว่าไป ถ้าเราขังตัวเองอยู่ในบ้านเราอาจจะไม่รู้ว่าโลกนี้สีเทา
แต่มันออกจะฝันเฟื่องเกินไป
เราทำให้สังคมขาวไม่ได้
ทำได้แค่หาเวลาเล็กอยู่กับตัวเอง อยู่กับหัวใจตัวเอง...ที่เราเชื่ื่อว่ามันยังขาวอยู่สำหรับเรา