ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน
แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว
พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ
ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง ไม่มีร่องรอยใดๆเหลือให้รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุกับพ่อ ฉันดีใจอย่างที่สุด พ่อกลับมาเป็นพ่อคนเดิมของฉัน แม้พ่อดูแก่ลง ผมหงอกขึ้นแซมหลายเส้น หน้าตาย่นลง พ่อเดินช้าๆผ่านหน้าฉันไป เหมือนคนแก่คนหนึ่ง ฉันมองตามหลังพ่อ ฉันรู้สึกเศร้า บางสิ่งบอกฉันเงียบๆว่า พ่อมาถึงปลายทางแล้ว
พ่อเห็นบ้านฉันเป็นครั้งแรก พ่อเงยหน้าขึ้นมองหลังคา สำรวจบ้านของฉัน พ่อยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่เห็นบ้านมีหลังคาเรียบร้อย พ่อคงนึกถึงบ้านของเรา กว่าจะทำหลังคาเสร็จต้องใช้เวลาหลายปี ห้องน้ำที่ฉันรักก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ไม่มีหลังคา ตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะตามผนัง แม้ต้นมะพร้าวจะไม่อยู่แล้ว แต่ทุกครั้งที่ฉันมอง มันก็ยังอยู่ตรงนั้นเสมอ จนพวกเราโตขึ้น ต่างคนต่างแยกย้ายจากบ้านไปจนหมด บ้านก็ยังไม่เสร็จ
ฉันปลูกบ้านไว้รอพ่อ ในใจนึกวาดภาพให้พ่อเดินไปมาในบ้านที่ฉันสร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรง บ้านที่พ่อควรจะเห็น เพราะมันสร้างมาจากชีวิตที่พ่อให้มาทั้งหมด ฉันดีใจที่สุดที่มีวันนี้ วันที่พ่อมาถึงบ้าน
พ่อนั่งดูต้นไม้หน้าบ้านฉันนิ่งนาน หลังเดินสำรวจในบ้าน เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ นั่งทุกมุมในบ้านแล้ว พ่อเปิดหนังสือที่ฉันอ่าน อยู่กับเล่มนั้น เล่มนี้ไปทั้งวัน ฉันปูเสื่อตรงระเบียงหน้าบ้าน เรานั่งคุยกันถึงเรื่องโน้น เรื่องนี้ไม่รู้เบื่อ พ่อมีเรื่องตลกมากมายเล่าให้ฟัง เรื่องท้องทุ่ง เรื่องต้นไม้ใบหญ้า เรือกสวนไร่นาที่พ่อรัก วิธีการทำสวน ทำนา ตอบในเรื่องที่ฉันสงสัย จนกระจ่างแจ้ง
พลบค่ำวันนั้น ฉันแอบย่องไปนั่งดูพ่อหลับ พ่อนอนอยู่บนเตียงในห้องข้างล่าง นอนตะแคงหลับสนิท หัวใจฉันเต็มตื้นจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันเป็นภาพที่ฉันไม่เคยนึกฝัน ฉันนิ่งมองพ่ออยู่อย่างนั้น จนแม่เดินเข้ามา ถามฉันว่าทำอะไรอยู่ ฉันเช็ดน้ำตาแล้วบอกว่า นั่งมองพ่อ
รุ่งเช้าเราพากันไปเที่ยววัด ฉันตั้งใจที่จะพาพ่อไปไหว้พระ ไปขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฉันภาวนาให้ช่วยพ่อ ในคืนวันของความทุกข์ ฉันคิดไปว่า ไม่มีอะไรช่วยเราได้นอกจากความดีและสิ่งที่มองไม่เห็นเท่านั้น ปาฎิหาริย์จึงเกิดขึ้น พ่ออยู่ใกล้ๆฉันแล้ว แม้หนทางข้างหน้าเราไม่รู้ว่าจะมีเรื่องทุกข์ใดรออยู่
ถึงวัดแรก มีสระน้ำโบราณอยู่หน้าวัด สระเก่าแก่สีเขียวคล้ำปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำ พ่อแม่และฉันเดินผ่านสระไปไหว้พระที่พระเจดีย์เก่าแก่ ฉันนึกภาพในสมัยโบราณว่า ผู้คนคงพากันมากราบไหว้บูชาพระเจดีย์ไม่ขาดสาย
เราตรงกันไปที่สระน้ำ หลังได้ยินเณรบอกว่ามีปลาเก่าแก่อยู่ที่นั่น เราซื้ออาหารที่ทางวัดจัดไว้ให้ พอเราโยนอาหารลงไป คุณพระคุณเจ้า ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ ปลาที่กระโดดฮุบอาหารเป็นปลาดุกตัวใหญ่ขนาดเท่าขา หนวดมันโฮ้งยาวเหมือนหนวดคนจีนแก่ๆ ไม่ว่าเราจะโยนอาหารไปตรงไหนจะมีฝูงปลากระโดดมาฮุบ ล้วนตัวใหญ่พอๆกัน หลังฮุบอาหารแล้วมันพลิกตัวเบียดแทรกกันไปมา น้ำกระเพื่อมแล้วตัวมันก็หายไป ปลาอะไรกัน เหมือนคนโบราณโผล่ขึ้นมาว่ายเวียนวน
ฉันอุทานกับพ่อ เห็นแล้วนึกกลัวมัน พ่อหัวเราะแล้วก็บอกฉันอย่างอารมณ์ดีว่า น่ากลัวอะไร น่าจับไปทอดมากกว่า แล้วเราก็หัวเราะพร้อมกัน ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าพ่อพูดตลก เพราะฉันมีเรื่องปลาดุกของพ่อมาเล่าให้ฟัง
พ่อเคยขุดบ่อเลี้ยงปลา พ่อใส่พันธุ์ปลาดุกลงไป พ่อเลี้ยงมันเหมือนลูก
ดูแลให้ข้าวให้น้ำจนปลาตัวโต ทุกครั้งที่พวกมันได้ยินฝีเท้าพ่อเดินมา มันจะมาออกันอยู่ที่ขอบสระ ส่งสายตาขอข้าว ไม่ว่าพ่อจะเดินไปทางไหน ปลาดุกจะมองตาม
วันหนึ่งปลาดุกตัวโตมากแล้ว พ่ออยากเอาใจแม่โดยเอาปลาดุกไปฝาก พ่อใช้ถังตักแล้วหิ้วกลับบ้านมีปลาอยู่ในถังสี่ห้าตัว ไปถึงบ้านก็วางถังไว้ แม่กลับมาจากสวนยางเห็นปลาดุกในถังคอยมองตามเวลาแม่เดิน แม่ส่งเสียงหลง พ่อ พ่ออยู่ไหน เอาปลาไปเทในคลองให้แม่เถอะ หรือไม่เอากลับไปที่บ่อ พ่อก็รู้ แม่ไม่กินมันหรอก
รู้อย่างนี้ ไม่เอามาให้เหนื่อย พ่อบ่นอุบ แล้วก็หิ้วถังที่มีปลาดุกของพ่อลับหายไปปล่อยที่คลอง
แล้วข่าวปลาดุกของพ่อตัวโตก็ไปถึงหูคนอื่น มีคนมาเอ่ยปากขอมันไปกิน พ่อก็ยกปลาให้อย่างเต็มใจ เพราะพ่อก็กินมันไม่ลงเหมือนแม่ พ่อไม่รู้ว่าจะจัดการกับปลาดุกอย่างไร มันโตวันโตคืนขึ้นเรื่อยๆจนเต็มบ่อ เหมือนว่าสวรรค์จะรู้ว่าพ่อลำบากใจ วันนั้นฝนตกหนัก น้ำท่วมทุ่งนา ท่วมบ่อปลาดุกด้วย ปลาชวนกันว่ายออกจากบ่อจนเกลี้ยง ไม่รู้ว่าชาวบ้านจะได้กินปลาพ่อไปกี่ตัว
แม้พ่อจะนึกเศร้าและสงสารพวกมัน แต่พ่อกลับโล่งใจมากที่มีเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น พ่อไม่เหมือนคนเลี้ยงปลาคนอื่นที่ตีอกชกตัวเพราะเสียปลาที่เลี้ยงไว้เต็มบ่อและขาดทุนย่อยยับ พ่อกลับดีใจและเป็นสุขมากที่ไม่ต้องคอยสบตาพวกมัน เอ้อ พ้นเคราะห์ไปเสียที
นึกถึงเรื่องนี้ของพ่อทีไร พวกเราหัวเราะกันตลอด ฉันจึงรู้ว่า พ่อพูดเล่นเรื่องทอดปลาตัวใหญ่ในสระน้ำหน้าวัด ที่จริงพวกมันใหญ่กว่าปลาดุกของพ่อหลายเท่า สงสัยเป็นปลาโบราณจริงๆนะ พ่อว่า เรายืนอยู่ริมขอบสระนานมาก
หลังจากไปวัดมาสามวัด ตกเย็นเราขึ้นดอยไปดูหุบเขาที่ฉันชอบไปยืนมอง ฉันพาพ่อเดินไปไกลในป่าริมเขา พ่อเดินช้าลง แต่พ่อยังมีแรงเดิน ป่าสีครึ้มในตอนเย็นทำให้ยิ่งดูวังเวง พ่อนั่งมองเมฆหมอกที่ปกคลุมภูเขาจนฟ้าเริ่มมืด เดินมาขึ้นรถกลับบ้านตอนพลบค่ำ ขับรถไต่มาตามทางสูงชัน พ่อนิ่งเงียบ ฉันแอบมองเห็นแววตาพ่อเป็นสุข แม้พ่อจะดูเหนื่อย
รุ่งเช้าเราออกกันแต่เช้า ไปชมสวน สวนเปิดตอนแปดโมงเช้า เราห่อข้าวแกงใส่ตะกร้าไปนั่งกินกันริมสวน ขึ้นนั่งบนรถราง แล้วเดินลงไปดูต้นไม้ใกล้ๆ พ่อชอบสวนหน้าฝนที่มีต้นไม้ที่พ่อรู้จัก ต้นกะพ้อใบยาวเรียวไว้ห่อข้าวเหนียวเป็นสามเหลี่ยมที่พ่อเรียกว่า ขนมต้ม มีพันธุ์ไม้สมุนไพรที่พ่อบอกว่ามันเป็นยาอยู่หลายต้น เรานั่งกินข้าวกันในนั้นอย่างเป็นสุข เพราะอากาศข้างในสวนเย็นสบาย กินข้าวไปพลางชมสวน เราออกจากสวนในตอนเย็น หลังจากเดินกันจนเหนื่อย
กลับจากชมสวน เราเดินคุยกันต่อในสวนที่บ้านของฉัน พ่อถามถึงต้นไม้ที่ฉันปลูกไว้ ต้นกล้วยที่มีทั้งกล้วยป่า กล้วยน้ำว้าและกล้วยไข่ ต้นลูกเหรียง มะม่วงหิมพานต์ จำปาดะ ล้วนแต่เป็นต้นไม้ที่ฉันตั้งใจปลูกไว้มอง เหมือนได้ย้อนมองสีสันของวัยเด็ก พ่อบอกฉันว่ายังมีต้นไม้อีกหลายชนิดที่น่าจะปลูกไว้ หากมาหาฉันอีกครั้ง พ่อจะเอาต้นไม้มาฝาก
แม่ปลูกต้นมันขี้หนูที่ฉันชอบไว้ในสวนของฉัน ต้นของมันคล้ายต้นสาระแหน่ แต่แผ่ใบออกเป็นกอ หัวมันขี้หนูแกงส้มอร่อยมาก ในเย็นวันนั้นเองแม่ลงตะไคร้ไว้อีกหลายต้น หลังฝนลงมันพากันแตกยอดแผ่ใบให้เห็นจนเต็มสวน ดอกดาหลาสีขาวบานแผ่กลีบให้เห็น ฉันชวนพ่อไปดู พ่อบอกกลีบดอกมันกินได้ จิ้มน้ำพริกอร่อยมาก ยังมีต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่แขวนไว้ที่ซุ้มไม้ ฉันบอกพ่อว่าทุกครั้งที่มองเห็น คิดถึงข้าวเหนียวใส่น้ำกะทิหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่แม่ชอบทำ พ่อหัวเราะ คงเห็นฉันคิดถึงแต่ของกิน
วันคืนแห่งความสุขหมุนเวียนผ่านมา เพื่อบอกลาวันทุกข์ของเราที่เพิ่งผ่านพ้นไป เหมือนรางวัลชีวิตตอบแทนความเหนื่อยล้า พ่อดั้นด้นมาเพื่อเป็นสายลมให้ฉันชื่นใจ เป็นธรรมดาโลกที่ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ ทุกอย่างมันเป็นอย่างนั้น พ่อว่า
ทุกอย่างเงียบงัน แม้แต่ใบไม้หน้าบ้านยังหยุดเคลื่อนไหวเมื่อพ่อเดินหิ้วกระเป๋าออกไปจากประตูบ้าน แสงแดดอ่อนลงเมื่อพระอาทิตย์คล้อยผ่านยอดไม้ ดอกชบาหน้าบ้านใกล้ร่วง หุบกลีบหักพับคากิ่ง สายฝนโปรยปรายลงมา พ่อกอดฉันไว้ แขนของพ่อเย็นชื้น
ฉันเหม่อมองผ่านม่านน้ำ เห็นพ่อนั่งบนรถไฟ เสียงระฆังของสถานีดังขึ้นแล้วรถไฟค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา สายฝนกระหน่ำลงมา เสียงย่ำล้อบนรางเหล็กดังสะเทือนเข้ามาในอก รถไฟแล่นผ่านม่านน้ำไกลออกไป ฝนเทลงมาหนักขึ้น เสียงฟ้าร้องเมฆคำราม ประกายไฟจากขอบฟ้าแลบแปลบปลาบ ฉันเดินเปียกปอนมาขึ้นรถ ขับรถฝ่าสายฝนกลับบ้าน เดินเข้ารั้วบ้าน เปิดประตู