Skip to main content

  

หนังสือชื่อ ผมเป็นมะเร็งอายุ 5 ขวบ วางอยู่บนโต๊ะของฉันมานาน ฉันทำได้แค่มองผ่าน ทั้งที่อยากจะเปิดอ่านเหลือเกิน ฉันชอบอ่านหนังสือเพราะโลกของฉันมันแสนเศร้า เวลาที่ปวดร้าวฉันต้องนั่งลงเปิดหนังสือแล้วทุ่มตัวลงอ่าน อ่านเหมือนคนที่ไม่เคยได้อ่านมาตลอดชีวิต นึกถึงคำของแม่เวลาที่ฉันช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว ฉันช่วยแม่ตำน้ำพริก แม่จะโวยวายใส่ฉันทุกครั้งที่ฉันวางหนังสือไว้ข้างตัว แม่บอกว่าเลิกอ่านก่อน ทำงานให้แม่เสร็จก่อน ฉันหัวเราะแล้วหยิบเอากระดาษห่อของยกขึ้นมาอ่าน ตำน้ำพริกไปด้วย


สำหรับหนังสือเล่มนี้ของฉัน แค่มองเห็นหน้าเด็กชายคนนี้ที่นอนชูสองนิ้วยิ้มหวานปากแดงแล้วบอกว่า หากพยายามต้องมีความสุขได้แน่ครับ แค่นั้นน้ำตาของฉันก็ปริ่มออกมาแล้ว โถ เด็กน้อย เธอยังให้กำลังใจคนอื่นอีกหรือ หัวใจของฉันแทบละลาย ฉันไม่กล้าที่จะเปิดมันออกมา เพราะฉันรู้ว่าความเศร้าและเรื่องราวของเขาจะตอกย้ำบาดแผลในใจฉันนั้น ทำให้ฉันต้องร้องไห้ไปทั้งวัน


หากวันนี้มาถึงจนได้ ฉันต้องเปิดหนังสือเล่มนี้ออกมาอ่าน ฉันมีคนไข้ที่เป็นมะเร็งมากมายขึ้น มะเร็งที่มีแต่ความโหดร้ายทรมาน มะเร็งที่ทำให้มนุษย์ผู้ที่ชนะทุกสิ่งในโลกราบคาบ มะเร็งถ้อยคำที่ไม่มีใครอยากได้ยิน สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของมันคงเป็นความทรมานของการมีชีวิตอยู่ มะเร็งทำให้สิ่งที่มีอยู่กลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มันพรากคนทีเรารักไปจากเราอย่างเลือดเย็นที่สุด


คนไข้หลายคนของฉัน หายไปทีละคน ทีละคน แต่มันไม่เคยหยุด มีคนใหม่เข้ามานอนแทนที่ ทุกคนล้วนทุกข์ทรมาน น่าเวทนา เป็นเวลาของหนังสือเล่มนี้แล้ว อย่างน้อยมันคงเป็นประโยชน์สำหรับคนไข้ของฉันบ้าง บางคราวเราต้องเฉือนหัวใจตัวเองเพื่อทำบางสิ่งที่กล้าหาญ ฉันบอกตัวเองอย่างนั้นแล้วเปิดมันออกมา


หนังสือเล่มนี้เขียนโดยแม่ของเด็กชายนาโอะ พ่อแม่ที่มีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย แม่อายุ 19 ส่วนพ่ออายุ 20 ปี แม่ยอมรับว่าไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการมีลูกเลย แม่และพ่อจบเพียงมัธยมต้น ถึงกระนั้น แม่ก็เลี้ยงนาโอะมาอย่างเข้มแข็งและเข้มงวด แล้วคำพูดของพี่เลี้ยงที่เนอสเซอรี่ทำให้แม่ฉุกคิด เธอพูดว่า คุณแม่เคยกอดลูกหรือเปล่าค่ะ ทำไมเวลากอดนาโอะ เขาถึงได้ตัวแข็งอย่างนั้น แม่ถึงคิดได้ว่า ไม่ได้กอดลูกเลย ทำเพียงเอาลูกขี่หลังเท่านั้น


ถึงกระนั้นครอบครัวของเขาก็อบอุ่น แม่มีน้องชายอีกคนชื่อเรียวยะ ลูกทั้งสองคนสนิทกับพ่อมาก นาโอะเองติดพ่อมาก ทุกอย่างดูน่าจะราบรื่น จนมาถึงวันที่นาโอะอายุห้าขวบครึ่ง วันแรกของการมาเยือนของมะเร็ง เขาเริ่มมีไข้ บ่นเจ็บหน้าอกทุกครั้งที่หายใจเข้า แม่พาไปหาหมอ ได้ยามา อาการยิ่งแย่ลง เขาฉี่เป็นสีดำ เจ็บหน้าอกจนนอนไม่หลับ แม่ตกใจมาก พาเขาเข้าโรงพยาบาล หมอเอกซเรย์แล้วเจอเงาใหญ่ที่อกข้างขวา หลังให้ยาเขาดีขึ้น กลับบ้านได้แล้วต้องกลับมานอนโรงพยาบาลอีกด้วยอาการเดิม คราวนี้ยาวนานถึงสองเดือน จนย้ายไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งตามที่หมอแนะนำ


หมอที่โรงพยาบาลนี้ขอผ่าตัดเพื่อเอาชิ้นเนื้อในปอดออกไปตรวจเท่านั้น

เมื่อแม่บอกลูกว่า หมอแค่เอาส่วนที่เป็นเชื้อโรคออกนะจ้ะ นาโอะคงกลัวเหมือนกัน แต่เขาก็เงียบๆ เหมือนไม่อยากให้แม่และพ่อลำบากใจ เขายอมผ่าตัดแต่โดยดี


แต่การผ่าตัดยาวนานไปถึง 9 ชั่วโมง และเมื่อหมอออกมาจากห้องผ่าตัด แม่และพ่อของนาโอะก็หัวใจสลายหมอบอกว่า นาโอะเป็นมะเร็งที่ปอดข้างขวา ได้ลุกลามไปยังกระดูกซี่โครงสามท่อน และขยายลามไปบีบปอดไว้ หมอจึงต้องตัดกระดูกซี่โครงทั้งสามท่อนออก ตัดเนื้อร้ายที่ลุกลามออกไป ถ้อยคำของหมอทำให้แม่ตัวสั่นไม่หยุด เธอบังคับตัวเองให้หยุดสั่นไม่ได้ พ่อของนาโอะน้ำตาไหลตลอดเวลาที่ฟังหมอพูด


นาโอะออกจากห้องผ่าตัดด้วยสภาพที่แม่ตกตะลึง ทั่วร่างเขาถูกสายเสียบไว้ไม่รู้ว่าสักกี่สาย ตรงปากมีหน้ากากออกซิเจนครอบไว้ หัวใจของแม่และพ่อแหลกเหลวลงตรงนั้น


เมื่อเข้าไปหาลูกในห้องไอซียู แม่พร่ำบอกว่า พยายามไว้นะลูก เข้มแข็งไว้นะ เขาทำได้เพียงลืมตามาดูแล้วหลับต่อ


ออกจากห้องไอซียู พ่อปล่อยโฮหน้าห้องจนแม่ตกใจ พ่อบอกว่า ตอนที่

นาโอะนอนไม่ได้สติอยู่นั่น นาโอะกระซิบบอกพ่อด้วยเสียงแผ่วเบาว่า พ่ออย่าลืมนะ นาโอะอยู่ที่นี่นะ พ่ออย่าลืมนะ พ่อตอบกลับไป ไม่ลืมหรอก


พ่อแม่นั่งน้ำตาไหลไปตลอดทางที่นั่งรถไฟกลับบ้าน พร่ำพูดว่า เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่น่าเชื่อเลย นั่นเป็นถ้อยคำเดียวกันที่ฉันเคยได้ยิน และฉันเคยพูดคำพูดนั้นมาแล้วเช่นกัน


นับเวลาหลังจากนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทุกคนต้องเผชิญกับความเจ็บปวด

นาโอะต้องได้รับเคมีบำบัดจนผมร่วงหมดหัว แม่และพ่อต้องนอนคุยกันทั้งคืน คุยกันถึงความตาย การมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดหรือเกิดขึ้นมาก่อนเลย การเจ็บป่วยของลูก เชื่อมหัวใจของแม่และพ่อเข้ามาหากัน คำพูดใดเล่าที่จะช่วยทำให้ลูกไม่กลัวการผ่าตัด สิ่งใดบ้างที่จะเยียวยาหัวใจน้อยๆของลูกได้

 

แม่และพ่อต้องนั่งรถไฟถึงสองต่อ ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงโรงพยาบาลได้ แม่ออกจากบ้านตอนเที่ยง เพื่อให้ทันเวลาเข้าเยี่ยมบ่ายสามโมง แม่จะอยู่กับนาโอะจนถึงหนึ่งทุ่ม หมดเวลาเยี่ยม แม่นั่งรถไฟกลับ กว่าจะถึงบ้านสามทุ่ม หรือบางคราวเลยไปถึงเที่ยงคืน ตลอดทางที่นั่งรถไฟไปกลับโรงพยาบาลและบ้านนั้น แม่นั่งดูผู้คนบนรถแล้วรำพึงรำพันกับตัวเองว่า ทำไมหนอ เราจึงต้องเจอเรื่องอย่างนี้ ทำไมคนอื่นถึงมีความสุขกันอยู่


แต่แม่ก็ยังมีจิตใจที่เข้มแข็ง สี่ปีที่นาโอะต้องเข้ารับการรักษา แม่ได้รู้ว่า เธอได้ใกล้ชิดลูกมากขึ้น ได้ป้อนข้าว ได้พูดคุย ได้กอดลูกไว้ จนถึงวันที่รู้ว่ามะเร็งของนาโอะนั้น กำเริบ ต้องได้รับการผ่าตัดถึงสี่ครั้ง ครั้งที่สองต้องเปิดช่องอกไว้เพื่อระบายเสมหะ หากแต่ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกมันจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ไม่น่าเชื่อว่าเด็กอย่างเขาจะทนได้ การผ่าตัดในแต่ละครั้ง ใช้เวลายาวนานขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย มะเร็งได้ลุกลามไปยังปอดสองข้าง ไขกระดูก กะโหลกศีรษะ กระดูกซี่โครง กระดูกตะโพก และเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน ก้อนเนื้อร้ายกดรากประสาทขาซ้ายจนขยับไม่ได้


ถึงกระนั้นนาโอะก็ไม่ยอมแพ้ พยายามลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง แม้ต้องอดทนกับความเจ็บปวดตลอดเวลา เป็นความเจ็บปวดที่นับวันจะทวีขึ้น ต้องใช้ยาแก้ปวดอย่างมอร์ฟีน ฉีดเข้าเส้นตลอดเวลา แม้ว่ามันจะไม่ดีขึ้นเลยก็ตาม แม่ต้องทนเฝ้าดูลูกที่เจ็บปวดอยู่ตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า หัวใจแม่แตกสลายไปแล้ว


หมอบอกแม่และพ่อของนาโอะว่า ลูกจะอยู่ได้เพียงสามเดือนเท่านั้น ถึงจะเข้มแข็งอย่างไรแม่และพ่อก็เจ็บปวดอย่างที่สุด แต่นาโอะได้พยายามทำให้แม่และพ่อเห็นว่าเขาเข้มแข็งเพียงใด เขาไม่โอดครวญ ไม่ต่อรองใดๆ


ยังนับว่าโชคดีที่เขาเป็นเด็กญี่ปุ่น ที่ที่การศึกษาทางการแพทย์เจริญแล้ว


ยังได้ไปฮาวายตอนที่โรคของเขายังไม่กำเริบ จากการเอื้อเฟื้อของสมาคมเมคะวิชออฟเจแปน(MAKE A WISH OF JAPAN) เป็นสมาคมที่หวังให้ความปรารถนาของเด็กป่วยได้เป็นจริง นาโอะชอบทะเล อยากไปว่ายน้ำที่นั่น แล้วเขาก็ได้ไปจริงๆ เขาถอดเสื้อ นอนฝังตัวในทราย ลงว่ายน้ำทั้งที่ตัวของเขามีแต่รอยแผลผ่าตัดจนน่ากลัว


แล้วโรงเรียนที่ใกล้โรงพยาบาลยังรับเขาเป็นนักเรียน เขาได้ไปโรงเรียนบางครั้ง เขาได้เป็นนักเรียนโดยไม่ต้องสอบจนถึงชั้นประถมสาม เวลาที่เขามีความสุขมากคือการที่ได้ไปโรงเรียน นั่งเรียนกับเพื่อนๆในชั้น เพื่อนถามเขาว่าไม่ชอบอะไรที่โรงพยาบาลมากที่สุด เขาตอบว่า การรักษาแบบเจ็บๆนั่นไง


สิ่งที่แม่ของนาโอะพยายามบอกเล่า เธอต้องกรีดหัวใจของตัวเองออกมาเขียน


จนถึงวันสุดท้ายของลูก มันมีค่าเหลือเกิน แม้ฉันต้องร้องไห้ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ แต่ฉันรู้แล้วว่า ทำไมความตายถึงพรากเขาไปจากเราไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาเหลือไว้ให้เรานั้นมีค่ายิ่งนัก ความเข้มแข็ง สิ่งที่เขาพยายามจะต่อสู้กับมะเร็งอย่างกล้าหาญนั้นมันสูงค่ายิ่ง เพราะมันแลกมากับชีวิตของเขาเอง สิ่งที่นาโอะพร่ำบอกแม่ตลอดเวลาก่อนที่จะจากไปเหมือนจะรู้ว่า เขาต้องตาย คือถ้อยคำที่บอกว่า แม่ฮะ ถึงนาโอะจะตายไป แม่ก็เศร้าไม่ได้นะ แม่ต้องร่าเริงเข้าไว้


แม่ของนาโอะเขียนไว้ว่า

ข้ามไป ข้ามไป
ก้าวข้ามไปทุกแห่งหน

เพราะนั่นคือความหมายของคำว่า การมีชีวิต

ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่


อาจจะมีภูเขาที่เราไม่สามารถข้ามได้

แต่เราก็ยังต้องข้ามมันไปให้ได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

หากไม่ข้าม สิ่งที่รอคอยอยู่ก็คือความตายเท่านั้น

สิ่งที่มองเห็นอยู่ นั่นก็คือ เทือกเขาที่จะต้องข้าม


เอาล่ะ ปีนเขากันเถอะ

ถัดจากเขาลูกนี้ไป ก็ยังเป็นภูเขาอีก

ในระหว่างที่ข้ามภูเขาเหล่านี้ไป

มนุษย์ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งความศรัทธา

ชีวิตที่ล้ำค่านั้นก็คือ การสร้างภูเขาและข้ามมันไปด้วยตัวเอง

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง