มาริยา มหาประลัย
เวลาได้ยินคำว่า “สวยเลือกได้” (แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงฉัน) ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “สวย” ในที่นี้เรา “เลือก” กันได้จริงเหรอ
เพราะเอาเข้าจริง ความขาว สวย หมวย อึ๋ม ตี๋ ล่ำ หำใหญ่ จมูกโด่ง ฯลฯ ที่เราเรียกคุณลักษณะเหล่านี้ว่า “ความสวย-หล่อ” นั้น ชาติมหาอำนาจเป็นคนกำหนดรูปแบบขึ้นมาและใช้มันเป็นอาวุธในการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม ความสวยจึงไม่ใช่เรื่อง “สวยๆ” อย่างเดียว แต่มันยังแฝงเรื่องอำนาจและชนชั้นทางสังคมมาอย่างแยบคายภายใต้เปลือกอันน่ามอง
เช่น ความตี๋หมวยบ่งบอกว่าเป็นลูกหลานคนจีนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางไปจนถึงผู้มีอันจะกิน (แต่ถ้าเป็นสมัยโบราณโน้น คนจีนในไทยกลับถูกมองว่าเป็น ”เจ๊ก” ไม่ใช่ “ตี๋” ซึ่งดูอินเทรนด์กว่าเป็นไหนๆ) รูปร่างกำยำล่ำสันแสดงว่าเป็นผู้มีเวลาว่างและสตางค์มากพอจะออกกำลังกายในฟิตเนส แถมยังมีระเบียบวินัยในการดูแลตัวเองอย่างดีเยี่ยม ผิวขาวเนียนใสไร้สิวเป็นเครื่องแสดงว่าใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์ไร้มลพิษ กรรมกรหน้าไหนจะหน้าขาวขึ้นมาได้ต่อให้โบกครีมกันแดด SPF 50 ในเมื่อยังต้องตากแดดตากลมเพื่อนมสองเต้าและลูกอยู่...ชิมิเคอะ!
เรื่องความขาวนั้น ฉันเคยนึกว่ามีแต่บ้านเรานี่ล่ะว้าที่บ้าความขาว จนกระทั่งเมื่อฉันไปเที่ยวมัลดีฟท์แล้วเจอโฆษณาครีมไวเทนนิ่งสำหรับผู้ชาย อ๊ายส์! เห็นแล้วขนลุกซู่ นี่เราไม่ได้ทำการล่าอาณานิคมด้วยปืนรบกันอีกแล้ว แต่ใช้วัฒนธรรมเป็นอาวุธแทน เหมือนจะไม่รุนแรงเพราะไม่มีใครนองเลือดให้เห็นกันจะๆ แต่มันคือการกลืนชาติในนามของโลกาภิวัตน์ซึ่งมีอเมริกาเป็นศูนย์กลางจักรวาล
มนุษย์ต่างดาวคงงงพิลึกถ้าโฉบมาบนโลกแล้วพบว่า โลกที่เคยเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์กลายเป็นโลกที่ผู้คนล้วนจมูกโด่ง ตัวขาว ตาสองชั้น ฯลฯ แทบจะโขกโป๊กออกมาจากพิมพ์เดียวกันหมดเด๊ะๆ!
ความหล่อความสวยยังขึ้นอยู่กับบริบทของเวลาและสถานที่ อั้ม พัชราภาเป็นได้อ้ำอึ้งแน่ถ้าเธอไปอยู่ในหมู่เกาะแถบแปซิฟิกใต้ ซึ่งผู้หญิงที่นั่นต้องอ้วนมากๆถึงจะเรียกว่าสวย ผู้หญิงเอว 24 จะกลายเป็นคนอ้วนทันทีถ้าอยู่ในยุควิคตอเรียนที่ผู้หญิงถูกคอร์เซ็ทบีบรัดจนผู้ชายสามารถโอบรอบเอวผู้หญิงได้ด้วยแขนข้างเดียว และต่อให้คุณเกิดมาสวยเหมือนแอนเจลิน่า โจลี แต่ดันเกิดในประเทศจีนสมัยก่อนราชวงศ์ชิง คุณก็จะไม่มีสิทธิ์ “เกิด” ตราบใดที่ไม่ได้มี “เท้าดอกบัว” และไม่ใช่ริมฝีปากอันน่าจูบนั้นหรอกที่จะเป็นตัวดึงดูดทางเพศ เพราะข้อเท้าเปล่าเปลือยต่างหากที่ผู้ชายสมัยนั้นถือว่ามันเย้ายวนรัญจวนใจเป็นที่สุด เช่นเดียวกับปัจจุบัน ความมหึมาของเครื่องเพศชายจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้ามันไม่ทำให้อีกฝ่ายถึงจุดสุดยอดได้...ชิมิเคอะ!
(นอกเรื่อง : ที่บอกว่า ‘Size doesn’t matter’ น่ะมันพูดโดยผู้ชาย และเอาไว้บอกกับผู้ชายทั้งนั้นแหละ ต่อให้ยกข้อมูลทางการแพทย์มาว่าจีสปอตไม่ได้ลึกขนาดต้องการจู๋ยาวๆก็เถอะ แต่อย่าลืมว่าเวลาเราร่วมเพศ เราไม่ได้ร่วมเพศกันแค่ทางกายภาพ แต่เราร่วมเพศกันทางจิตวิทยาด้วย...ชิมิเคอะ!)
ทาทา ยังเคยให้สัมภาษณ์เมื่อคราวโกอินเตอร์อัลบั้มแรกว่า เธอต้อง “ยุบหนอ-พองหนอ” เพื่อเอาใจแฟนๆแต่ละประเทศ ครั้นไปอินเดียก็ต้องเร่งอึ๋มเข้าไว้ เพราะที่นั่นชอบสาวอวบ พอไปเกาหลีก็ต้องสะเด็ดไขมันออกให้ผอมอย่างที่คนกิมจิชอบ ส่วนบียอนเซ่ ก็เคยสารภาพว่า ที่จริงเธอชอบให้ตัวเองมีเนื้อหนังมากกว่านี้ หล่อนจีบปากให้สัมภาษณ์ว่า “ผอมแบบนี้มันไม่สมกับเป็นสาวผิวสีเอาเสียเลยค่ะคุณขา”
สาวๆค่อนโลกอยากมีหุ่นผอมเพรียวอย่างเธอ หนุ่มๆเองก็น้ำลายหกพลางครางซี้ดซ้าดเวลาเห็นเธอ สาวๆกรีดร้องอยู่หน้ากระจกว่า “อ๊ายส์! ฉันอยากผอมเหมือนบียอนเซ่!” แต่อีกฟากหนึ่งของโลกจะมีเสียงบียอนเซ่ตะโกนอยู่ว่า “อ๊ายส์! ฉันอยากอ้วน!” คิดดูแล้วมันน่าเจ็บปวดไม่น้อยที่เกิดมาเป็นสาวผิวสีแล้วไม่สามารถเป็นอย่างสาวผิวสีได้ ไม่ต่างอะไรกับที่ผู้หญิงบ้านเราที่อยากหมวย ผู้ชายมัลดีฟท์ต้องทาไวเทนนิ่ง หรือเกิดเป็นเกย์ต้องก้ามปู…ชิมิเคอะ!
ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายบอกฉันว่า “มาริยาครับ ผมไม่ได้รักคุณที่หน้าตานะครับ แต่ผมรักคุณที่หัวใจมากกว่า” เหมือนจะโรแมนติคแต่บังเอิญคนฟังดันเป็นคนกวนตีนและคิดเยอะอย่างฉัน เลยฟังแล้วแทบระเบิดหัวเราะก๊ากออกมาลั่นโลก อ๊ายส์! พูดมานี่ไม่มวนท้องคล้ายลูกในท้องดิ้นรึไงคะคุณขา ’ไรยะ! หนังหน้าดิฉันนี่มันเข้าขั้นวิกฤตจนรักหน้าตาฉันไปด้วยไม่ได้หรือไงคะ! ต๊าย! แล้วนี่ถ้าขืนเป็นแฟนกันไป ปากคุณไม่ต้องบอกรักฉันพะงาบๆ แต่ตาต้องคอยมองไปไกลๆ ที่ขอบฟ้าจะได้ไม่เห็นหน้าฉันเรอะ! เพราะขืนเห็นหน้าเมื่อไรคงคุณต้องรีบสะกดจิตตัวเองว่า “โอม...ฉันรักเธอที่หัวใจ” แล้วลืมหนังหน้าของฉันไปซะ…ชิมิเคอะ!
ของแบบนี้มันมาเป็นแพ็คเกจคู่ จะเอาหัวใจแบบนี้ก็ต้องเอาหน้าตาแบบนี้ไปด้วย เอาความคิดแบบนี้ เอาการเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม ทุกองค์ประกอบที่ก่อเกิดเป็นตัวตนของฉันไปด้วย จะมาชำแหละเป็นส่วนๆแบบเขียงหมู อันนี้เอา อันนี้ไม่เอาคงไม่ได้หรอก ฉันขายเป็นอาหารเซ็ทนะเฟ้ย! ไม่ได้ขายอาหารตามสั่ง!
แต่เอาเถอะคุณผู้อ่านขา กะเทยชาย อ๊ายส์! กระทาชายนายนั้นปลอดภัยจากดิฉันแล้ว แต่เห็นฉันมั่นๆเริ่ดๆเชิดๆแบบนี้ เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่งความมั่นใจของฉันเคยแหว่งวิ่นไปเหมือนกัน เพียงเพราะเข้าไปดู Hi5 ของหลายๆ คนมากๆ เข้า นี่อาร้าย! ทำไมแม่คุณทูนหัวทั้งหลายถึงหน้าตาดีราวกับหลุดมาจากภาพแฟชั่นที่รีทัชเรียบร้อยแล้วกันเช่นนี้ จะทำอะไรก็ดูดีไปหมด ทำตาโปนแก้มก็ยังน่ารัก ฉันลองแลบลิ้นแบบนางๆทั้งหลายบ้างก็พบว่าตัวเองตัวอะไรไม่รู้พยายามตวัดลิ้นกินเศษอาหารที่ติดอยู่มุมปาก อ๊ายส์! เสียรมณ์!
ได้แค่พาลบ่นกับตัวเองไปอย่างนั้นแหละคุณขา เพราะข้าพเจ้าคนหนึ่งล่ะก็ชอบคนสวยๆเหมือนกัน พอสติกลับมา (แต่สตางค์ไม่เคยกลับมา) ก็คิดได้ว่า ถ้าเทียบกันที่หนังหน้า ฉันก็คงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นชก แต่ถ้าดวลกันที่ความกวนตีนและช่างสำบัดสำนวน ฉันคิดว่าหมัดฮุกและฟุตเวิร์คของฉันใช้การได้ดีเสมอ คริๆฮิฮะ
แม้สังคมป่วยๆจะกำหนดความสวยแบบป่วงๆขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเกิดมาหน้าตาผิดระเบียบความสวยแล้วคุณจะไม่มีสิทธิ์หายใจได้เต็มปอดมิใช่หรือ ไม่ต้องรอให้โฆษณามาบอกว่าคุณต้องหน้าขาวไม่งั้นผู้ชายจะไม่รักเหมือนโฆษณาพอนด์ส เอากระปุกพอนด์สปาหัวผู้ชายที่มันมองคนแค่นั้นแม่งเลย (แต่พอเป็นอั๋น-วิทยา ก็ยั้งมือไว้ทันที) คุณนั่นแหละที่ควรจะตอบตัวเองให้ได้ว่าคุณจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร จะปล่อยให้คนสวยเลือกได้แต่ฝ่ายเดียวจนเราได้แต่รอเก็บเศษโอกาสที่เขาไม่เอาแล้วได้ไง...ชิมิเคอะ!
หึหึ...ว่าแล้ว พรุ่งนี้ฉันก็ต้องไป “หาหมอ” เสียหน่อย เสร็จแล้วจะไปเข้าฟิตเนส ตกเย็นทานอาหารเพื่อสุขภาพ ก่อนนอนพอกครีมที่หน้า เพื่อดำรง “อำนาจ” ไว้
และไม่ลืมพัฒนาความกวนตีนให้ยิ่งขึ้นไปไม่ให้เสีย “อำนาจ” เช่นกัน