Skip to main content

ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน

แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว

พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ

ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง ไม่มีร่องรอยใดๆเหลือให้รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุกับพ่อ ฉันดีใจอย่างที่สุด พ่อกลับมาเป็นพ่อคนเดิมของฉัน แม้พ่อดูแก่ลง ผมหงอกขึ้นแซมหลายเส้น หน้าตาย่นลง พ่อเดินช้าๆผ่านหน้าฉันไป เหมือนคนแก่คนหนึ่ง ฉันมองตามหลังพ่อ ฉันรู้สึกเศร้า บางสิ่งบอกฉันเงียบๆว่า พ่อมาถึงปลายทางแล้ว

พ่อเห็นบ้านฉันเป็นครั้งแรก พ่อเงยหน้าขึ้นมองหลังคา สำรวจบ้านของฉัน พ่อยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่เห็นบ้านมีหลังคาเรียบร้อย พ่อคงนึกถึงบ้านของเรา กว่าจะทำหลังคาเสร็จต้องใช้เวลาหลายปี ห้องน้ำที่ฉันรักก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ไม่มีหลังคา ตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะตามผนัง แม้ต้นมะพร้าวจะไม่อยู่แล้ว แต่ทุกครั้งที่ฉันมอง มันก็ยังอยู่ตรงนั้นเสมอ จนพวกเราโตขึ้น ต่างคนต่างแยกย้ายจากบ้านไปจนหมด บ้านก็ยังไม่เสร็จ

ฉันปลูกบ้านไว้รอพ่อ ในใจนึกวาดภาพให้พ่อเดินไปมาในบ้านที่ฉันสร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรง บ้านที่พ่อควรจะเห็น เพราะมันสร้างมาจากชีวิตที่พ่อให้มาทั้งหมด ฉันดีใจที่สุดที่มีวันนี้ วันที่พ่อมาถึงบ้าน

พ่อนั่งดูต้นไม้หน้าบ้านฉันนิ่งนาน หลังเดินสำรวจในบ้าน เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ นั่งทุกมุมในบ้านแล้ว พ่อเปิดหนังสือที่ฉันอ่าน อยู่กับเล่มนั้น เล่มนี้ไปทั้งวัน ฉันปูเสื่อตรงระเบียงหน้าบ้าน เรานั่งคุยกันถึงเรื่องโน้น เรื่องนี้ไม่รู้เบื่อ พ่อมีเรื่องตลกมากมายเล่าให้ฟัง เรื่องท้องทุ่ง เรื่องต้นไม้ใบหญ้า เรือกสวนไร่นาที่พ่อรัก วิธีการทำสวน ทำนา ตอบในเรื่องที่ฉันสงสัย จนกระจ่างแจ้ง

พลบค่ำวันนั้น ฉันแอบย่องไปนั่งดูพ่อหลับ พ่อนอนอยู่บนเตียงในห้องข้างล่าง นอนตะแคงหลับสนิท หัวใจฉันเต็มตื้นจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันเป็นภาพที่ฉันไม่เคยนึกฝัน ฉันนิ่งมองพ่ออยู่อย่างนั้น จนแม่เดินเข้ามา ถามฉันว่าทำอะไรอยู่ ฉันเช็ดน้ำตาแล้วบอกว่า นั่งมองพ่อ

รุ่งเช้าเราพากันไปเที่ยววัด ฉันตั้งใจที่จะพาพ่อไปไหว้พระ ไปขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฉันภาวนาให้ช่วยพ่อ ในคืนวันของความทุกข์ ฉันคิดไปว่า ไม่มีอะไรช่วยเราได้นอกจากความดีและสิ่งที่มองไม่เห็นเท่านั้น ปาฎิหาริย์จึงเกิดขึ้น พ่ออยู่ใกล้ๆฉันแล้ว แม้หนทางข้างหน้าเราไม่รู้ว่าจะมีเรื่องทุกข์ใดรออยู่

ถึงวัดแรก มีสระน้ำโบราณอยู่หน้าวัด สระเก่าแก่สีเขียวคล้ำปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำ พ่อแม่และฉันเดินผ่านสระไปไหว้พระที่พระเจดีย์เก่าแก่ ฉันนึกภาพในสมัยโบราณว่า ผู้คนคงพากันมากราบไหว้บูชาพระเจดีย์ไม่ขาดสาย

เราตรงกันไปที่สระน้ำ หลังได้ยินเณรบอกว่ามีปลาเก่าแก่อยู่ที่นั่น เราซื้ออาหารที่ทางวัดจัดไว้ให้ พอเราโยนอาหารลงไป คุณพระคุณเจ้า ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ ปลาที่กระโดดฮุบอาหารเป็นปลาดุกตัวใหญ่ขนาดเท่าขา หนวดมันโฮ้งยาวเหมือนหนวดคนจีนแก่ๆ ไม่ว่าเราจะโยนอาหารไปตรงไหนจะมีฝูงปลากระโดดมาฮุบ ล้วนตัวใหญ่พอๆกัน หลังฮุบอาหารแล้วมันพลิกตัวเบียดแทรกกันไปมา น้ำกระเพื่อมแล้วตัวมันก็หายไป ปลาอะไรกัน เหมือนคนโบราณโผล่ขึ้นมาว่ายเวียนวน

ฉันอุทานกับพ่อ เห็นแล้วนึกกลัวมัน พ่อหัวเราะแล้วก็บอกฉันอย่างอารมณ์ดีว่า น่ากลัวอะไร น่าจับไปทอดมากกว่า แล้วเราก็หัวเราะพร้อมกัน ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าพ่อพูดตลก เพราะฉันมีเรื่องปลาดุกของพ่อมาเล่าให้ฟัง

พ่อเคยขุดบ่อเลี้ยงปลา พ่อใส่พันธุ์ปลาดุกลงไป พ่อเลี้ยงมันเหมือนลูก

ดูแลให้ข้าวให้น้ำจนปลาตัวโต ทุกครั้งที่พวกมันได้ยินฝีเท้าพ่อเดินมา มันจะมาออกันอยู่ที่ขอบสระ ส่งสายตาขอข้าว ไม่ว่าพ่อจะเดินไปทางไหน ปลาดุกจะมองตาม

วันหนึ่งปลาดุกตัวโตมากแล้ว พ่ออยากเอาใจแม่โดยเอาปลาดุกไปฝาก พ่อใช้ถังตักแล้วหิ้วกลับบ้านมีปลาอยู่ในถังสี่ห้าตัว ไปถึงบ้านก็วางถังไว้ แม่กลับมาจากสวนยางเห็นปลาดุกในถังคอยมองตามเวลาแม่เดิน แม่ส่งเสียงหลง พ่อ พ่ออยู่ไหน เอาปลาไปเทในคลองให้แม่เถอะ หรือไม่เอากลับไปที่บ่อ พ่อก็รู้ แม่ไม่กินมันหรอก

รู้อย่างนี้ ไม่เอามาให้เหนื่อย พ่อบ่นอุบ แล้วก็หิ้วถังที่มีปลาดุกของพ่อลับหายไปปล่อยที่คลอง

แล้วข่าวปลาดุกของพ่อตัวโตก็ไปถึงหูคนอื่น มีคนมาเอ่ยปากขอมันไปกิน พ่อก็ยกปลาให้อย่างเต็มใจ เพราะพ่อก็กินมันไม่ลงเหมือนแม่ พ่อไม่รู้ว่าจะจัดการกับปลาดุกอย่างไร มันโตวันโตคืนขึ้นเรื่อยๆจนเต็มบ่อ เหมือนว่าสวรรค์จะรู้ว่าพ่อลำบากใจ วันนั้นฝนตกหนัก น้ำท่วมทุ่งนา ท่วมบ่อปลาดุกด้วย ปลาชวนกันว่ายออกจากบ่อจนเกลี้ยง ไม่รู้ว่าชาวบ้านจะได้กินปลาพ่อไปกี่ตัว

แม้พ่อจะนึกเศร้าและสงสารพวกมัน แต่พ่อกลับโล่งใจมากที่มีเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น พ่อไม่เหมือนคนเลี้ยงปลาคนอื่นที่ตีอกชกตัวเพราะเสียปลาที่เลี้ยงไว้เต็มบ่อและขาดทุนย่อยยับ พ่อกลับดีใจและเป็นสุขมากที่ไม่ต้องคอยสบตาพวกมัน เอ้อ พ้นเคราะห์ไปเสียที

นึกถึงเรื่องนี้ของพ่อทีไร พวกเราหัวเราะกันตลอด ฉันจึงรู้ว่า พ่อพูดเล่นเรื่องทอดปลาตัวใหญ่ในสระน้ำหน้าวัด ที่จริงพวกมันใหญ่กว่าปลาดุกของพ่อหลายเท่า สงสัยเป็นปลาโบราณจริงๆนะ พ่อว่า เรายืนอยู่ริมขอบสระนานมาก


หลังจากไปวัดมาสามวัด ตกเย็นเราขึ้นดอยไปดูหุบเขาที่ฉันชอบไปยืนมอง ฉันพาพ่อเดินไปไกลในป่าริมเขา พ่อเดินช้าลง แต่พ่อยังมีแรงเดิน ป่าสีครึ้มในตอนเย็นทำให้ยิ่งดูวังเวง พ่อนั่งมองเมฆหมอกที่ปกคลุมภูเขาจนฟ้าเริ่มมืด เดินมาขึ้นรถกลับบ้านตอนพลบค่ำ ขับรถไต่มาตามทางสูงชัน พ่อนิ่งเงียบ ฉันแอบมองเห็นแววตาพ่อเป็นสุข แม้พ่อจะดูเหนื่อย

รุ่งเช้าเราออกกันแต่เช้า ไปชมสวน สวนเปิดตอนแปดโมงเช้า เราห่อข้าวแกงใส่ตะกร้าไปนั่งกินกันริมสวน ขึ้นนั่งบนรถราง แล้วเดินลงไปดูต้นไม้ใกล้ๆ พ่อชอบสวนหน้าฝนที่มีต้นไม้ที่พ่อรู้จัก ต้นกะพ้อใบยาวเรียวไว้ห่อข้าวเหนียวเป็นสามเหลี่ยมที่พ่อเรียกว่า ขนมต้ม มีพันธุ์ไม้สมุนไพรที่พ่อบอกว่ามันเป็นยาอยู่หลายต้น เรานั่งกินข้าวกันในนั้นอย่างเป็นสุข เพราะอากาศข้างในสวนเย็นสบาย กินข้าวไปพลางชมสวน เราออกจากสวนในตอนเย็น หลังจากเดินกันจนเหนื่อย

กลับจากชมสวน เราเดินคุยกันต่อในสวนที่บ้านของฉัน พ่อถามถึงต้นไม้ที่ฉันปลูกไว้ ต้นกล้วยที่มีทั้งกล้วยป่า กล้วยน้ำว้าและกล้วยไข่ ต้นลูกเหรียง มะม่วงหิมพานต์ จำปาดะ ล้วนแต่เป็นต้นไม้ที่ฉันตั้งใจปลูกไว้มอง เหมือนได้ย้อนมองสีสันของวัยเด็ก พ่อบอกฉันว่ายังมีต้นไม้อีกหลายชนิดที่น่าจะปลูกไว้ หากมาหาฉันอีกครั้ง พ่อจะเอาต้นไม้มาฝาก

แม่ปลูกต้นมันขี้หนูที่ฉันชอบไว้ในสวนของฉัน ต้นของมันคล้ายต้นสาระแหน่ แต่แผ่ใบออกเป็นกอ หัวมันขี้หนูแกงส้มอร่อยมาก ในเย็นวันนั้นเองแม่ลงตะไคร้ไว้อีกหลายต้น หลังฝนลงมันพากันแตกยอดแผ่ใบให้เห็นจนเต็มสวน ดอกดาหลาสีขาวบานแผ่กลีบให้เห็น ฉันชวนพ่อไปดู พ่อบอกกลีบดอกมันกินได้ จิ้มน้ำพริกอร่อยมาก ยังมีต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่แขวนไว้ที่ซุ้มไม้ ฉันบอกพ่อว่าทุกครั้งที่มองเห็น คิดถึงข้าวเหนียวใส่น้ำกะทิหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่แม่ชอบทำ พ่อหัวเราะ คงเห็นฉันคิดถึงแต่ของกิน

วันคืนแห่งความสุขหมุนเวียนผ่านมา เพื่อบอกลาวันทุกข์ของเราที่เพิ่งผ่านพ้นไป เหมือนรางวัลชีวิตตอบแทนความเหนื่อยล้า พ่อดั้นด้นมาเพื่อเป็นสายลมให้ฉันชื่นใจ เป็นธรรมดาโลกที่ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ ทุกอย่างมันเป็นอย่างนั้น พ่อว่า

ทุกอย่างเงียบงัน แม้แต่ใบไม้หน้าบ้านยังหยุดเคลื่อนไหวเมื่อพ่อเดินหิ้วกระเป๋าออกไปจากประตูบ้าน แสงแดดอ่อนลงเมื่อพระอาทิตย์คล้อยผ่านยอดไม้ ดอกชบาหน้าบ้านใกล้ร่วง หุบกลีบหักพับคากิ่ง สายฝนโปรยปรายลงมา พ่อกอดฉันไว้ แขนของพ่อเย็นชื้น

ฉันเหม่อมองผ่านม่านน้ำ เห็นพ่อนั่งบนรถไฟ เสียงระฆังของสถานีดังขึ้นแล้วรถไฟค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา สายฝนกระหน่ำลงมา เสียงย่ำล้อบนรางเหล็กดังสะเทือนเข้ามาในอก รถไฟแล่นผ่านม่านน้ำไกลออกไป ฝนเทลงมาหนักขึ้น เสียงฟ้าร้องเมฆคำราม ประกายไฟจากขอบฟ้าแลบแปลบปลาบ ฉันเดินเปียกปอนมาขึ้นรถ ขับรถฝ่าสายฝนกลับบ้าน เดินเข้ารั้วบ้าน เปิดประตู


บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอเป็นเพื่อนฉัน เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมนั่นแล้ว แม้ว่าฉันจะเป็นเด็กเรียนที่นั่งโต๊ะตัวแรกกลางห้องของ แถวที่สามจากโต๊ะทั้งหมดห้าแถว ครูจะมายืนที่หน้าโต๊ะของฉันทุกคน เวลาครูสอน น้ำลายจากปากครูจะกระเด็นลงบนหัวฉัน ฉันต้องคอยเอาสมุดปิดหัวไว้และสระผมทุกวัน ทุกครั้งที่สอบฉันจะได้ตำแหน่งที่หนึ่งหรือที่สองของห้องเสมอ เธอนั่งอยู่โต๊ะรองสุดท้ายของแถวที่ห้าของห้อง
มาลำ
พี่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งบนโลกใบนี้ แม้พี่จะเป็นนักเขียนที่ฉันหลงรักตั้งแต่หัดอ่านหนังสือ แต่ก็เพียงชื่นชอบอยู่ไกลๆ เราพบกันที่ร้านเล่าเสมอ เวลามีกิจกรรมต่างๆ พี่จะมากันทั้งครอบครัวพ่อ แม่ ลูกสาว ลูกชาย ฉันมักแอบมองพี่แล้วทึ่งในถ้อยคำที่พี่เขียน มันออกมาจากส่วนไหนของพี่หนอ ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน มันต้องเป็นที่หัวใจแน่ๆเลย เพราะพี่ดูเป็นคนดีเหลือเกิน
มาลำ
ตอนเด็กๆ ฉันเป็นเด็กที่น่ารังเกียจ ขี้โกรธ เอาแต่ใจตัวเอง สกปรก ชอบเกี่ยงงานให้พี่สาวทำงานหนักจนตัวแคระแกร็น ส่วนตัวชอบหนีเที่ยว ไปเก็บเห็ดบ้าง ไปตกปลาบ้าง ทั้งที่รู้ว่า กลับมาบ้านแม่จะตีฉันจนยับเยิน หากแต่ฉันไม่เคยนึกกลัว เจ็บแล้วหายวันรุ่งขึ้นไปใหม่
มาลำ
ฝนตกพรำๆ เจ้าหลานสาวอายุสิบหกของฉัน ที่แม่น้องสาวฝากให้ดูแล ส่งเล่าเรียนตั้งแต่ชั้นมอสี่ยังไม่เข้าบ้าน  นาฬิกาข้างฝาบอกเวลายี่สิบสองนาฬิกา เกิดอะไรขึ้นกับเธอหนอ ในอกของฉันเหมือนถูกไฟโลกันต์แผดเผา โทรหาอย่างไรเธอก็ไม่รับสายเหมือนเธอล่องหน ไปไหนหนอ เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง เธอทำอะไร อยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่เข้าบ้าน ออกไปตามที่ไหนดี และถ้าอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเธอ ใครหนอจะช่วยเธอได้
มาลำ
ศรีตรังคลี่กลีบสีม่วงสวยออกมาแย้มยิ้ม  ทักทายสายลมร้อน เฉลา อินทนิล โบกกลีบ มาถึงแล้วสีม่วงสุดสวย ละมุนละไม แดดร้อนตอนเที่ยงวัน เนื้อตัวเหมือนแสบไหม้ ไอร้อนจากถนนโชยมา ฉันก้มหน้าก้มตาเดิน หาต้นไม้ในหัวใจสักต้น โน่นไง ฉันก้าวเท้าเข้าไปหา ไฮเดรนเยียสีโปรดของฉัน สีม่วงครามกำลังบาน บ่ายแล้ว ผู้หญิงหน้าตาไหม้เกรียมกำลังหอบต้นไม้ออกดอกสีม่วงขึ้นรถมุ่งตรงไปวัด
มาลำ
บ้านของย่าอยู่ริมฝั่งคลอง เป็นบ้านไม้ยกสูง เวลาเดินแผ่นไม้ในบ้านส่งเสียงดังตามจังหวะการเดิน ย่าคอยบอก เดินค่อยๆนะลูก ย่องๆเดินนะทำเป็นไหม จะได้ไม่มีเสียงดัง ย่าชอบทำขนม ที่บ้านย่าจึงมีหลานๆเต็มบ้าน  ลูกๆของน้าชาย น้าสาวและพี่น้องของฉันอีกหกคน หนึ่งในเด็กหลายคนนั้น มีอยู่คนเดียวที่เป็นเหตุผลของการขอแม่ไปนอนบ้านย่าของฉัน เขาเป็นลูกของน้าสาว อายุเท่าฉัน ตัวโต ผิวคล้ำ ดวงตาเขาเศร้า ท่าทีเงียบขรึม   เขาว่ายน้ำเก่ง จับปลาได้คล่องแคล่ว   ไม่มีท่าทีรำคาญที่พี่สาวอย่างฉัน คอยเดินตามเขา คอยถามโน่นถามนี่ตลอดเวลา ฉันติดเขาแจจนย่าออกปาก ระวังนะ เหาบนหัวจะกระโดดมาหากัน…
มาลำ
น้ำในคลองวังหยีสีเขียวเข้ม ชื่อคลองวังหยีเพราะมีต้นหยีต้นใหญ่อยู่ริมฝั่ง เป็นคลองสายหลักที่ไหลผ่านทุ่งนากว้างใหญ่ของหมู่บ้าน น้ำจะไหลเชี่ยวและกัดเซาะทุกอย่างที่ขวางหน้า ก่อนจะไหลข้ามสะพาน น้ำจะไหลเอื่อยลงไปในแอ่งลึกที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเรียกว่าวัง น้ำในวังจะสีเขียวเข้มกว่าส่วนอื่น เพราะความลึกของมัน แค่เพ่งมองฉันก็นึกกลัวขึ้นมา ยิ่งแว่วเสียงคนบอกเล่า มีผีพรายอยู่ในวังด้วยนะ ผีพรายเป็นผู้หญิงผมยาวที่เฝ้าอยู่ในวัง เวลาเล่นน้ำระวังเถิดมันจะมาดึงขาลากลงไปอยู่ในวังด้วยกัน ฉันกลัวจนตัวสั่น ทำให้ฉันต้องลืมตาทุกครั้งเวลาดำน้ำ หลังไปช่วยแม่เก็บน้ำยางที่สวน…
มาลำ
  หนังสือชื่อ ผมเป็นมะเร็งอายุ 5 ขวบ วางอยู่บนโต๊ะของฉันมานาน ฉันทำได้แค่มองผ่าน ทั้งที่อยากจะเปิดอ่านเหลือเกิน ฉันชอบอ่านหนังสือเพราะโลกของฉันมันแสนเศร้า เวลาที่ปวดร้าวฉันต้องนั่งลงเปิดหนังสือแล้วทุ่มตัวลงอ่าน อ่านเหมือนคนที่ไม่เคยได้อ่านมาตลอดชีวิต นึกถึงคำของแม่เวลาที่ฉันช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว ฉันช่วยแม่ตำน้ำพริก แม่จะโวยวายใส่ฉันทุกครั้งที่ฉันวางหนังสือไว้ข้างตัว แม่บอกว่าเลิกอ่านก่อน ทำงานให้แม่เสร็จก่อน ฉันหัวเราะแล้วหยิบเอากระดาษห่อของยกขึ้นมาอ่าน ตำน้ำพริกไปด้วยสำหรับหนังสือเล่มนี้ของฉัน แค่มองเห็นหน้าเด็กชายคนนี้ที่นอนชูสองนิ้วยิ้มหวานปากแดงแล้วบอกว่า…
มาลำ
  น้องรัก ไปสู่ความสงบที่สุดนะ เวลาของเธอมาถึง  เธอผ่านพ้นความทรมานแล้ว  แม้เรายังไม่ได้พบกัน เสียงเพลงของเธอยังดังกังวานให้ฉันได้ยิน ถ้อยคำที่เธอพูดยังดังแว่วอยู่ในหู เสียงเธอที่สดใสหลังฟังเพลงด้วยกันยังดังอยู่ แม้มือของฉันเอื้อมไปไม่ถึงเธอ  เราจากกันเสียแล้ว    ทำไมหนอชีวิตได้โหดร้ายนัก เธออายุสี่สิบปีเท่านั้นเอง ...........................                                     …
มาลำ
เสียงเธอดังแว่วแผ่วมาตามสาย อยู่โรงพยาบาลครับพี่ ท้องบวมแล้วเหนื่อยมาก หมอให้นอนให้น้ำเกลือ เหนื่อยครับเหนื่อยจัง เธอพูดเหมือนเพ้อ ฟังไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน บางตอนเหมือนคนไข้ที่กำลังแย่แล้วเสียงหอบหายใจแรงดังเข้ามาในสาย ฉันตกใจ ละล้าละลัง ฟังเธอพูดแล้วนึกอยากไปให้ถึงตัวเธอในเดี๋ยวนั้น เธอยื่นหูโทรศัพท์ไปให้แม่ของเธอที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง หลังจากที่เธอพูดสลับหอบให้ฉันฟังอยู่นาน ฉันจึงได้รู้ว่าอาการของเธอไม่ค่อยดี แม่บอกว่าหมอจำหน่ายแล้ว ฉันฟังแล้วไม่เข้าใจ ถามกลับแม่ไปว่า แล้วเธอจะกลับบ้านได้อย่างไรหล่ะแม่ เธอเหนื่อยออกจะแย่อย่างนั้น แค่ลุกจากเตียง เธอยังลุกไม่ไหวใช่ไหม…
มาลำ
เสียงของเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มาในค่ำวันหนึ่ง ผมจะบวชกลางเดือนนี้ครับ โทรมาให้พี่อโหสิกรรมให้ด้วย ฉันถามเธอว่า บวชนานแค่ไหนเล่า เธอตอบว่า หนึ่งเดือนครับ ฉันบอกเธอว่าดีมากเลยที่ได้มีเวลาอย่างนี้ อย่างน้อยเป็นการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งขึ้น หลังจากที่เราต้องเผชิญกับเรื่องราวหนักหน่วงของชีวิต ฉันอนุโมทนาด้วย ขอให้ใช้วันเวลาในผ้าเหลืองอย่างเป็นสุข หลังจากวันนั้นเสียงเธอหายไป ฉันนึกถึงวันผ่านที่เราเคยโบกรถไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุด ฉันและเพื่อนห้าคนรวมทั้งเธอผู้อาสาเป็นคนนำทาง เราเล่นน้ำในน้ำตกมวกเหล็ก ก่อนจะนั่งรถต่อไปดูฟาร์มโคนม วังตะไคร้ สายลมผ่านเนื้อตัวเย็นชื่น…
มาลำ
ใครจะนึกว่าเธอต้องเดินเข้าไปในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ โรงพยาบาลนี้ เธอเคยเดินมาตั้งแต่ยังเล็ก เป็นเด็กในโรงพยาบาลที่คุ้นเคยกับทุกคน เป็นโรงพยาบาลที่ฉันเคยไปฝึกงาน ได้รู้จักกับเธอในครั้งแรกเธอเดินเข้าไปตรวจ เป็นอะไรไม่รู้ครับ มันแน่นๆท้อง กินอะไรไม่ค่อยลง หมอที่ตรวจก็เป็นหมอรู้จักกัน กดท้องของเธอแล้วบอกเบาๆว่าตับโตมาก เธอกินเหล้ามากเกินไปหรือเปล่า สูบบุหรี่ด้วยใช่ไหม ลดลงบ้างนะ หมอบอกเธอกี่ปีแล้วนะที่ใช้ชีวิตอย่างนี้ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เธอรำพึงหลังปั่นจักรยานกลับบ้าน คำพูดหมอดังแว่วมา สงสัยเป็นตับแข็งนะ ต้องทำอัลตราซาวด์ดูแล้ว วันคืนของเธอกำลังสั้นลงแล้ว…