จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน
ประการที่แรก คือ ความคิด ความเชื่อ ตรรกนิยม ที่พ่วงเอาความถูกผิดมากำหนด จัดระบบของสังคมที่มองว่าแบบนี้ถูก หรือผิด โดยเรามักจะได้ยินสิ่งที่เรียกว่า “ศีลธรรม” หรือ “จริยธรรม” ที่มักจะพ่วงมาด้วย “ที่ถูกต้อง” และ “ดีงาม” “ชอบธรรม” หรือ “ไม่ชอบธรรม” ฉะนั้น ความคิด ความเชื่อเหล่านี้เป็นผลพวงของวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และรักต่างเพศนิยม ตลอดจนวัฒนธรรมอำนาจครอบงำ ที่เป็นตัวบดบังความจริงแท้ภายใน ความรู้สึกหรือมุมต่างๆ ภายในตัวคน ความคิดที่นำไปสู่การขัดเกลาคนในสังคม ใช้ความถูกต้อง ดีงามเป็นตัวกำหนด บทบาท สถานะทางเพศ รสนิยมทางเพศ และชีวิตทางเพศของคน
ทำให้เกิดบรรยากาศขัดขืนอย่างเงียบๆ หรือ ดื้อเงียบ เป็นสังคมที่เรามักคุ้นเคยในแนว “ปากว่าตาขยิบ” ซึ่งบรรยากาศที่ว่ามีการกดทับ ไม่เปิดเผย ในเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมานี้เอง ทำให้คนไม่มีพื้นที่ทางสังคมของตน และไม่สามารถที่จะแสดงความรู้สึกต่างๆ ของตัวเองออกมาได้อย่างแท้จริง กลายเป็นว่าต้องหาทางอื่นปลดปล่อยและนำไปสู่การระบายออกที่ใช้ความรุนแรงและสถานะอำนาจเหนือกว่า ต่ำกว่า ซึ่งถือว่ามีมากในสังคมปัจจุบัน ฉะนั้นเรื่องที่ควรตั้งคำถามคือ ความคิดที่ผูกมัดว่าสิ่งนี้ผิด หรือ ถูกต้องดีงามนั้น จะนำไปสู่ชีวิตทางเพศที่ปลอดภัยและเป็นสุขได้จริงหรือ
และกระนั้นแล้วความรู้สึกจริงแท้ของคนจำเป็นหรือไม่ที่ควรเป็นเรื่องปกติที่เราควรสื่อสารอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เพื่อให้เราได้กลับมาทำความเข้าใจตัวเอง เข้าใจเงื่อนไข ปมของชีวิตตัวเอง จนนำไปเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกันและกัน และรื้อถอนความเชื่อที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าใจกันของคนในสังคม
ประการที่สอง ด้วยความสงสัยและอยากจะตั้งคำถามต่อสังคมในเรื่องความคิด ความเชื่อในเรื่องเพศ ดังนี้ หากผู้กำหนดกติกาต่างๆ ในสังคมนี้มีพื้นฐานความเชื่อที่ว่าอยู่ในกรอบแบบ “ชายเป็นใหญ่” ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีมาตรฐานทางเพศที่มีการตัดสินผิดถูกตั้งแต่ชายควรเป็นอย่างไร หญิงควรเป็นอย่างไร หรือมากกว่านั้นก็คือ ชาย หรือหญิงควรแสดงออกทางเพศอย่างไร
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งจนเป็นเรื่องยากที่จะรื้อถอนแนวคิด และความเชื่อเหล่านี้ได้จากสังคมไทย เพราะความคิดความเชื่อในเรื่องเพศแบบนี้ ได้กลายเป็นวิถีชีวิตปกติของคนในสังคมนี้ไปเสียแล้ว และแน่นอนว่ามันย่อมนำมาสู่สถานะทางเพศที่ไม่เสมอภาคและเท่าเทียม ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ท้าทายคือการรื้อถอนหรือปรับเปลี่ยนระบบสังคมแบบ “ชายเป็นใหญ่” จะทำได้อย่างไร ตัวเราเองจะไม่ผลิตซ้ำในแนวความคิดความเชื่อนี้ได้อย่างไร
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่อง “ชายเป็นใหญ่” นี้ ถูกหล่อหลอมขัดเกลาผ่านระบบโครงสร้างทางสังคมต่างๆ จากสถาบันครอบครัว โรงเรียน การศึกษา สาธารณสุข วัฒนธรรม ศาสนา กฎหมาย ซึ่งต้องเปลี่ยนทุกสถาบันให้มีแนวคิดเรื่องเพศเชิงบวก เคารพความหลากหลายทางเพศ รื้อถอนแนวคิดสังคมแบบ “ชายเป็นใหญ่” และสถาบันที่สำคัญที่ควรเริ่มในการเปลี่ยนแปลงก่อน คือ “สถาบันจิตใจภายใน” ของพวกเราทุกๆ คน
ประการที่สาม นอกเหนือจากวัฒนธรรม ความเป็นชายเป็นใหญ่ ความเป็นเพศ ใดๆ ก็ตามแล้ว ในการทำงานกับเด็กและเยาวชน หรือแม้แต่คนในสังคม เรามักเรียกคนที่ไม่ได้อยู่ในศูนย์กลางแห่งโอกาสและสถานะที่เหนือกว่าในทางเพศว่า “คนชายขอบในทางเพศ” คือ คนที่ไม่มีโอกาสในการเรียนรู้เรื่องเพศ คนที่ไม่มีโอกาสในการแสดงออกซึ่งสิทธิทางเพศ คนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางเพศที่มิตรกับตนเอง เนื่องเพราะมีอัตลักษณ์ทางเพศที่ต่างออกไปจากสังคม เช่น เป็นคนรักเพศเดียวกัน เป็นหญิงขายบริการ เป็นเด็กวัยรุ่น เป็นต้น กลุ่มคนต่างๆ เหล่านี้อาจเป็นใครก็ได้
ทว่าสิ่งที่สำคัญน่าจะอยู่ที่คนในแต่ละระดับไม่ว่าจะอยู่ศูนย์กลาง หรือ ชายขอบ ล้วนแล้วแต่สร้างอำนาจของตนเองขึ้นมา อำนาจที่ว่านี้มันมีแหล่งที่มาอยู่หลายๆ ที่ในตัวบุคคลหนึ่งคน เช่น เพศ อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจ เชื้อชาติ ศาสนา บทบาททางเพศ ที่อยู่ภายใต้สังคมแบบบริโภคนิยม ทั้งนี้การใช้อำนาจเหนือกว่าคือการที่คนๆ หนึ่งทำอะไรให้คนอีกคนหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่ง โดยที่เขารู้สึกอึดอัด ตึงเครียด ไม่ปลอดภัย ถูกทำร้าย หรือด้อยกว่า ผมจึงมองว่าเราจะทำให้อย่างไรเพื่อฟื้นฟูให้เกิดอำนาจภายในของแต่ละคน แต่ละกลุ่ม เพื่อให้เกิดบรรยากาศของการใช้อำนาจร่วมกันของคนในสังคม ไม่ว่าคนๆ นั้นจะอยู่ในเพศใด สถานะใด บทบาทหน้าที่ใด และศาสนาใด เพื่อให้เกิดความมั่นคงในความเป็นมนุษย์ เกิดความเท่าเทียมในความหลากหลายและเลือกในวิถีชีวิตทางเพศของตนได้อย่างมีศักดิ์ศรี
ประการต่อมา คือ “วัฒนธรรมรักต่างเพศนิยม” ที่ถูกหล่อหลอมจากสังคมไว้เพียงว่าการรักต่างเพศนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง การรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่ผิดปกติ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกจารีต มองว่าเป็นการเป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นกรรม หรือมองว่าการที่เป็นคนรักเพศเดียวเป็นอาการทางจิตที่สามารถรักษาหายได้ สิ่งเหล่านี้ เราควรตั้งคำถาม โดยเริ่มถามตัวเองในฐานะคนรักต่างเพศว่า “ทำไมเราถึงรักต่างเพศ” ใครบอกสอนเรามาว่าควรรักต่างเพศ หรือ บอกเราว่าเพศชายต้องคู่กับหญิงเท่านั้น
ทว่าอย่างไรแล้วในความเป็นจริงไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัยความลื่นไหลทางเพศของผู้คนนั้นมีมาตลอดและสิ่งนี้ก็อยู่ในใจของเราแต่ละคน ที่ไม่มีเพศ ไม่มีแบ่งชาย แบ่งหญิง เพราะแท้จริงแล้วมนุษย์นั้นก็คือมนุษย์แต่การหล่อหลอมทางสังคมผ่านโครงสร้างสถาบันสังคมต่างๆ ทำให้เรามองว่ารักต่างเพศคือความถูกต้อง จนทำให้ขาดพื้นที่ของคนที่มีความหลากหลายทางเพศและนำไปสู่การรังเกียจ การเลือกปฏิบัติในกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งสิ่งนี้มองว่าเราควรหมั่นตรวจสอบตัวเอง รู้จักตัวเองว่าเราเองมี “ความรู้สึกรังเกียจคนรักเพศเดียวกันอยู่บ้างไหม” แล้วเมื่อเรารู้ตัว ก็ยอมรับความจริงว่ามี และค่อยๆ รื้อออกจากตัวเอง เข้าใจที่มาของความรู้สึกนี้ และมองให้เห็นว่าเราเองก็เป็นผลผลิตหนึ่งของสังคมที่หล่อหลอมเราให้รู้สึกนึกคิดแบบนี้ ฉะนั้นแล้วเมื่อเราเข้าใจในจุดนี้แล้ว จึงควรช่วยกันสร้างพื้นที่ทางสังคมสำหรับคนทุกคนในสังคม
ท้ายที่สุดนี้ การเรียนรู้เรื่องเพศวิถีที่เริ่มต้นจากภายในตัวเรา ที่ดีที่สุดนั้นคือการกลับมาสำรวจประสบการณ์ด้านในของเราแต่ละคน กลับมารู้สึกตัว อยู่กับปัจจุบันขณะ เพื่อให้ใจเรานี้มีความนิ่งพอที่จะมองเห็นสภาวต่างๆ เกิดขึ้นในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเพศวิถีของตัวเองและของคนในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลาย เพื่อตรวจสอบจิตใจตัวเอง และค่อยๆ เคลียร์ปม ทำงานกับอคติทางเพศที่ฝังหัวเรามาแต่นานแสนนาน และเรียนรู้ที่จะสื่อสารเรื่องนี้ด้วยความเป็นจริง ไม่ตัดสิน ตีตรา หรือเลือกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดสังคมที่มีความเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เข้าใจในความแตกต่างหลากหลายของคนเพื่อนำไปสู่ชีวิตทางเพศที่ปลอดภัยและเป็นสุขระหว่างกัน