Skip to main content

เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน


ฉันนอนนึกถึงอาการป่วยยาวนานของฉัน ตั้งแต่วันที่ฉันสูญเสียนางฟ้าของฉันไป หนึ่งปีหลังจากนั้น เป็นวันที่ฉันลุกขึ้นไปหาหมอด้วยอาการปวดข้อ หน้าแดง ปัสสาวะเป็นสีแดงเหมือนเลือด ฉันพยายามมองข้ามมันไปจนทนไม่ไหว ฉันยอมจำนนแล้วลุกขึ้นแต่งตัวไปหาหมอ วันนั้นฉันหอบยามากมายกลับมาบ้านพร้อมชื่อโรคที่ฉันเป็น เอสแอลอีหรือโรคพุ่มพวง นักร้องชื่อดังที่เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคนี้ ฉันยังจำคำพูดหมอได้ ต้องอดทนนะ ฉันยิ้มให้หมอแล้วพยักหน้า หากแต่ตอนนั้นในใจฉันบอกตัวเองว่า ช่างเถอะ ฉันไม่สนใจว่าชีวิตฉันจะเป็นอย่างไรแล้ว


หลังจากฉันบอกแม่ ฉันเป็นลูกแม่อย่างแท้จริง ฉันเป็นโรคเดียวกันกับแม่ แม่บอก น่าสงสารจังเลยลูก แม่ขอโทษนะที่ทำให้ลูกต้องเป็นอย่างนี้ ฉันบอกแม่ว่า ไม่ใช่ความผิดของแม่เลย กรรมของลูกมากกว่าแม่จ๋า แล้วฉันก็อยู่กับยาเป็นกำๆนั่นเสมอมานับจากวันนั้น


เนื่องด้วยภูมิต้านทานของฉันต่ำลง จากการกดของยาที่ฉันกินและโรคของฉัน ฉันจึงกลายเป็นคนที่เป็นอะไรแล้วหายยากเหลือเกิน แม่จึงเป็นห่วงฉันตลอดมา ตลอดแปดปีที่ผ่านมา ฉันเทียวไปเทียวมาหาหมอจนเบื่อ อาการป่วยของฉันช่างยืดยาวเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด


ฉันพยายามอยู่กับความเจ็บป่วยอย่างยอมรับได้ กินยา นอน ออกกำลังกาย กินอาหารแมคโครไบโอติก ห้ามอยู่กลางแดดโดยเด็ดขาด ไปพบหมอสม่ำเสมอ ฉันทำทุกวิถีทางที่จะให้อาการป่วยดีขึ้น ฉันอยู่กับมันได้อย่างเป็นสุขเสมอ ทำใจและยอมรับโชคชะตา นั่นเป็นสิ่งที่ฉันบอกตัวเอง


หากแต่เมื่อวันที่ฉันแพ้ยาเดินทางมาถึง ฉันเหมือนถูกเหวี่ยงเข้าไปชนข้างฝา ร่างกายเสียศูนย์ โรคของฉันกำเริบ ฉันถึงกับนอนแช่อยู่บนเตียงอย่างคนหมดทางสู้ จากคนที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด ฉันกลายมาเป็นคนป่วย ผอมโซ เนื้อตัวพุพอง เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันช่างเชื่องช้ายืดยาวนัก ฉันนอนมองเพดานอย่างเลื่อนลอย ภาวนาให้วันมันผ่านไปเร็วๆ

 

ก่อนออกจากโรงพยาบาลกลับมาบ้าน หมอประจำตัวฉันย้ำแล้วย้ำอีกว่า ห้ามออกไปถูกแดดกลางแจ้งโดยเด็ดขาด ฉันจะหน้าแดง ปวดข้อและไข้ขึ้น เป็นอาการของโรคที่มันกำเริบขึ้น ฉันต้องระมัดระวังและเอาใจใส่ตัวเองให้มาก ฉันมองหน้าหมอแล้วพยักหน้ารับ หากแต่ในใจฉันคิดว่า ช่างอาภัพนัก ชีวิต แสงแดดสายลมเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรได้ชื่นชม ฉันปลอบใจตัวเองว่า นะ นั่งมองแดดเอาก็ได้ เอาชีวิตรอดก่อนก็แล้วกัน ฉันคิดแล้วยอมรับอย่างยอมจำนน


แม่เอาอาหารเจมาให้ฉันกินข้างเตียงนอน ห้องนอนของฉันอยู่ชั้นบนของบ้าน แม่จึงเดินขึ้นลงบันไดทั้งวันเพื่อมาหาฉัน ฉันถามแม่ว่า แม่ปวดขา ปวดหลังบ้างหรือเปล่า แม่เดินทั้งวัน แม่ขยันทำกับข้าวให้ลูกกินอย่างไม่รู้เบื่อ แม่ยิ้มให้ฉันแล้วบอกฉันว่า ไม่เหนื่อยไม่เป็นไรหรอกลูก แม่มีความสุขที่ได้ทำ แม่อยากให้ฉันหายป่วยในเร็ววัน แม่ไม่อยากเห็นฉันตกอยู่ในสภาพนี้ แม่บอกว่าแม่สงสารฉันเหลือเกิน


ตอนฉันยังเด็ก ฉันจำได้ว่าแม่ป่วยตลอด โรคที่แม่เป็น ทำงานหนักไม่ได้ อยู่กลางแดดไม่ได้ หากแต่แม่มีพวกเรา แม่ต้องทำงานหนักเหมือนลืมป่วย งานแม่อยู่กลางทุ่ง ท่ามกลางแดดร้อน ฉันจึงเห็นแม่ปวดข้อ หน้าแดง และพกยาติดตัวตลอดเวลามาจนโต ท่ามกลางสังขารที่ทุกข์ทรมาน ฉันเห็นความเข้มแข็งของแม่เสมอ แม่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใดแม้กระทั่งความเจ็บป่วย แม่ลุกขึ้นสู้กับมันตลอดมา หลานๆของแม่เรียกแม่ว่าปีศาจยา เพราะเห็นแม่กินยาเป็นกำๆ ฉันยังจำได้ว่าแม่หัวเราะชอบใจกับฉายาที่เด็กๆเรียก


ฉันจึงลุกขึ้นมานั่งคุยกับแม่ได้ เพราะฉันมีเลือดของแม่อยู่ในตัวนั่นเอง ฉันบอกแม่ว่าฉันจะไม่ยอมแพ้มัน แม้ต้องกินยาไปตลอดชีวิต ฉันจะอยู่เหนือมันให้ได้


หากแต่สิ่งที่แม่บอกฉันต่างหากเล่าที่ทำให้ฉันลุกออกมาเดินหน้าบ้านได้ในเย็นวันนั้น แม่บอกฉันว่า แม่หายจากโรคนี้ได้หลังจากที่อยู่กับมันมาอย่างยาวนาน แม่หายขาดจากโรคนี้และสุขภาพแข็งแรงตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา แม้ว่าแม่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดในวันหนึ่งของแม่


แล้วแม่ก็เริ่มต้นเล่าให้ฉันฟัง แม่ถามฉันว่าจำได้ไหม ตอนที่แม่อาการหนัก ลูกเรียนอยู่ชั้นประถมหก ฉันบอกแม่ฉันจำได้แม้บางความรู้สึกจะเลือนไปบ้าง หากแต่ความรู้สึกกลัวที่จะต้องเสียแม่ไปยังติดแน่นอยู่ในหัวใจฉัน ฉันมองหน้าแม่พร้อมน้ำตาที่ปริ่มออกมาพร้อมถ้อยคำที่ฉันเอ่ยว่า แม่จ๋าตอนนั้นลูกกลัวที่สุดเลย กลัวและเจ็บปวดที่สุดที่เห็นแม่ป่วยหนัก พวกเราทั้งหกคนพี่น้องต่างร้องไห้ที่เห็นแม่นอนอยู่ใต้บันได แม่ผอมดำและเต็มไปด้วยผื่นที่เป็นปื้นใหญ่ๆทั้งตัว ฉันยังจำเสียงครางของแม่ได้ มันติดแน่นอยู่ในใจ


กลางคืนที่แม่หนาวและปวดข้อ แม่จะเรียกหาฉันที่นอนอยู่ชั้นบนของบ้านให้ลงมาหามานวดตามตัวให้ เพราะฉันตัวโตที่สุดในบ้าน ฉันเดินลงบันไดมาหาแม่ หากเป็นตอนที่ฉันง่วงมากๆฉันจะนั่งลงแล้วกระถดลงตามบันไดไปทีละขั้น


ฉันเช็ดน้ำตาที่ไหลพรากออกมาในตอนนี้พร้อมบอกแม่ว่า แม่คงหนาว คงว้าเหว่ที่ต้องนอนป่วยอยู่คนเดียวใต้บันไดเพราะพ่อต้องออกไปกรีดยางในตอนกลางคืน กว่าจะกลับมาก็ตอนเที่ยงวัน แม่จ๋าตอนนั้นลูกสงสารแม่ที่สุด แล้วฉันก็กอดแม่ไว้ หากย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะตั้งใจดูแลแม่อย่างดีที่สุด เพราะฉันรู้ซึ้งในฤทธิ์เดชของโรคนี้แล้ว แม่จ๋าลูกขอโทษในวันที่ผ่านมาที่ลูกไม่ได้ตั้งใจดูแลแม่อย่างแท้จริง ลูกเสียใจจริงๆ ฉันพร่ำบอกแม่


หากแต่แม่กอดฉันไว้แล้วบอกฉันว่ามันผ่านไปแล้วลูก แม่รู้และสงสารลูกเสมอมา แม่ไม่อยากเห็นลูกเป็นโรคนี้ แม่สงสารและเวทนาลูกเหลือเกิน แล้วแม่ก็กอดฉันไว้ พลบค่ำวันนี้ของฉันหากมีใครแอบมองมาในห้องฉัน ก็จะเห็นภาพที่ฉันนอนร้องไห้อยู่บนเตียง แม่นั่งอยู่ข้างเตียงกอดฉันไว้ ปลอบใจฉัน

 

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง