Skip to main content

แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง

>\\/--break--\>
คงเป็นสิ่งที่แม่และเธอที่ดูแลฉันอย่างดี หรือเป็นฤทธิ์ยาสมุนไพรที่ฉันกินมันเข้าทั้งวัน ฉันลุกมาเดินได้ในเช้าวันนั้น ฉันมีเรี่ยวแรงมากขึ้น เดินไปมาได้มากขึ้นโดยไม่เหนื่อยเหมือนเก่า อาการเจ็บหน้าอกที่แปลบปลาบตลอดเวลาลดลง ฉันนั่งได้นานขึ้น มันทำให้ฉันลืมตัวคิดว่าฉันคงจะไม่เป็นอะไรแล้ว


ฉันลุกมาจัดชั้นหนังสือของบ้าน กวาดบ้าน ถูบ้าน ปัดฝุ่นในห้อง เช็ดพัดลม ทำงานทั้งวันอย่างคนลืมตัวว่าป่วย เพราะฉันต้องนอนอยู่บนเตียงมาถึงสิบกว่าวัน จากคนที่ทำอะไรด้วยตัวเองมาตลอดเวลากลายมาเป็นคนนอนอยู่บนเตียง เมื่อคิดว่าลุกขึ้นได้แล้ว ฉันจึงคิดว่า ฉันจะลุยทำงานที่ค้างไว้ทั้งหมด ฉันอยู่กับฝุ่น แดด และสิ่งสกปรกทั้งวัน ทั้งที่เธอและแม่คอยห้ามฉัน ฉันก็บอกว่าฉันหายแล้วให้ฉันทำเถอะ


ตกค่ำ อาการทางกายเริ่มประท้วง ฉันเหนื่อยมากอย่างผิดปกติ เพลียและอ่อนล้าไปทั้งตัว หายใจติดขัดและนอนไม่หลับ ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ฉันนอนดิ้นไปมาทั้งคืน นึกตกใจที่ฉันเป็นอย่างนี้


เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันถึงกับนอนซมอยู่บนเตียง รู้สึกเหมือนเป็นไข้ ปวดข้อไปทั้งตัว แม่บอกว่าฉันหน้าแดงมาก ฉันบอกแม่ว่าโรคคงกำเริบ นึกเสียใจที่ไม่เชื่อแม่และเธอ วันนี้ขอนอนอย่างเดียวนะแม่จ๋า ลูกลุกไม่ไหวแล้ว ฉันบอกแม่ไปอย่างนั้น ฉันเห็นแม่ทำหน้าตกใจที่เห็นฉันแย่ลง แม่บอกว่า วันนี้ไม่ต้องทำอะไรนะ นอนอย่างเดียวแม่จะเอาข้าวมาให้ฉันข้างเตียงเอง


แม่มานั่งเป็นเพื่อนฉันข้างเตียงทั้งวัน ฉันนอนฟังแม่พูดเรื่องโน้นเรื่องนี้ บางเวลาที่ฉันเพลียมากๆ ฉันจะนอนหลับตาฟังแม่พูด


แม่บอกฉันว่า ตอนที่ฉันเรียนอยู่ประถมหก โรคของแม่กำเริบจนเต็มขั้นเพราะแม่ทำงานหนัก การมีลูกหกคนของแม่จะทำให้อาการของโรคยิ่งเลวร้ายลง แม่นอนเหมือนรอความตายอยู่ใต้บันไดของบ้านเรา แม่มีผื่นดำเป็นปื้นทั้งตัว วันที่แม่อาการเพียบหนักนั้นแม่อาเจียนออกมาเป็นเลือด แม่เหมือนจะหายใจไม่ได้แล้ว ฉันร้องไห้ออกมาในทันทีที่แม่พูดเรื่องนี้ แม่บอกฉันว่า คืนนั้นแม่เรียกฉันทั้งคืนให้ลงมานวดให้แม่ ฉันเดินลงบันไดมาหาแม่จนฟุบหลับไปข้างๆแม่ ปกติแม่จะเรียกฉันให้น้อยที่สุด เพราะแม่อยากให้ฉันไปโรงเรียนในตอนเช้า หากแต่คืนนั้นของแม่ แม่ทนทุกข์ทรมานไม่ไหว แม่บอกว่าแม่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะขาดใจตายลงไปแล้ว


เช้าวันรุ่งขึ้น แม่หายใจกระท่อนกระแท่น ถึงกระนั้นแม่ยังมีสติ บอกฉันว่าให้ไปตามพี่สาวลูกของป้ามา พาแม่ไปโรงพยาบาล ฉันจำได้ว่า ฉันวิ่งสุดชีวิตเพื่อไปให้ถึงบ้านพี่สาวอย่างเร็วที่สุด ฉันวิ่งไปร้องไห้ไป ในหัวใจของฉันเต็มไปด้วยความกลัวว่าทันทีที่ฉันห่างตาแม่ไป แล้วแม่จะจากฉันไปจริงๆ ฉันจะมีชีวิตอยู่อย่างไรถ้าไม่มีแม่ พวกเราหกคนพี่น้องที่กำลังกินกำลังเรียนจะว้าเหว่เพียงไหน ฉันไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้เลยถ้าไม่มีแม่ ฉันปาดน้ำตาที่พากันไหลพร่างพรูลงมา แล้ววิ่งไปจนสุดแรงของตัวเอง


ฉันบอกตัวเองว่าฉันไม่ยอมให้แม่เป็นอะไรไปหรอก ฉันจะทำทุกอย่างที่ให้แม่ดีขึ้น


ถึงบ้านพี่สาว ฉันตะโกนไปร้องไห้ไป เร็วๆเข้าพี่ พี่สาวฉันกลับมาจากกรีดยางที่สวน ยังไม่อาบน้ำ ฉันบอกเธอว่า ไม่ต้องอาบแล้ว แม่อาจรอเราไม่ไหว ไปกับฉันเถอะ พาแม่ไปโรงพยาบาลที ฉันไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้หากแม่ตาย ฉันจะตายกับแม่ พี่จ๋า พี่สาวของฉันร้องไห้แล้วแต่งตัว ให้ฉันซ้อนรถมอเตอร์ไซค์บึ่งรถมาหาแม่


หลังส่งแม่และพี่สาวขึ้นรถที่เหมาไปโรงพยาบาล พวกเราทั้งหกคนพี่น้องก็ร้องไห้กอดกันกลม พี่สาวไม่ให้พวกเราหกคนมาด้วยเพราะรู้ว่าหนทางข้างหน้านั้น ยังไม่รู้ว่าแม่จะรอดหรือเปล่า พวกเราทั้งหกจะเป็นภาระให้พี่สาวต้องลำบากใจ ทั้งหกคนพี่น้องจึงรออยู่ที่บ้านด้วยหัวใจที่สั่นไหว


ถึงโรงพยาบาล แม่บอกว่า แม่ไม่รู้สึกตัวแล้ว หมอวิ่งกันจ้าละหวั่น แม่อาเจียนออกมามีแต่เลือด หมอใส่ท่อช่วยหายใจ ผ่าตัดเส้นเลือดที่แขนเพื่อให้น้ำเกลือ ให้เลือด หมอปั๊มหัวใจแม่ แม่บอกฉันว่า แม่รู้สึกตัวตลอดเวลา หูได้ยินเสียงชัด แม่ตอบคำถามที่หมอถามได้หมดในใจ หากแต่ร่างกายที่ไม่ไหวติงของแม่นั้นมันเหมือนแม่ได้ตายไปแล้วจริงๆ


แม่บอกว่าแม่ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย แม่รู้สึกสบาย โล่ง มีความสุข มันเป็นความโปร่งเบาของชีวิตที่สุดเมื่อถึงเวลานั้น แม่บอกว่าแม่รู้สึกเหมือนออกมายืนดูหมอช่วยชีวิตแม่ไว้ แม่ยืนอยู่ข้างร่างของตัวเอง


หากแต่เมื่อแม่นึกถึงพวกเรา แม่ก็บอกตัวเองว่า อย่าตายนะ วิญญาณห้ามออกจากร่าง แม่ต้องอยู่กับลูก ลูกๆของแม่จะลำบากถ้าแม่ไม่อยู่ แม่ไม่ยอมหรอก แล้วแม่ก็เห็นฐานของพระพุทธรูปอยู่บนหัวของแม่ แม่บอกว่าแม่ขอให้มีชีวิตอยู่เพื่อดูแลลูก แม่จะตั้งใจเป็นคนดี ทำดีที่สุดถ้าแม่ไม่ตาย


แม่ยึดเอาฐานพระพุทธรูปนั้นไว้ มันทำให้แม่ไม่ลอยหายไปไหน แล้วแม่ก็หลับไป


แม่หลับไปสามวัน นอนใส่เครื่องช่วยหายใจ ไม่รู้สึกตัว วันที่แม่ฟื้นนั้น มีพี่สาวลูกป้าอีกคนเอาน้ำอบที่แม่ชอบใส่ผ้าเช็ดหน้า เช็ดให้แม่ แม่ลืมตาขึ้นมาเขียนถามพี่สาวว่า แล้วพี่สาวอีกคนไปไหน พี่สาวตอบว่า กลับบ้านไปสามวันแล้ว แม่จึงได้รู้ว่า แม่ไม่รู้สึกตัวไปสามวัน


ฉันสะอื้นหลังปล่อยน้ำตาให้ไหลมาตลอดเวลาที่ฟังแม่เล่า แม่นอนอยู่อย่างนั้นที่โรงพยาบาลถึงสามเดือน เป็นสามเดือนแห่งการจากของฉันกับแม่อย่างแท้จริง มันสุดแสนทรมานที่กลางคืนพวกเราไม่มีแม่อยู่ใกล้


พวกเราทั้งหกคนนั้นไม่เคยได้ไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล พ่อบอกว่าไม่อยากให้พวกเราไปเห็นแม่ พ่อไม่อยากให้พวกเราตกใจ พวกเราต่างได้แต่รอ รอแม่ทุกวันในตอนเย็นหลังกลับมาจากโรงเรียน ประตูบ้านของเราจะมีพวกเราหกคนนั่งเรียงราย รอแม่อย่างใจจดจ่อและเต็มไปด้วยความคิดถึง ดึกมากจึงขึ้นไปนอนด้วยความหมดหวังของวันนั้น


วันแล้ววันเล่าผ่านไปจนถึงวันที่แม่กลับมา แม่กลับมาให้เรากอดจริงๆ หลังจากพวกเราไปเนิ่นนาน แม่กลับมาบ้านในสภาพคนป่วยที่เต็มไปด้วยรอยปื้นดำๆทั้งตัว หากแต่ทันทีที่เห็นแม่กลับมา หัวใจฉันก็ฟูฟ่อง ดีใจสุดชีวิตที่เห็นแม่ลงรถมา แม่จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอเพียงแม่ยังอยู่กับพวกเรา คืนนั้น พวกเราหกคนพี่น้องต่างนอนหลับรุมล้อมรอบๆตัวแม่ ฉันเอามือกุมผ้าถุงของแม่ไว้แล้วหลับไปทั้งน้ำตา สิ่งที่ฉันภาวนาอยู่ทุกคืนเป็นจริงแล้ว แม่ของฉันกลับมาแล้ว แม่กลับมาแล้ว แม่จ๋า

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …