Skip to main content

แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง

>\\/--break--\>
คงเป็นสิ่งที่แม่และเธอที่ดูแลฉันอย่างดี หรือเป็นฤทธิ์ยาสมุนไพรที่ฉันกินมันเข้าทั้งวัน ฉันลุกมาเดินได้ในเช้าวันนั้น ฉันมีเรี่ยวแรงมากขึ้น เดินไปมาได้มากขึ้นโดยไม่เหนื่อยเหมือนเก่า อาการเจ็บหน้าอกที่แปลบปลาบตลอดเวลาลดลง ฉันนั่งได้นานขึ้น มันทำให้ฉันลืมตัวคิดว่าฉันคงจะไม่เป็นอะไรแล้ว


ฉันลุกมาจัดชั้นหนังสือของบ้าน กวาดบ้าน ถูบ้าน ปัดฝุ่นในห้อง เช็ดพัดลม ทำงานทั้งวันอย่างคนลืมตัวว่าป่วย เพราะฉันต้องนอนอยู่บนเตียงมาถึงสิบกว่าวัน จากคนที่ทำอะไรด้วยตัวเองมาตลอดเวลากลายมาเป็นคนนอนอยู่บนเตียง เมื่อคิดว่าลุกขึ้นได้แล้ว ฉันจึงคิดว่า ฉันจะลุยทำงานที่ค้างไว้ทั้งหมด ฉันอยู่กับฝุ่น แดด และสิ่งสกปรกทั้งวัน ทั้งที่เธอและแม่คอยห้ามฉัน ฉันก็บอกว่าฉันหายแล้วให้ฉันทำเถอะ


ตกค่ำ อาการทางกายเริ่มประท้วง ฉันเหนื่อยมากอย่างผิดปกติ เพลียและอ่อนล้าไปทั้งตัว หายใจติดขัดและนอนไม่หลับ ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ฉันนอนดิ้นไปมาทั้งคืน นึกตกใจที่ฉันเป็นอย่างนี้


เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันถึงกับนอนซมอยู่บนเตียง รู้สึกเหมือนเป็นไข้ ปวดข้อไปทั้งตัว แม่บอกว่าฉันหน้าแดงมาก ฉันบอกแม่ว่าโรคคงกำเริบ นึกเสียใจที่ไม่เชื่อแม่และเธอ วันนี้ขอนอนอย่างเดียวนะแม่จ๋า ลูกลุกไม่ไหวแล้ว ฉันบอกแม่ไปอย่างนั้น ฉันเห็นแม่ทำหน้าตกใจที่เห็นฉันแย่ลง แม่บอกว่า วันนี้ไม่ต้องทำอะไรนะ นอนอย่างเดียวแม่จะเอาข้าวมาให้ฉันข้างเตียงเอง


แม่มานั่งเป็นเพื่อนฉันข้างเตียงทั้งวัน ฉันนอนฟังแม่พูดเรื่องโน้นเรื่องนี้ บางเวลาที่ฉันเพลียมากๆ ฉันจะนอนหลับตาฟังแม่พูด


แม่บอกฉันว่า ตอนที่ฉันเรียนอยู่ประถมหก โรคของแม่กำเริบจนเต็มขั้นเพราะแม่ทำงานหนัก การมีลูกหกคนของแม่จะทำให้อาการของโรคยิ่งเลวร้ายลง แม่นอนเหมือนรอความตายอยู่ใต้บันไดของบ้านเรา แม่มีผื่นดำเป็นปื้นทั้งตัว วันที่แม่อาการเพียบหนักนั้นแม่อาเจียนออกมาเป็นเลือด แม่เหมือนจะหายใจไม่ได้แล้ว ฉันร้องไห้ออกมาในทันทีที่แม่พูดเรื่องนี้ แม่บอกฉันว่า คืนนั้นแม่เรียกฉันทั้งคืนให้ลงมานวดให้แม่ ฉันเดินลงบันไดมาหาแม่จนฟุบหลับไปข้างๆแม่ ปกติแม่จะเรียกฉันให้น้อยที่สุด เพราะแม่อยากให้ฉันไปโรงเรียนในตอนเช้า หากแต่คืนนั้นของแม่ แม่ทนทุกข์ทรมานไม่ไหว แม่บอกว่าแม่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะขาดใจตายลงไปแล้ว


เช้าวันรุ่งขึ้น แม่หายใจกระท่อนกระแท่น ถึงกระนั้นแม่ยังมีสติ บอกฉันว่าให้ไปตามพี่สาวลูกของป้ามา พาแม่ไปโรงพยาบาล ฉันจำได้ว่า ฉันวิ่งสุดชีวิตเพื่อไปให้ถึงบ้านพี่สาวอย่างเร็วที่สุด ฉันวิ่งไปร้องไห้ไป ในหัวใจของฉันเต็มไปด้วยความกลัวว่าทันทีที่ฉันห่างตาแม่ไป แล้วแม่จะจากฉันไปจริงๆ ฉันจะมีชีวิตอยู่อย่างไรถ้าไม่มีแม่ พวกเราหกคนพี่น้องที่กำลังกินกำลังเรียนจะว้าเหว่เพียงไหน ฉันไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้เลยถ้าไม่มีแม่ ฉันปาดน้ำตาที่พากันไหลพร่างพรูลงมา แล้ววิ่งไปจนสุดแรงของตัวเอง


ฉันบอกตัวเองว่าฉันไม่ยอมให้แม่เป็นอะไรไปหรอก ฉันจะทำทุกอย่างที่ให้แม่ดีขึ้น


ถึงบ้านพี่สาว ฉันตะโกนไปร้องไห้ไป เร็วๆเข้าพี่ พี่สาวฉันกลับมาจากกรีดยางที่สวน ยังไม่อาบน้ำ ฉันบอกเธอว่า ไม่ต้องอาบแล้ว แม่อาจรอเราไม่ไหว ไปกับฉันเถอะ พาแม่ไปโรงพยาบาลที ฉันไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้หากแม่ตาย ฉันจะตายกับแม่ พี่จ๋า พี่สาวของฉันร้องไห้แล้วแต่งตัว ให้ฉันซ้อนรถมอเตอร์ไซค์บึ่งรถมาหาแม่


หลังส่งแม่และพี่สาวขึ้นรถที่เหมาไปโรงพยาบาล พวกเราทั้งหกคนพี่น้องก็ร้องไห้กอดกันกลม พี่สาวไม่ให้พวกเราหกคนมาด้วยเพราะรู้ว่าหนทางข้างหน้านั้น ยังไม่รู้ว่าแม่จะรอดหรือเปล่า พวกเราทั้งหกจะเป็นภาระให้พี่สาวต้องลำบากใจ ทั้งหกคนพี่น้องจึงรออยู่ที่บ้านด้วยหัวใจที่สั่นไหว


ถึงโรงพยาบาล แม่บอกว่า แม่ไม่รู้สึกตัวแล้ว หมอวิ่งกันจ้าละหวั่น แม่อาเจียนออกมามีแต่เลือด หมอใส่ท่อช่วยหายใจ ผ่าตัดเส้นเลือดที่แขนเพื่อให้น้ำเกลือ ให้เลือด หมอปั๊มหัวใจแม่ แม่บอกฉันว่า แม่รู้สึกตัวตลอดเวลา หูได้ยินเสียงชัด แม่ตอบคำถามที่หมอถามได้หมดในใจ หากแต่ร่างกายที่ไม่ไหวติงของแม่นั้นมันเหมือนแม่ได้ตายไปแล้วจริงๆ


แม่บอกว่าแม่ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย แม่รู้สึกสบาย โล่ง มีความสุข มันเป็นความโปร่งเบาของชีวิตที่สุดเมื่อถึงเวลานั้น แม่บอกว่าแม่รู้สึกเหมือนออกมายืนดูหมอช่วยชีวิตแม่ไว้ แม่ยืนอยู่ข้างร่างของตัวเอง


หากแต่เมื่อแม่นึกถึงพวกเรา แม่ก็บอกตัวเองว่า อย่าตายนะ วิญญาณห้ามออกจากร่าง แม่ต้องอยู่กับลูก ลูกๆของแม่จะลำบากถ้าแม่ไม่อยู่ แม่ไม่ยอมหรอก แล้วแม่ก็เห็นฐานของพระพุทธรูปอยู่บนหัวของแม่ แม่บอกว่าแม่ขอให้มีชีวิตอยู่เพื่อดูแลลูก แม่จะตั้งใจเป็นคนดี ทำดีที่สุดถ้าแม่ไม่ตาย


แม่ยึดเอาฐานพระพุทธรูปนั้นไว้ มันทำให้แม่ไม่ลอยหายไปไหน แล้วแม่ก็หลับไป


แม่หลับไปสามวัน นอนใส่เครื่องช่วยหายใจ ไม่รู้สึกตัว วันที่แม่ฟื้นนั้น มีพี่สาวลูกป้าอีกคนเอาน้ำอบที่แม่ชอบใส่ผ้าเช็ดหน้า เช็ดให้แม่ แม่ลืมตาขึ้นมาเขียนถามพี่สาวว่า แล้วพี่สาวอีกคนไปไหน พี่สาวตอบว่า กลับบ้านไปสามวันแล้ว แม่จึงได้รู้ว่า แม่ไม่รู้สึกตัวไปสามวัน


ฉันสะอื้นหลังปล่อยน้ำตาให้ไหลมาตลอดเวลาที่ฟังแม่เล่า แม่นอนอยู่อย่างนั้นที่โรงพยาบาลถึงสามเดือน เป็นสามเดือนแห่งการจากของฉันกับแม่อย่างแท้จริง มันสุดแสนทรมานที่กลางคืนพวกเราไม่มีแม่อยู่ใกล้


พวกเราทั้งหกคนนั้นไม่เคยได้ไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล พ่อบอกว่าไม่อยากให้พวกเราไปเห็นแม่ พ่อไม่อยากให้พวกเราตกใจ พวกเราต่างได้แต่รอ รอแม่ทุกวันในตอนเย็นหลังกลับมาจากโรงเรียน ประตูบ้านของเราจะมีพวกเราหกคนนั่งเรียงราย รอแม่อย่างใจจดจ่อและเต็มไปด้วยความคิดถึง ดึกมากจึงขึ้นไปนอนด้วยความหมดหวังของวันนั้น


วันแล้ววันเล่าผ่านไปจนถึงวันที่แม่กลับมา แม่กลับมาให้เรากอดจริงๆ หลังจากพวกเราไปเนิ่นนาน แม่กลับมาบ้านในสภาพคนป่วยที่เต็มไปด้วยรอยปื้นดำๆทั้งตัว หากแต่ทันทีที่เห็นแม่กลับมา หัวใจฉันก็ฟูฟ่อง ดีใจสุดชีวิตที่เห็นแม่ลงรถมา แม่จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอเพียงแม่ยังอยู่กับพวกเรา คืนนั้น พวกเราหกคนพี่น้องต่างนอนหลับรุมล้อมรอบๆตัวแม่ ฉันเอามือกุมผ้าถุงของแม่ไว้แล้วหลับไปทั้งน้ำตา สิ่งที่ฉันภาวนาอยู่ทุกคืนเป็นจริงแล้ว แม่ของฉันกลับมาแล้ว แม่กลับมาแล้ว แม่จ๋า

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง