Skip to main content

มาริยา มหาประลัย



 
 10_7_01
 

เวลาได้ยินคำว่า “สวยเลือกได้” (แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงฉัน) ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “สวย” ในที่นี้เรา “เลือก” กันได้จริงเหรอ


เพราะเอาเข้าจริง ความขาว สวย หมวย อึ๋ม ตี๋ ล่ำ หำใหญ่ จมูกโด่ง ฯลฯ ที่เราเรียกคุณลักษณะเหล่านี้ว่า “ความสวย-หล่อ” นั้น ชาติมหาอำนาจเป็นคนกำหนดรูปแบบขึ้นมาและใช้มันเป็นอาวุธในการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม ความสวยจึงไม่ใช่เรื่อง “สวยๆ” อย่างเดียว แต่มันยังแฝงเรื่องอำนาจและชนชั้นทางสังคมมาอย่างแยบคายภายใต้เปลือกอันน่ามอง


เช่น ความตี๋หมวยบ่งบอกว่าเป็นลูกหลานคนจีนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางไปจนถึงผู้มีอันจะกิน (แต่ถ้าเป็นสมัยโบราณโน้น คนจีนในไทยกลับถูกมองว่าเป็น ”เจ๊ก” ไม่ใช่ “ตี๋” ซึ่งดูอินเทรนด์กว่าเป็นไหนๆ) รูปร่างกำยำล่ำสันแสดงว่าเป็นผู้มีเวลาว่างและสตางค์มากพอจะออกกำลังกายในฟิตเนส แถมยังมีระเบียบวินัยในการดูแลตัวเองอย่างดีเยี่ยม ผิวขาวเนียนใสไร้สิวเป็นเครื่องแสดงว่าใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์ไร้มลพิษ กรรมกรหน้าไหนจะหน้าขาวขึ้นมาได้ต่อให้โบกครีมกันแดด SPF 50 ในเมื่อยังต้องตากแดดตากลมเพื่อนมสองเต้าและลูกอยู่...ชิมิเคอะ!


เรื่องความขาวนั้น ฉันเคยนึกว่ามีแต่บ้านเรานี่ล่ะว้าที่บ้าความขาว จนกระทั่งเมื่อฉันไปเที่ยวมัลดีฟท์แล้วเจอโฆษณาครีมไวเทนนิ่งสำหรับผู้ชาย อ๊ายส์! เห็นแล้วขนลุกซู่ นี่เราไม่ได้ทำการล่าอาณานิคมด้วยปืนรบกันอีกแล้ว แต่ใช้วัฒนธรรมเป็นอาวุธแทน เหมือนจะไม่รุนแรงเพราะไม่มีใครนองเลือดให้เห็นกันจะๆ แต่มันคือการกลืนชาติในนามของโลกาภิวัตน์ซึ่งมีอเมริกาเป็นศูนย์กลางจักรวาล


มนุษย์ต่างดาวคงงงพิลึกถ้าโฉบมาบนโลกแล้วพบว่า โลกที่เคยเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์กลายเป็นโลกที่ผู้คนล้วนจมูกโด่ง ตัวขาว ตาสองชั้น ฯลฯ แทบจะโขกโป๊กออกมาจากพิมพ์เดียวกันหมดเด๊ะๆ!


ความหล่อความสวยยังขึ้นอยู่กับบริบทของเวลาและสถานที่ อั้ม พัชราภาเป็นได้อ้ำอึ้งแน่ถ้าเธอไปอยู่ในหมู่เกาะแถบแปซิฟิกใต้ ซึ่งผู้หญิงที่นั่นต้องอ้วนมากๆถึงจะเรียกว่าสวย ผู้หญิงเอว 24 จะกลายเป็นคนอ้วนทันทีถ้าอยู่ในยุควิคตอเรียนที่ผู้หญิงถูกคอร์เซ็ทบีบรัดจนผู้ชายสามารถโอบรอบเอวผู้หญิงได้ด้วยแขนข้างเดียว และต่อให้คุณเกิดมาสวยเหมือนแอนเจลิน่า โจลี แต่ดันเกิดในประเทศจีนสมัยก่อนราชวงศ์ชิง คุณก็จะไม่มีสิทธิ์ “เกิด” ตราบใดที่ไม่ได้มี “เท้าดอกบัว” และไม่ใช่ริมฝีปากอันน่าจูบนั้นหรอกที่จะเป็นตัวดึงดูดทางเพศ เพราะข้อเท้าเปล่าเปลือยต่างหากที่ผู้ชายสมัยนั้นถือว่ามันเย้ายวนรัญจวนใจเป็นที่สุด เช่นเดียวกับปัจจุบัน ความมหึมาของเครื่องเพศชายจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้ามันไม่ทำให้อีกฝ่ายถึงจุดสุดยอดได้...ชิมิเคอะ!


(นอกเรื่อง : ที่บอกว่า ‘Size doesn’t matter’ น่ะมันพูดโดยผู้ชาย และเอาไว้บอกกับผู้ชายทั้งนั้นแหละ ต่อให้ยกข้อมูลทางการแพทย์มาว่าจีสปอตไม่ได้ลึกขนาดต้องการจู๋ยาวๆก็เถอะ แต่อย่าลืมว่าเวลาเราร่วมเพศ เราไม่ได้ร่วมเพศกันแค่ทางกายภาพ แต่เราร่วมเพศกันทางจิตวิทยาด้วย...ชิมิเคอะ!)


ทาทา ยังเคยให้สัมภาษณ์เมื่อคราวโกอินเตอร์อัลบั้มแรกว่า เธอต้อง “ยุบหนอ-พองหนอ” เพื่อเอาใจแฟนๆแต่ละประเทศ ครั้นไปอินเดียก็ต้องเร่งอึ๋มเข้าไว้ เพราะที่นั่นชอบสาวอวบ พอไปเกาหลีก็ต้องสะเด็ดไขมันออกให้ผอมอย่างที่คนกิมจิชอบ ส่วนบียอนเซ่ ก็เคยสารภาพว่า ที่จริงเธอชอบให้ตัวเองมีเนื้อหนังมากกว่านี้ หล่อนจีบปากให้สัมภาษณ์ว่า “ผอมแบบนี้มันไม่สมกับเป็นสาวผิวสีเอาเสียเลยค่ะคุณขา”


สาวๆค่อนโลกอยากมีหุ่นผอมเพรียวอย่างเธอ หนุ่มๆเองก็น้ำลายหกพลางครางซี้ดซ้าดเวลาเห็นเธอ สาวๆกรีดร้องอยู่หน้ากระจกว่า “อ๊ายส์! ฉันอยากผอมเหมือนบียอนเซ่!” แต่อีกฟากหนึ่งของโลกจะมีเสียงบียอนเซ่ตะโกนอยู่ว่า “อ๊ายส์! ฉันอยากอ้วน! คิดดูแล้วมันน่าเจ็บปวดไม่น้อยที่เกิดมาเป็นสาวผิวสีแล้วไม่สามารถเป็นอย่างสาวผิวสีได้ ไม่ต่างอะไรกับที่ผู้หญิงบ้านเราที่อยากหมวย ผู้ชายมัลดีฟท์ต้องทาไวเทนนิ่ง หรือเกิดเป็นเกย์ต้องก้ามปู…ชิมิเคอะ!


ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายบอกฉันว่า “มาริยาครับ ผมไม่ได้รักคุณที่หน้าตานะครับ แต่ผมรักคุณที่หัวใจมากกว่า” เหมือนจะโรแมนติคแต่บังเอิญคนฟังดันเป็นคนกวนตีนและคิดเยอะอย่างฉัน เลยฟังแล้วแทบระเบิดหัวเราะก๊ากออกมาลั่นโลก อ๊ายส์! พูดมานี่ไม่มวนท้องคล้ายลูกในท้องดิ้นรึไงคะคุณขา ’ไรยะ! หนังหน้าดิฉันนี่มันเข้าขั้นวิกฤตจนรักหน้าตาฉันไปด้วยไม่ได้หรือไงคะ! ต๊าย! แล้วนี่ถ้าขืนเป็นแฟนกันไป ปากคุณไม่ต้องบอกรักฉันพะงาบๆ แต่ตาต้องคอยมองไปไกลๆ ที่ขอบฟ้าจะได้ไม่เห็นหน้าฉันเรอะ! เพราะขืนเห็นหน้าเมื่อไรคงคุณต้องรีบสะกดจิตตัวเองว่า “โอม...ฉันรักเธอที่หัวใจ” แล้วลืมหนังหน้าของฉันไปซะ…ชิมิเคอะ!


ของแบบนี้มันมาเป็นแพ็คเกจคู่ จะเอาหัวใจแบบนี้ก็ต้องเอาหน้าตาแบบนี้ไปด้วย เอาความคิดแบบนี้ เอาการเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม ทุกองค์ประกอบที่ก่อเกิดเป็นตัวตนของฉันไปด้วย จะมาชำแหละเป็นส่วนๆแบบเขียงหมู อันนี้เอา อันนี้ไม่เอาคงไม่ได้หรอก ฉันขายเป็นอาหารเซ็ทนะเฟ้ย! ไม่ได้ขายอาหารตามสั่ง!

 

แต่เอาเถอะคุณผู้อ่านขา กะเทยชาย อ๊ายส์! กระทาชายนายนั้นปลอดภัยจากดิฉันแล้ว แต่เห็นฉันมั่นๆเริ่ดๆเชิดๆแบบนี้ เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่งความมั่นใจของฉันเคยแหว่งวิ่นไปเหมือนกัน เพียงเพราะเข้าไปดู Hi5 ของหลายๆ คนมากๆ เข้า นี่อาร้าย! ทำไมแม่คุณทูนหัวทั้งหลายถึงหน้าตาดีราวกับหลุดมาจากภาพแฟชั่นที่รีทัชเรียบร้อยแล้วกันเช่นนี้ จะทำอะไรก็ดูดีไปหมด ทำตาโปนแก้มก็ยังน่ารัก ฉันลองแลบลิ้นแบบนางๆทั้งหลายบ้างก็พบว่าตัวเองตัวอะไรไม่รู้พยายามตวัดลิ้นกินเศษอาหารที่ติดอยู่มุมปาก อ๊ายส์! เสียรมณ์!


ได้แค่พาลบ่นกับตัวเองไปอย่างนั้นแหละคุณขา เพราะข้าพเจ้าคนหนึ่งล่ะก็ชอบคนสวยๆเหมือนกัน พอสติกลับมา (แต่สตางค์ไม่เคยกลับมา) ก็คิดได้ว่า ถ้าเทียบกันที่หนังหน้า ฉันก็คงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นชก แต่ถ้าดวลกันที่ความกวนตีนและช่างสำบัดสำนวน ฉันคิดว่าหมัดฮุกและฟุตเวิร์คของฉันใช้การได้ดีเสมอ คริๆฮิฮะ


แม้สังคมป่วยๆจะกำหนดความสวยแบบป่วงๆขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเกิดมาหน้าตาผิดระเบียบความสวยแล้วคุณจะไม่มีสิทธิ์หายใจได้เต็มปอดมิใช่หรือ ไม่ต้องรอให้โฆษณามาบอกว่าคุณต้องหน้าขาวไม่งั้นผู้ชายจะไม่รักเหมือนโฆษณาพอนด์ส เอากระปุกพอนด์สปาหัวผู้ชายที่มันมองคนแค่นั้นแม่งเลย (แต่พอเป็นอั๋น-วิทยา ก็ยั้งมือไว้ทันที) คุณนั่นแหละที่ควรจะตอบตัวเองให้ได้ว่าคุณจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร จะปล่อยให้คนสวยเลือกได้แต่ฝ่ายเดียวจนเราได้แต่รอเก็บเศษโอกาสที่เขาไม่เอาแล้วได้ไง...ชิมิเคอะ!

 

หึหึ...ว่าแล้ว พรุ่งนี้ฉันก็ต้องไป “หาหมอ” เสียหน่อย เสร็จแล้วจะไปเข้าฟิตเนส ตกเย็นทานอาหารเพื่อสุขภาพ ก่อนนอนพอกครีมที่หน้า เพื่อดำรง “อำนาจ” ไว้


และไม่ลืมพัฒนาความกวนตีนให้ยิ่งขึ้นไปไม่ให้เสีย “อำนาจ” เช่นกัน

บล็อกของ กิตติพันธ์ กันจินะ

กิตติพันธ์ กันจินะ
จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน
กิตติพันธ์ กันจินะ
โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในสังคมสมัยก่อน เช่น ในภาคเหนือ การจีบสาวของคนล้านนาจะมีการค่าว (คล้ายลำตัดของภาคกลาง) ตอบโต้กันไปมา การจีบกันต้องให้เกียรติผู้หญิงเป็นคนเลือกคู่ หรือหากจะแต่งงานก็ต้องมีการใส่ผี คือการวางเงินสินสอดจากฝ่ายชายเพื่อบอกกับผีปู่ผีย่าของฝ่ายหญิงให้ทราบว่าจะคบกันแบบสามีภรรยา
กิตติพันธ์ กันจินะ
ความคิด ความเชื่อเรื่องเพศที่หล่อหลอมเรามาว่า ควรมีชายกับหญิงเท่านั้นที่คู่กัน สิ่งนี้เป็นความคิด ความเชื่อที่ฝังหัวเรามาตลอดจนเราไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมเราจึงต้องรักเพศตรงข้าม และการที่เรารักเพศเดียวกันนั้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ
กิตติพันธ์ กันจินะ
สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดูของแม่และพี่ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง เห็นการทำงานของผู้หญิงที่ “ศูนย์เพื่อน้องหญิง” จ.เชียงราย เห็นความเข้มแข็งในการทำงานของแม่ของพี่ๆ แต่ละคนแล้ว ทำให้ผมเห็นว่าความเป็นหญิง ความเป็นชาย แท้จริงแล้ว ทุกคนก็สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน แต่ทว่าการเลี้ยงดูหล่อหลอมของสังคมกลับบอกว่าแบบนี้ผู้หญิงควรทำ แบบนี้ผู้ชายควรทำ
กิตติพันธ์ กันจินะ
เปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ภายในตน ผมเริ่มต้นทำงานในประเด็นเรื่องเพศ ตอนอายุน้อยๆ จากวันนั้นมาวันนี้ ระยะเวลาหลายปี ที่อยู่บนเส้นทางนี้ได้เจออะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ใด ความรับผิดชอบแบบไหน องค์กรระดับชุมชนหรือเครือข่ายก็ตาม งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ทำประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน ผมไม่อาจเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนทำงานเพศวิถี เพราะเข้าใจว่าเรื่องเพศวิถีนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่อาจจะบอกได้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาสังคม เพราะบ่อยครั้งก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับตัวเองว่าที่ว่าเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น…
กิตติพันธ์ กันจินะ
หายไปเสียนานกับบ้าน “หนุ่มสาวสมัยนี้” เพราะต้องทำงานโครงการป้องกันเอดส์ และเพศศึกษากับเพื่อนๆ เยาวชนในหลายๆ ภาค ทำให้เวลาในการเขียนขีดมีน้อยกว่าเมื่อก่อน ทว่าตอนนี้ก็สามารถจัดการเวลากับตัวเองได้ลงตัวมากขึ้นทำให้ชีวิตมีความสมดุลมากขึ้นทีเดียว
กิตติพันธ์ กันจินะ
อุ่นใจ บัว เขาเสยผมที่ยาวประ่บ่าแล้วรวบไว้ด้านหลังเบาๆ พลางเอื้อมมือดันเพื่อปิดประตูห้องหมายเลข 415 วันนี้เป็นวันที่เขาต้องขนย้ายข้าวของและสัมภาระต่างๆ กลับบ้านที่ต่างจังหวัด หลังจากเมื่อสี่ปีที่แล้ว เขาเดินทางออกจากบ้านเพื่อย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อย่างเต็มตัว สี่ปีที่ผ่านมามีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เขากำลังนึกถึงภาพของความหลังครั้งอดีต โดยเฉพาะความหลังที่เกิดขึ้นภายในห้องพักที่อยู่เบื้องหน้า หนึ่งในเรื่องราวที่ผุดขึ้นมาในม่านความคิดของเขาก็คือเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหญิงสาวห้าคน
กิตติพันธ์ กันจินะ
  กิตติพันธ์ กันจินะ -1-วันอาทิตย์สัปดาห์นี้ผมน้อมนำกายไว้ที่กรุงเทพฯ เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะกลับเชียงรายเลย และอยากให้วันอาทิตย์นี้เป็นของขวัญแก่ตัวเองในการพักผ่อน หยุดขยับเรื่องงาน และเอาใจมาคิดถึงเรื่องด้านในของตัวเองด้วย เช้าตรู่ของวันอาทิตย์นี้ ผมตื่นนอนตามปกติ ไม่สายและไม่เช้าจนเกินไป และอยู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่ามีโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้โทร.กลับหนึ่งสาย นั้นคือ พี่จ๋อน แห่งมะขามป้อมนี้เอง สำหรับพี่จ๋อนและพี่ๆ มะขามป้อมแล้ว ผมถือว่ารู้จักมักคุ้นกับพี่ๆ มานานหลายปี โดยผมเริ่มรู้จักกับมะขามป้อม เมื่อตอนยังเด็กเลยแหละ จนถึงทุกวันนี้ก็นานพอควร พี่บางคนพอจำกันได้…
กิตติพันธ์ กันจินะ
  มาริยา มหาประลัย1เมื่อเดือนก่อน คุณพี่เอก บก. (อันย่อมาจากบรรณาธิการ ไม่ใช่บ้ากาม) นิตยสารผู้ชายฉบับหนึ่งที่ฉันเคยอาศัยเงินเดือนเขายาไส้ แถมยังเป็นเจ้านายที่น่ารักที่สุดตั้งแต่ฉันเคยร่วมงานด้วย โทรศัพท์ตรงดิ่งวิ่งปรี่มาหาฉัน บอกว่ามีงานเขียนให้ฉันทำ คุณพี่เอกยังหยอดคำหวานปานพระเอกลิเก(ย์)อ้อนแม่ยกอีกว่า พอได้รับโจทย์ปุ๊บ หน้าฉันก็โผล่พรวดเด้งดึ๋งขึ้นมาปั๊บ เห็นทีจะเป็นลิขิตจากนรก เอ้ย! สวรรค์ชั้นเจ็ดที่ส่งให้ฉันมาเขียนเรื่องนี้ อู้ย! อยากรู้จริงเชียวว่าเรื่องอะไรหนอ..."คุณพี่อยากให้คุณน้องเขียนเรื่อง Safe Sex ของเกย์ให้เกย์อ่าน"อ๊ายส์! อ๊ายยยส์!!อ๊ายยยยยยส์!!!…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย (หมายเหตุ – อะแฮ่ม! ขอออกตัวว่าฉันเป็นคนรู้เรื่องศาสนาเพียงน้อยนิด ข้อเขียนต่อไปนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตตามภูมิความรู้ที่มี ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ เพียงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ใครจะกรุณาแลกเปลี่ยนทัศนะเพื่อช่วยให้แตกกิ่งก้านสาขาเซลส์สมองของฉัน ก็ขอกราบแทบแนบตักขอบพระคุณงามๆ มา ณ ที่นี้ด้วย...ชะเอิงเอย) วันที่ 9 เดือน 9 ปีนี้ ฉันและผองเพื่อนมีวาระแห่งชาติในการปฏิบัติภารกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ แต่จุดหมายปลายทางของเราไม่ได้อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลหรือสะพานมัฆวานฯ ใครจะกู้ชาติ กู้โลก หรือกู้เจ้าโลกก็ขอเว้นวรรคความใส่ใจสักวันเถอะ…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย สาบานได้ว่า พิธีเปิดโอลิมปิกที่ปักกิ่งซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไปสร้างความตะลึงพรึงเพริศ และสามารถตรึงขนทุกเส้นของฉันให้ลุกชันได้ยิ่งกว่าตอนนั่งดูกระโดดน้ำชายเสียอีก (เพราะกระโดดน้ำชายทำให้อย่างอื่นลุกและคันมากกว่า นั่นแน่! คิดอะไร! นั่งดูทีวีนานๆ ยุงมันกัดเลยต้องลุกขึ้นมาเกาเฟ้ย! อ๊ายส์!)  “แม่เจ้าโว้ย! อะไรมันจะ %$#@*&+ ขนาดนั้นฟะเนี่ย!!!” ฉันไม่รู้จะหาคำวิเศษณ์คำไหนมาบรรยายความวิเศษของภาพตรงหน้าได้ ตลอด 3 ชั่วโมงนั้นฉันเผลออ้าปากค้าง ทำตาโต ตบอกผางไปไม่รู้กี่ครั้ง และหลายครั้งเล่นเอาความตื้นตันมาชื้นอยู่ตรงขอบตาเชียวล่ะคุณ อะไรจะขนาดนั้น!
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย    เวลาได้ยินคำว่า “สวยเลือกได้” (แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงฉัน) ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “สวย” ในที่นี้เรา “เลือก” กันได้จริงเหรอ เพราะเอาเข้าจริง ความขาว สวย หมวย อึ๋ม ตี๋ ล่ำ หำใหญ่ จมูกโด่ง ฯลฯ ที่เราเรียกคุณลักษณะเหล่านี้ว่า “ความสวย-หล่อ” นั้น ชาติมหาอำนาจเป็นคนกำหนดรูปแบบขึ้นมาและใช้มันเป็นอาวุธในการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม ความสวยจึงไม่ใช่เรื่อง “สวยๆ” อย่างเดียว แต่มันยังแฝงเรื่องอำนาจและชนชั้นทางสังคมมาอย่างแยบคายภายใต้เปลือกอันน่ามอง