หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
โถแม่จ๋า นั่นมันเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว แต่พ่อและแม่ก็รักกันและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม่บอกฉัน ฉันหัวเราะแล้วบอกว่าใช่จริงๆด้วย แต่สำหรับฉัน ไม่มีทางที่ฉันจะมีความสุขได้ แม่ลองคิดดูเถอะ ลองเขาไม่กล้ามาถามฉันด้วยตัวเองว่าอยากอยู่กับเขาหรือเปล่า ฉันไม่มีวันเลือกเขาเป็นคู่หรอกแม่จ๋า ฉันเลือกอยู่คนเดียวดีกว่า แล้วฉันก็เล่าให้แม่ฟังเรื่องของเพื่อนผู้หญิงในชั้นมอศอที่ยืนร้องไห้หน้าเวทีเหมือนคนหัวใจสลายเมื่อต้องพรากจากคนที่รักแล้วได้อยู่กับคนที่ไม่รัก ทั้งๆที่มีลูกสองคนแล้ว แม่จ๋า ความรักสำคัญที่สุดแม่คงเข้าใจ บอกเขาไปเถอะแม่ว่าฉันไม่มีวันตอบตกลง ให้เขาไปหาผู้หญิงอื่นที่ไม่เรื่องมากแบบฉัน
แม่หัวเราะแล้วมองหน้าฉัน หรือลูกพบคนที่รักแล้ว ฉันสบตาแม่ ยังไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า แม่ถามฉันว่าเป็นเธอใช่ไหม เธอที่มาเดินหอบดอกไม้ให้ในวันรับปริญญาของฉัน เธอที่ส่งแววตาเต็มเปี่ยมมาให้ฉัน แม่รู้นะ ฉันยิ้มแล้วก้มหน้าเงียบ ได้ยินเสียงแม่พูดต่อ ลูกมีคนที่ลูกรักและเลือกแล้วใช่ไหม ฉันเงยหน้าขึ้นมาตอบแม่ แม่จ๋า วันข้างหน้ายังอยู่อีกยาวไกล ลูกเพียงรู้สึกว่า เธอกำลังฝ่าฟันและถางทางฝันของตัวเอง เธอต้องการเพื่อน ต้องการกำลังใจ เราสองคนจึงเป็นเพื่อนกัน ฝ่าฟันกันในโลกทุกข์ ใบนี้ แม่ถามฉันว่า แล้วเธอทำงานอะไร ฉันบอกแม่ว่า เธอเป็นนักเขียน
แม่ยิ้มแล้วบอกว่า เป็นนักเขียนไส้แห้งนะลูก ฉันยิ้มตอบแม่แล้วกอดแม่ไว้ บอกแม่ว่า มันไม่ได้แห้งเฉพาะไส้หรอกแม่จ๋า มันแห้งทั้งชีวิตนั่นเลย หากแต่มันเป็นหนทางของคนที่ไม่ยอมแพ้ต่างหากเล่าแม่ คนที่สู้ทั้งที่รู้ว่าไม่มีหนทางแห่งความชนะเหลืออยู่เลย คนที่เมื่อเลือกแล้วไม่หวั่นไหวต่อความทุกข์ยากนั่นไงที่หัวใจลูกซาบซึ้ง เธอลำบากเหลือเกิน แม่จ๋าลูกขอเป็นเพื่อนกับคนอย่างนี้ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่า หนทางข้างหน้าของเราจะเป็นอย่างไร แต่แม่เชื่อลูกนะว่า ลูกทำในสิ่งที่ดีงามและหัวใจลูกบอกว่าใช่ ลูกเป็นสุขและไม่หวั่นไหวต่อความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวล
แม่ก้มลงไปหยิบตะกร้าหวายข้างตัวที่หิ้วมาแล้วบอกว่า งั้นแม่กลับบ้านแล้วนะ แม่มีคำตอบไปบอกเขาแล้ว ฉันลุกขึ้นมาแต่งตัว แล้วบอกแม่ว่า จะเดินไปส่งแม่ที่ท่ารถ เราเดินคุยกันไป ก่อนขึ้นรถแม่หันมาส่งยิ้มให้ฉัน ฉันกอดแม่แล้วยกมือไหว้ ฝากกอดพ่อด้วยแม่จ๋า แม่มองหน้าฉันแล้ว บอกว่า แม่อวยพรลูกก็แล้วกันให้วันคืนข้างหน้าเป็นวันที่ดีของลูกเสมอ พ่อส่งแม่มาหาลูก เพราะพ่อเชื่อและรู้จักลูกดี พ่อรู้ว่า ลูกไม่มีวันยอม ลูกเลือกหัวใจเสมอ พ่อรู้และบอกคำตอบแม่มาอย่างนั้น ฉันมองหน้าแม่อย่างซาบซึ้ง โชคดีจังที่เกิดเป็นลูกพ่อและแม่ ฉันบอกแม่อย่างนั้น ขอบคุณพ่อและแม่ที่เมตตาลูกเสมอ
ฉันเขียนจดหมายเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง เธอบอกฉันว่า ชีวิตของฉันหากเลือกเขาเป็นคู่ คงเป็นสุขและร่ำรวย เพราะผู้ชายคนนั้นเป็นเศรษฐีสวนยาง จบปริญญาโทด้านเกษตรอีกต่างหาก ฉันน่าจะเลือกเขานะ ฉันตอบเธอกลับไปว่า สิ่งพวกนั้นฉันสร้างได้ ฉันรู้ว่า ฉันหาเงินได้ เป็นเศรษฐีได้ในวันข้างหน้า
หากแต่มันไม่ใช่หนทางสำหรับฉัน สิ่งที่ฉันเลือกต่างหากเล่าที่สำคัญ หัวใจและความสุขของชีวิตต่างหากที่อยู่เหนือทุกสิ่ง แล้วเรื่องสำคัญของชีวิตอย่างนี้ เขาปล่อยให้เป็นแม่ทำหน้าที่แทน เขาก็ตกกระป๋องสำหรับฉันแล้ว เพราะเธอและฉันต่างเลือกหนทางยากเสมอมา สิ่งใดเล่าจะได้มาอย่างง่ายดายเพียงแค่เอ่ยปาก คุณค่าของมนุษย์หายไปไหน ความภาคภูมิใจของชีวิตไปอยู่เสียที่ไหนเล่า
แล้วเธอก็บอกฉันว่า ให้หนทางข้างหน้าเป็นหนทางที่ดีของฉันก็แล้วกันนะเธอเอาใจช่วย ฉันบอกเธอว่าให้คืนวันที่ผ่านทุกข์ของเธอก็เช่นกันให้ความขมของชีวิต เคี่ยวกรำจนหอมหวาน ให้เธอผ่านทุกข์ด้วยความเพียร พบหนทางที่ดีเช่นกันนะ
เธอหายไปนานจนวันหนึ่งเธอโทรมาหาแล้วบอกฉันว่า เธอคุยกับแม่ของเธอแล้ว ให้แม่เธอไปหาแม่ฉัน ฉันบอกว่าไปทำไมเล่า ไปขอฉันให้เธอหน่อย ฉันตกใจ ถามเธอกลับไปว่าพูดจริงหรือ เธอบอกฉันว่า ใช่ แม่เธอถามเธอว่า แล้วฉันเลือกเธอหรือเปล่าเล่า ฉันเลือกผู้ชายอย่างเธอเป็นคนข้างตัวจริงหรือเปล่า เธอเลยโทรมาหาฉัน
ฉันเงียบไปนาน เธอบอกว่า ฉันลังเลไม่แน่ใจหรือเปล่า ฉันบอกเธอว่า ฉันชอบชีวิตที่ไม่ต้องผูกพันกับใคร ไปไหนตามลำพัง ตัดสินใจไม่ต้องให้ใครมาออกความเห็น เหมือนเป็นเจ้าชีวิตของตัวเอง ชีวิตอย่างนั้นเป็นความสุข เธอบอกฉันว่า เรามาเป็นเพื่อนกันตลอดไปเถอะนะ เธอไม่รู้หนทางข้างหน้าหรอก แต่เธอไม่ยอมแพ้ต่างหากเล่า เธอสู้ทั้งที่ติดลบต่างหาก และเธอเลือกฉันมาเดินข้างๆเธอ เธอบอกแม่เธอว่า ฉันเป็นเพื่อนแท้ที่เธอมีและรู้ว่า ฉันไม่มีวันทอดทิ้งเธอ
แล้วแม่เธอก็มาหาแม่ฉัน นัดหมายวันแต่งงานของเราสองคนอย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว แม่ทั้งสองของเรา คงอยากให้เรามีความสุข ฉันและเธอต่างตกใจที่รู้ว่า เราทั้งสองต้องแต่งงานกันในสองเดือนข้างหน้า
มันเร็วไปแล้ว แม่จ๋า แม่หัวเราะแล้วตอบว่า เร็วอะไรกันลูก เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นมอศอ ลูกอายุยี่สิบเก้าแล้ว ควรเริ่มต้นชีวิตได้แล้ว
งานแต่งงานของเราจึงมีขึ้นที่บ้านของเราสองคน ในวันที่ยี่สิบสาม เดือนตุลาคม ปีสองพันห้าร้อยสามสิบเจ็ด แม่บอกว่าไปหาฤกษ์แต่งงานให้ฉัน โดยให้ลุงของฉันที่เป็นคนหาฤกษ์ยามที่แม่นที่สุดและดีที่สุดเท่าที่แม่รู้จักมาตลอดชีวิต ลุงบอกแม่ว่า เราทั้งสองคน ดวงแรงมาก แต่งวันไหนไม่ได้เลยต้องเป็นวันปิยะมหาราชวันเดียวเป็นวันอาทิตย์เท่านั้น สองคนนี้มันเป็นเนื้อคู่กันมาก่อน
ฉันไม่รู้ความหมาย สัญญาณบอกอะไรเลยที่ต้องแต่งงานวันปิยะมหาราช ฉันตอบตกลงแม่ไป ฉันมารู้ความหมายนั้นเมื่อชีวิตผ่านไปถึงสิบสี่ปี
พี่สาวคนเดียวของฉัน เป็นครูจบคหกรรมศาสตร์ ลงมือเย็บชุดแต่งงานให้ฉันสองชุด เย็บด้วยมือ ตลอดทั้งวันและคืน มันเสร็จลงในวันก่อนฉันแต่งเพียงสามวัน มันสวยจนฉันตกตะลึง ตอนที่ลองชุดแต่งงานนั้น ฉันกอดพี่สาวไว้แน่น ชุดที่ฉันใส่มันสวยเหลือเกิน
เหมือนชุดจากสวรรค์ พอดีกับตัวฉันทั้งสองชุด สีน้ำเงินและสีงาช้าง เป็นชุดไทยที่ใส่วันรดน้ำสังข์และชุดในงานเลี้ยง สวยติดตาติดใจ พี่สาวเป็นคนออกแบบ ออกเงินและตัดเย็บเองทั้งหมด ด้วยความที่รักน้องเหลือเกิน ฉันโชคดีที่สุดแล้ว ในตอนนั้น ฉันไม่เคยคิดคำนึงถึงเรื่องนี้ ไม่เคยซาบซึ้งหัวใจว่า พี่สาวรักฉันมากมายแค่ไหน เวลาผ่านไปถึงสิบสี่ปี ฉันจึงได้ตื่นขึ้นมาสำนึกในความรักของพี่สาว จนถึงตอนนี้ ฉันจึงรู้ว่า ฉันเป็นน้องสาวคนเดียวที่ได้ใส่ชุดที่พี่เย็บให้เองในวันแต่งงาน เพราะน้องสาวอีกสองคนของฉันนั้น แต่งงานและชุดเป็นชุดแต่งงานที่ต้องหามาเอง
ก่อนวันแต่งงานของฉันสามวัน เราหกคนพี่น้องได้อยู่ร่วมกัน ได้กอดกัน เราหาเพลงมาเปิด น้องสาวตัวเล็กของฉันที่ตอนนั้น เรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พกไวน์แดงมาด้วย น้องสาวเปิดไวน์ เทใส่แก้วแจกทุกคน เราร้องเพลงเต้นรำกันอย่างมีความสุขในห้องนอนฉันเหมือนที่เราเคยทำกันมาเมื่อตอนเด็กๆทุกคนมาบอกฉันว่า ดีใจกับวันข้างหน้าของฉัน เรามีความสุขและหลับไปด้วยกัน ฉันไม่รู้ว่าเธอมาเดินวนเวียนอยู่ข้างบ้าน เห็นไฟเปิด ได้ยินเสียงเพลง เธอนั่งรออยู่หน้าบ้านพักใหญ่แล้วกลับบ้านไป บ้านเราห่างกันแค่หกกิโลเมตร
แม่มาร่วมจิบไวน์อย่างมีความสุข พวกเราหัวเราะกันที่เห็นแม่หน้าแดงเหมือนสาวๆ แม่บอกเป็นครั้งแรกที่แม่จิบแอลกอฮอล์ เมื่อเพลงจบลง พวกเราต่างนอนคุยกันต่อในห้องนั้น
เธอลงมาจากเชียงใหม่ก่อนแต่งงานเพียงหนึ่งสัปดาห์ พกชุดแต่งงานสีงาช้างมาด้วย เป็นชุดที่พี่สาวภรรยานักดนตรีวงแบนโจแมน ตั้งใจเย็บด้วยมือให้ด้วยผ้าใยกรรชง น่าแปลกใจที่เมื่อผ้าที่ซื้อนั้นเป็นผ้าสีงาช้าง สีเดียวกับชุดที่พี่สาวฉันเย็บให้ ช่างเป็นความบังเอิญที่น่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน เธอมาหาฉันที่บ้านวันรุ่งขึ้น ท่าทางเธอดีใจและเป็นสุข แววตาเธอระยิบระยับ
งานแต่งงานของเรา มีทั้งพี่น้องของเธอและฉัน พี่น้องที่ทำงานของฉัน พี่น้องและเพื่อนของเธอจากเชียงใหม่ที่เหมารถตู้ลงไปร่วมงาน เพื่อนร่วมรุ่นของเรา ญาติๆของเราทั้งสองคน ผู้คนล้นงาน
เพื่อนเก่าสมัยมอศอของเราก็มา บางคนดีใจมากที่เห็นเราสองคนแต่งงานกัน เหมือนประสบความสำเร็จในรุ่นนี้ ต่างพากันถามว่า ไปแอบรักกันตอนไหน บอกมานะ ต้องเป็นตอนที่ลอกการบ้านกันแน่เลย เสียงฮาลั่นโต๊ะกินเลี้ยง ไม่เคยเห็นแพร่งพรายบอกเพื่อน แน่จริงๆเลยนะทั้งสองคน เธอและฉันได้แต่อมยิ้ม