หายไปเสียนานกับบ้าน “หนุ่มสาวสมัยนี้” เพราะต้องทำงานโครงการป้องกันเอดส์ และเพศศึกษากับเพื่อนๆ เยาวชนในหลายๆ ภาค ทำให้เวลาในการเขียนขีดมีน้อยกว่าเมื่อก่อน ทว่าตอนนี้ก็สามารถจัดการเวลากับตัวเองได้ลงตัวมากขึ้นทำให้ชีวิตมีความสมดุลมากขึ้นทีเดียว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีสิ่งที่พบและอยากมาแลกเปลี่ยนคือเรื่องความเป็นนักกิจกรรมทางสังคมกับการดูแลหัวใจตัวเอง...
สำหรับผมเริ่มต้นทำงานเพื่อสังคมตอนอายุน้อยๆ จนมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางการพัฒนานี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผมได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน
ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนะครับ เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น แน่นอนว่าเราต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหา เผชิญกับความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า หรือแม้แต่เรื่องสื่อและโลกาภิวัตน์
ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งเราก็เป็นนักพัฒนาตัวเองไปในตัวด้วย เพราะในแต่ละครั้งที่ได้ทำงานกับคนอื่นๆ หรือแม้แต่งานที่ต้องทำกับตัวเอง การทำงานนี่ก็เป็นการขัดเกลา หล่อหลอมให้เกิดคุณค่าข้างในตัวเอง เป็นการสร้างประโยชน์แก่ตนในการเพิ่มพูนทักษะ ความสามารถ ศักยภาพ และวิธีคิด ทัศนคติต่างๆ ในการมองโลก การอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคม
ในแง่มุมของการทำงานเพื่อสังคม ทำงานเพื่อผู้อื่น มีหลายคนที่ทำงานหามรุ่ง หามค่ำ จนไม่มีเวลาที่จะสำรวจจิตใจตัวเอง กลับมามอง ความสุข ความทุกข์ พลังชีวิตด้านในของตน แต่ก็สนุกกับการทำงาน การคิด วิเคราะห์ ถก เถียง อภิปราย และลงมือปฏิบัติทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งการทำงานที่เคร่งครัดต่างๆ เหล่านี้ บ่อยครั้งที่นำพาความตึงเครียดมาสู่คนทำงาน กลายเป็นบรรยากาศการทำงานที่เคร่งขรึม ไม่มีความสุข ขาดกำลังใจในการทำงาน และยังทำให้การทำงานไม่สามารถดำเนินการไปได้ตามที่คาดหวังไว้
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ มีหลายองค์กรหน่วยงาน ที่เริ่มต้นให้เพื่อนสมาชิกในองค์กรมีกิจกรรมในการหันกลับมาอยู่กับตัวเอง มาจัดการดูแลความสุข ความทุกข์ และเสริมสร้างพลังจากภายในจิตใจของตน ผ่านการภาวนาในรูปแบบต่างๆ บ้างก็ไปเข้าคอร์ส บ้างก็กิจกรรมกันเอง เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ทำงานอย่างมีความสุข และมีพลังใจในการทำงานร่วมกัน
การกลับมาดูแลจิตใจตัวเองของคนทำงาน ถือเป็นเรื่องที่ควรทำไปพร้อมๆ กับการทำงานเพื่อผู้อื่น นั้นคือ นอกจากจะเป็นการสร้าง “ปัญญา” จากภายในตัวเองแล้ว การทำงานกับคนอื่นด้วยความ “กรุณา” เมตตา ปรารถนาดีก็เป็นความสมดุลที่จะนำพาความเข้าใจ ความสุข มาสู่การทำงานอย่างแท้จริง
ฉะนั้น ปรากฏการณ์นี้ จึงเป็นบรรยากาศ ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทำงานในระดับองค์กร และเครือข่าย ได้กลับมาพูดคุยสอบถามความสุขความทุกข์ของกัน มีความสัมพันธ์กันในแง่ของความเป็นคนมากกว่าความเป็นงาน บทบาทหน้าที่ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในองค์กรที่ปิดกั้นความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลซึ่งกันและกันของนักทำงานพัฒนาสังคม
ดังนั้น นักพัฒนาสังคม ไม่ว่าจะอยู่ระดับใดก็ตาม ก็ย่อมเผชิญกับแรงกดดันต่างๆ ในชีวิต เจอเรื่องที่ทุกข์ใจ สุขใจ เปลี่ยนแปลงไปมา ด้วยเหตุนี้การกลับมาดูแลสังคมหัวใจตัวเองและคนรอบข้างจึงเป็นอีกเรื่องที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ชีวิตสมดุลและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
การที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข วิธีหนึ่งในหลายๆ วิธี นั้นคือการนำการภาวนากลับมารับใช้ชีวิตตัวเอง นำการภาวนามารับใช้สังคม นำการภาวนา คือ การมีสติ รู้สึกตัว มาสู่วิถีชีวิตอย่างแท้จริง เป็นการใช้ชีวิตที่มีอยู่เพื่อคนอื่นและตัวเองอย่างมีความเบิกบานและเป็นสุข
....อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยการมีสติรู้สึกตัว ณ ปัจจุบันขณะนะครับ^^