Skip to main content

  

หนังสือชื่อ ผมเป็นมะเร็งอายุ 5 ขวบ วางอยู่บนโต๊ะของฉันมานาน ฉันทำได้แค่มองผ่าน ทั้งที่อยากจะเปิดอ่านเหลือเกิน ฉันชอบอ่านหนังสือเพราะโลกของฉันมันแสนเศร้า เวลาที่ปวดร้าวฉันต้องนั่งลงเปิดหนังสือแล้วทุ่มตัวลงอ่าน อ่านเหมือนคนที่ไม่เคยได้อ่านมาตลอดชีวิต นึกถึงคำของแม่เวลาที่ฉันช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว ฉันช่วยแม่ตำน้ำพริก แม่จะโวยวายใส่ฉันทุกครั้งที่ฉันวางหนังสือไว้ข้างตัว แม่บอกว่าเลิกอ่านก่อน ทำงานให้แม่เสร็จก่อน ฉันหัวเราะแล้วหยิบเอากระดาษห่อของยกขึ้นมาอ่าน ตำน้ำพริกไปด้วย


สำหรับหนังสือเล่มนี้ของฉัน แค่มองเห็นหน้าเด็กชายคนนี้ที่นอนชูสองนิ้วยิ้มหวานปากแดงแล้วบอกว่า หากพยายามต้องมีความสุขได้แน่ครับ แค่นั้นน้ำตาของฉันก็ปริ่มออกมาแล้ว โถ เด็กน้อย เธอยังให้กำลังใจคนอื่นอีกหรือ หัวใจของฉันแทบละลาย ฉันไม่กล้าที่จะเปิดมันออกมา เพราะฉันรู้ว่าความเศร้าและเรื่องราวของเขาจะตอกย้ำบาดแผลในใจฉันนั้น ทำให้ฉันต้องร้องไห้ไปทั้งวัน


หากวันนี้มาถึงจนได้ ฉันต้องเปิดหนังสือเล่มนี้ออกมาอ่าน ฉันมีคนไข้ที่เป็นมะเร็งมากมายขึ้น มะเร็งที่มีแต่ความโหดร้ายทรมาน มะเร็งที่ทำให้มนุษย์ผู้ที่ชนะทุกสิ่งในโลกราบคาบ มะเร็งถ้อยคำที่ไม่มีใครอยากได้ยิน สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของมันคงเป็นความทรมานของการมีชีวิตอยู่ มะเร็งทำให้สิ่งที่มีอยู่กลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มันพรากคนทีเรารักไปจากเราอย่างเลือดเย็นที่สุด


คนไข้หลายคนของฉัน หายไปทีละคน ทีละคน แต่มันไม่เคยหยุด มีคนใหม่เข้ามานอนแทนที่ ทุกคนล้วนทุกข์ทรมาน น่าเวทนา เป็นเวลาของหนังสือเล่มนี้แล้ว อย่างน้อยมันคงเป็นประโยชน์สำหรับคนไข้ของฉันบ้าง บางคราวเราต้องเฉือนหัวใจตัวเองเพื่อทำบางสิ่งที่กล้าหาญ ฉันบอกตัวเองอย่างนั้นแล้วเปิดมันออกมา


หนังสือเล่มนี้เขียนโดยแม่ของเด็กชายนาโอะ พ่อแม่ที่มีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย แม่อายุ 19 ส่วนพ่ออายุ 20 ปี แม่ยอมรับว่าไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการมีลูกเลย แม่และพ่อจบเพียงมัธยมต้น ถึงกระนั้น แม่ก็เลี้ยงนาโอะมาอย่างเข้มแข็งและเข้มงวด แล้วคำพูดของพี่เลี้ยงที่เนอสเซอรี่ทำให้แม่ฉุกคิด เธอพูดว่า คุณแม่เคยกอดลูกหรือเปล่าค่ะ ทำไมเวลากอดนาโอะ เขาถึงได้ตัวแข็งอย่างนั้น แม่ถึงคิดได้ว่า ไม่ได้กอดลูกเลย ทำเพียงเอาลูกขี่หลังเท่านั้น


ถึงกระนั้นครอบครัวของเขาก็อบอุ่น แม่มีน้องชายอีกคนชื่อเรียวยะ ลูกทั้งสองคนสนิทกับพ่อมาก นาโอะเองติดพ่อมาก ทุกอย่างดูน่าจะราบรื่น จนมาถึงวันที่นาโอะอายุห้าขวบครึ่ง วันแรกของการมาเยือนของมะเร็ง เขาเริ่มมีไข้ บ่นเจ็บหน้าอกทุกครั้งที่หายใจเข้า แม่พาไปหาหมอ ได้ยามา อาการยิ่งแย่ลง เขาฉี่เป็นสีดำ เจ็บหน้าอกจนนอนไม่หลับ แม่ตกใจมาก พาเขาเข้าโรงพยาบาล หมอเอกซเรย์แล้วเจอเงาใหญ่ที่อกข้างขวา หลังให้ยาเขาดีขึ้น กลับบ้านได้แล้วต้องกลับมานอนโรงพยาบาลอีกด้วยอาการเดิม คราวนี้ยาวนานถึงสองเดือน จนย้ายไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งตามที่หมอแนะนำ


หมอที่โรงพยาบาลนี้ขอผ่าตัดเพื่อเอาชิ้นเนื้อในปอดออกไปตรวจเท่านั้น

เมื่อแม่บอกลูกว่า หมอแค่เอาส่วนที่เป็นเชื้อโรคออกนะจ้ะ นาโอะคงกลัวเหมือนกัน แต่เขาก็เงียบๆ เหมือนไม่อยากให้แม่และพ่อลำบากใจ เขายอมผ่าตัดแต่โดยดี


แต่การผ่าตัดยาวนานไปถึง 9 ชั่วโมง และเมื่อหมอออกมาจากห้องผ่าตัด แม่และพ่อของนาโอะก็หัวใจสลายหมอบอกว่า นาโอะเป็นมะเร็งที่ปอดข้างขวา ได้ลุกลามไปยังกระดูกซี่โครงสามท่อน และขยายลามไปบีบปอดไว้ หมอจึงต้องตัดกระดูกซี่โครงทั้งสามท่อนออก ตัดเนื้อร้ายที่ลุกลามออกไป ถ้อยคำของหมอทำให้แม่ตัวสั่นไม่หยุด เธอบังคับตัวเองให้หยุดสั่นไม่ได้ พ่อของนาโอะน้ำตาไหลตลอดเวลาที่ฟังหมอพูด


นาโอะออกจากห้องผ่าตัดด้วยสภาพที่แม่ตกตะลึง ทั่วร่างเขาถูกสายเสียบไว้ไม่รู้ว่าสักกี่สาย ตรงปากมีหน้ากากออกซิเจนครอบไว้ หัวใจของแม่และพ่อแหลกเหลวลงตรงนั้น


เมื่อเข้าไปหาลูกในห้องไอซียู แม่พร่ำบอกว่า พยายามไว้นะลูก เข้มแข็งไว้นะ เขาทำได้เพียงลืมตามาดูแล้วหลับต่อ


ออกจากห้องไอซียู พ่อปล่อยโฮหน้าห้องจนแม่ตกใจ พ่อบอกว่า ตอนที่

นาโอะนอนไม่ได้สติอยู่นั่น นาโอะกระซิบบอกพ่อด้วยเสียงแผ่วเบาว่า พ่ออย่าลืมนะ นาโอะอยู่ที่นี่นะ พ่ออย่าลืมนะ พ่อตอบกลับไป ไม่ลืมหรอก


พ่อแม่นั่งน้ำตาไหลไปตลอดทางที่นั่งรถไฟกลับบ้าน พร่ำพูดว่า เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่น่าเชื่อเลย นั่นเป็นถ้อยคำเดียวกันที่ฉันเคยได้ยิน และฉันเคยพูดคำพูดนั้นมาแล้วเช่นกัน


นับเวลาหลังจากนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทุกคนต้องเผชิญกับความเจ็บปวด

นาโอะต้องได้รับเคมีบำบัดจนผมร่วงหมดหัว แม่และพ่อต้องนอนคุยกันทั้งคืน คุยกันถึงความตาย การมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดหรือเกิดขึ้นมาก่อนเลย การเจ็บป่วยของลูก เชื่อมหัวใจของแม่และพ่อเข้ามาหากัน คำพูดใดเล่าที่จะช่วยทำให้ลูกไม่กลัวการผ่าตัด สิ่งใดบ้างที่จะเยียวยาหัวใจน้อยๆของลูกได้

 

แม่และพ่อต้องนั่งรถไฟถึงสองต่อ ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงโรงพยาบาลได้ แม่ออกจากบ้านตอนเที่ยง เพื่อให้ทันเวลาเข้าเยี่ยมบ่ายสามโมง แม่จะอยู่กับนาโอะจนถึงหนึ่งทุ่ม หมดเวลาเยี่ยม แม่นั่งรถไฟกลับ กว่าจะถึงบ้านสามทุ่ม หรือบางคราวเลยไปถึงเที่ยงคืน ตลอดทางที่นั่งรถไฟไปกลับโรงพยาบาลและบ้านนั้น แม่นั่งดูผู้คนบนรถแล้วรำพึงรำพันกับตัวเองว่า ทำไมหนอ เราจึงต้องเจอเรื่องอย่างนี้ ทำไมคนอื่นถึงมีความสุขกันอยู่


แต่แม่ก็ยังมีจิตใจที่เข้มแข็ง สี่ปีที่นาโอะต้องเข้ารับการรักษา แม่ได้รู้ว่า เธอได้ใกล้ชิดลูกมากขึ้น ได้ป้อนข้าว ได้พูดคุย ได้กอดลูกไว้ จนถึงวันที่รู้ว่ามะเร็งของนาโอะนั้น กำเริบ ต้องได้รับการผ่าตัดถึงสี่ครั้ง ครั้งที่สองต้องเปิดช่องอกไว้เพื่อระบายเสมหะ หากแต่ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกมันจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ไม่น่าเชื่อว่าเด็กอย่างเขาจะทนได้ การผ่าตัดในแต่ละครั้ง ใช้เวลายาวนานขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย มะเร็งได้ลุกลามไปยังปอดสองข้าง ไขกระดูก กะโหลกศีรษะ กระดูกซี่โครง กระดูกตะโพก และเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน ก้อนเนื้อร้ายกดรากประสาทขาซ้ายจนขยับไม่ได้


ถึงกระนั้นนาโอะก็ไม่ยอมแพ้ พยายามลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง แม้ต้องอดทนกับความเจ็บปวดตลอดเวลา เป็นความเจ็บปวดที่นับวันจะทวีขึ้น ต้องใช้ยาแก้ปวดอย่างมอร์ฟีน ฉีดเข้าเส้นตลอดเวลา แม้ว่ามันจะไม่ดีขึ้นเลยก็ตาม แม่ต้องทนเฝ้าดูลูกที่เจ็บปวดอยู่ตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า หัวใจแม่แตกสลายไปแล้ว


หมอบอกแม่และพ่อของนาโอะว่า ลูกจะอยู่ได้เพียงสามเดือนเท่านั้น ถึงจะเข้มแข็งอย่างไรแม่และพ่อก็เจ็บปวดอย่างที่สุด แต่นาโอะได้พยายามทำให้แม่และพ่อเห็นว่าเขาเข้มแข็งเพียงใด เขาไม่โอดครวญ ไม่ต่อรองใดๆ


ยังนับว่าโชคดีที่เขาเป็นเด็กญี่ปุ่น ที่ที่การศึกษาทางการแพทย์เจริญแล้ว


ยังได้ไปฮาวายตอนที่โรคของเขายังไม่กำเริบ จากการเอื้อเฟื้อของสมาคมเมคะวิชออฟเจแปน(MAKE A WISH OF JAPAN) เป็นสมาคมที่หวังให้ความปรารถนาของเด็กป่วยได้เป็นจริง นาโอะชอบทะเล อยากไปว่ายน้ำที่นั่น แล้วเขาก็ได้ไปจริงๆ เขาถอดเสื้อ นอนฝังตัวในทราย ลงว่ายน้ำทั้งที่ตัวของเขามีแต่รอยแผลผ่าตัดจนน่ากลัว


แล้วโรงเรียนที่ใกล้โรงพยาบาลยังรับเขาเป็นนักเรียน เขาได้ไปโรงเรียนบางครั้ง เขาได้เป็นนักเรียนโดยไม่ต้องสอบจนถึงชั้นประถมสาม เวลาที่เขามีความสุขมากคือการที่ได้ไปโรงเรียน นั่งเรียนกับเพื่อนๆในชั้น เพื่อนถามเขาว่าไม่ชอบอะไรที่โรงพยาบาลมากที่สุด เขาตอบว่า การรักษาแบบเจ็บๆนั่นไง


สิ่งที่แม่ของนาโอะพยายามบอกเล่า เธอต้องกรีดหัวใจของตัวเองออกมาเขียน


จนถึงวันสุดท้ายของลูก มันมีค่าเหลือเกิน แม้ฉันต้องร้องไห้ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ แต่ฉันรู้แล้วว่า ทำไมความตายถึงพรากเขาไปจากเราไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาเหลือไว้ให้เรานั้นมีค่ายิ่งนัก ความเข้มแข็ง สิ่งที่เขาพยายามจะต่อสู้กับมะเร็งอย่างกล้าหาญนั้นมันสูงค่ายิ่ง เพราะมันแลกมากับชีวิตของเขาเอง สิ่งที่นาโอะพร่ำบอกแม่ตลอดเวลาก่อนที่จะจากไปเหมือนจะรู้ว่า เขาต้องตาย คือถ้อยคำที่บอกว่า แม่ฮะ ถึงนาโอะจะตายไป แม่ก็เศร้าไม่ได้นะ แม่ต้องร่าเริงเข้าไว้


แม่ของนาโอะเขียนไว้ว่า

ข้ามไป ข้ามไป
ก้าวข้ามไปทุกแห่งหน

เพราะนั่นคือความหมายของคำว่า การมีชีวิต

ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่


อาจจะมีภูเขาที่เราไม่สามารถข้ามได้

แต่เราก็ยังต้องข้ามมันไปให้ได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

หากไม่ข้าม สิ่งที่รอคอยอยู่ก็คือความตายเท่านั้น

สิ่งที่มองเห็นอยู่ นั่นก็คือ เทือกเขาที่จะต้องข้าม


เอาล่ะ ปีนเขากันเถอะ

ถัดจากเขาลูกนี้ไป ก็ยังเป็นภูเขาอีก

ในระหว่างที่ข้ามภูเขาเหล่านี้ไป

มนุษย์ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งความศรัทธา

ชีวิตที่ล้ำค่านั้นก็คือ การสร้างภูเขาและข้ามมันไปด้วยตัวเอง

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอเป็นเพื่อนฉัน เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมนั่นแล้ว แม้ว่าฉันจะเป็นเด็กเรียนที่นั่งโต๊ะตัวแรกกลางห้องของ แถวที่สามจากโต๊ะทั้งหมดห้าแถว ครูจะมายืนที่หน้าโต๊ะของฉันทุกคน เวลาครูสอน น้ำลายจากปากครูจะกระเด็นลงบนหัวฉัน ฉันต้องคอยเอาสมุดปิดหัวไว้และสระผมทุกวัน ทุกครั้งที่สอบฉันจะได้ตำแหน่งที่หนึ่งหรือที่สองของห้องเสมอ เธอนั่งอยู่โต๊ะรองสุดท้ายของแถวที่ห้าของห้อง
มาลำ
พี่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งบนโลกใบนี้ แม้พี่จะเป็นนักเขียนที่ฉันหลงรักตั้งแต่หัดอ่านหนังสือ แต่ก็เพียงชื่นชอบอยู่ไกลๆ เราพบกันที่ร้านเล่าเสมอ เวลามีกิจกรรมต่างๆ พี่จะมากันทั้งครอบครัวพ่อ แม่ ลูกสาว ลูกชาย ฉันมักแอบมองพี่แล้วทึ่งในถ้อยคำที่พี่เขียน มันออกมาจากส่วนไหนของพี่หนอ ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน มันต้องเป็นที่หัวใจแน่ๆเลย เพราะพี่ดูเป็นคนดีเหลือเกิน
มาลำ
ตอนเด็กๆ ฉันเป็นเด็กที่น่ารังเกียจ ขี้โกรธ เอาแต่ใจตัวเอง สกปรก ชอบเกี่ยงงานให้พี่สาวทำงานหนักจนตัวแคระแกร็น ส่วนตัวชอบหนีเที่ยว ไปเก็บเห็ดบ้าง ไปตกปลาบ้าง ทั้งที่รู้ว่า กลับมาบ้านแม่จะตีฉันจนยับเยิน หากแต่ฉันไม่เคยนึกกลัว เจ็บแล้วหายวันรุ่งขึ้นไปใหม่
มาลำ
ฝนตกพรำๆ เจ้าหลานสาวอายุสิบหกของฉัน ที่แม่น้องสาวฝากให้ดูแล ส่งเล่าเรียนตั้งแต่ชั้นมอสี่ยังไม่เข้าบ้าน  นาฬิกาข้างฝาบอกเวลายี่สิบสองนาฬิกา เกิดอะไรขึ้นกับเธอหนอ ในอกของฉันเหมือนถูกไฟโลกันต์แผดเผา โทรหาอย่างไรเธอก็ไม่รับสายเหมือนเธอล่องหน ไปไหนหนอ เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง เธอทำอะไร อยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่เข้าบ้าน ออกไปตามที่ไหนดี และถ้าอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเธอ ใครหนอจะช่วยเธอได้
มาลำ
ศรีตรังคลี่กลีบสีม่วงสวยออกมาแย้มยิ้ม  ทักทายสายลมร้อน เฉลา อินทนิล โบกกลีบ มาถึงแล้วสีม่วงสุดสวย ละมุนละไม แดดร้อนตอนเที่ยงวัน เนื้อตัวเหมือนแสบไหม้ ไอร้อนจากถนนโชยมา ฉันก้มหน้าก้มตาเดิน หาต้นไม้ในหัวใจสักต้น โน่นไง ฉันก้าวเท้าเข้าไปหา ไฮเดรนเยียสีโปรดของฉัน สีม่วงครามกำลังบาน บ่ายแล้ว ผู้หญิงหน้าตาไหม้เกรียมกำลังหอบต้นไม้ออกดอกสีม่วงขึ้นรถมุ่งตรงไปวัด
มาลำ
บ้านของย่าอยู่ริมฝั่งคลอง เป็นบ้านไม้ยกสูง เวลาเดินแผ่นไม้ในบ้านส่งเสียงดังตามจังหวะการเดิน ย่าคอยบอก เดินค่อยๆนะลูก ย่องๆเดินนะทำเป็นไหม จะได้ไม่มีเสียงดัง ย่าชอบทำขนม ที่บ้านย่าจึงมีหลานๆเต็มบ้าน  ลูกๆของน้าชาย น้าสาวและพี่น้องของฉันอีกหกคน หนึ่งในเด็กหลายคนนั้น มีอยู่คนเดียวที่เป็นเหตุผลของการขอแม่ไปนอนบ้านย่าของฉัน เขาเป็นลูกของน้าสาว อายุเท่าฉัน ตัวโต ผิวคล้ำ ดวงตาเขาเศร้า ท่าทีเงียบขรึม   เขาว่ายน้ำเก่ง จับปลาได้คล่องแคล่ว   ไม่มีท่าทีรำคาญที่พี่สาวอย่างฉัน คอยเดินตามเขา คอยถามโน่นถามนี่ตลอดเวลา ฉันติดเขาแจจนย่าออกปาก ระวังนะ เหาบนหัวจะกระโดดมาหากัน…
มาลำ
น้ำในคลองวังหยีสีเขียวเข้ม ชื่อคลองวังหยีเพราะมีต้นหยีต้นใหญ่อยู่ริมฝั่ง เป็นคลองสายหลักที่ไหลผ่านทุ่งนากว้างใหญ่ของหมู่บ้าน น้ำจะไหลเชี่ยวและกัดเซาะทุกอย่างที่ขวางหน้า ก่อนจะไหลข้ามสะพาน น้ำจะไหลเอื่อยลงไปในแอ่งลึกที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเรียกว่าวัง น้ำในวังจะสีเขียวเข้มกว่าส่วนอื่น เพราะความลึกของมัน แค่เพ่งมองฉันก็นึกกลัวขึ้นมา ยิ่งแว่วเสียงคนบอกเล่า มีผีพรายอยู่ในวังด้วยนะ ผีพรายเป็นผู้หญิงผมยาวที่เฝ้าอยู่ในวัง เวลาเล่นน้ำระวังเถิดมันจะมาดึงขาลากลงไปอยู่ในวังด้วยกัน ฉันกลัวจนตัวสั่น ทำให้ฉันต้องลืมตาทุกครั้งเวลาดำน้ำ หลังไปช่วยแม่เก็บน้ำยางที่สวน…
มาลำ
  หนังสือชื่อ ผมเป็นมะเร็งอายุ 5 ขวบ วางอยู่บนโต๊ะของฉันมานาน ฉันทำได้แค่มองผ่าน ทั้งที่อยากจะเปิดอ่านเหลือเกิน ฉันชอบอ่านหนังสือเพราะโลกของฉันมันแสนเศร้า เวลาที่ปวดร้าวฉันต้องนั่งลงเปิดหนังสือแล้วทุ่มตัวลงอ่าน อ่านเหมือนคนที่ไม่เคยได้อ่านมาตลอดชีวิต นึกถึงคำของแม่เวลาที่ฉันช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว ฉันช่วยแม่ตำน้ำพริก แม่จะโวยวายใส่ฉันทุกครั้งที่ฉันวางหนังสือไว้ข้างตัว แม่บอกว่าเลิกอ่านก่อน ทำงานให้แม่เสร็จก่อน ฉันหัวเราะแล้วหยิบเอากระดาษห่อของยกขึ้นมาอ่าน ตำน้ำพริกไปด้วยสำหรับหนังสือเล่มนี้ของฉัน แค่มองเห็นหน้าเด็กชายคนนี้ที่นอนชูสองนิ้วยิ้มหวานปากแดงแล้วบอกว่า…
มาลำ
  น้องรัก ไปสู่ความสงบที่สุดนะ เวลาของเธอมาถึง  เธอผ่านพ้นความทรมานแล้ว  แม้เรายังไม่ได้พบกัน เสียงเพลงของเธอยังดังกังวานให้ฉันได้ยิน ถ้อยคำที่เธอพูดยังดังแว่วอยู่ในหู เสียงเธอที่สดใสหลังฟังเพลงด้วยกันยังดังอยู่ แม้มือของฉันเอื้อมไปไม่ถึงเธอ  เราจากกันเสียแล้ว    ทำไมหนอชีวิตได้โหดร้ายนัก เธออายุสี่สิบปีเท่านั้นเอง ...........................                                     …
มาลำ
เสียงเธอดังแว่วแผ่วมาตามสาย อยู่โรงพยาบาลครับพี่ ท้องบวมแล้วเหนื่อยมาก หมอให้นอนให้น้ำเกลือ เหนื่อยครับเหนื่อยจัง เธอพูดเหมือนเพ้อ ฟังไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน บางตอนเหมือนคนไข้ที่กำลังแย่แล้วเสียงหอบหายใจแรงดังเข้ามาในสาย ฉันตกใจ ละล้าละลัง ฟังเธอพูดแล้วนึกอยากไปให้ถึงตัวเธอในเดี๋ยวนั้น เธอยื่นหูโทรศัพท์ไปให้แม่ของเธอที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง หลังจากที่เธอพูดสลับหอบให้ฉันฟังอยู่นาน ฉันจึงได้รู้ว่าอาการของเธอไม่ค่อยดี แม่บอกว่าหมอจำหน่ายแล้ว ฉันฟังแล้วไม่เข้าใจ ถามกลับแม่ไปว่า แล้วเธอจะกลับบ้านได้อย่างไรหล่ะแม่ เธอเหนื่อยออกจะแย่อย่างนั้น แค่ลุกจากเตียง เธอยังลุกไม่ไหวใช่ไหม…
มาลำ
เสียงของเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มาในค่ำวันหนึ่ง ผมจะบวชกลางเดือนนี้ครับ โทรมาให้พี่อโหสิกรรมให้ด้วย ฉันถามเธอว่า บวชนานแค่ไหนเล่า เธอตอบว่า หนึ่งเดือนครับ ฉันบอกเธอว่าดีมากเลยที่ได้มีเวลาอย่างนี้ อย่างน้อยเป็นการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งขึ้น หลังจากที่เราต้องเผชิญกับเรื่องราวหนักหน่วงของชีวิต ฉันอนุโมทนาด้วย ขอให้ใช้วันเวลาในผ้าเหลืองอย่างเป็นสุข หลังจากวันนั้นเสียงเธอหายไป ฉันนึกถึงวันผ่านที่เราเคยโบกรถไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุด ฉันและเพื่อนห้าคนรวมทั้งเธอผู้อาสาเป็นคนนำทาง เราเล่นน้ำในน้ำตกมวกเหล็ก ก่อนจะนั่งรถต่อไปดูฟาร์มโคนม วังตะไคร้ สายลมผ่านเนื้อตัวเย็นชื่น…
มาลำ
ใครจะนึกว่าเธอต้องเดินเข้าไปในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ โรงพยาบาลนี้ เธอเคยเดินมาตั้งแต่ยังเล็ก เป็นเด็กในโรงพยาบาลที่คุ้นเคยกับทุกคน เป็นโรงพยาบาลที่ฉันเคยไปฝึกงาน ได้รู้จักกับเธอในครั้งแรกเธอเดินเข้าไปตรวจ เป็นอะไรไม่รู้ครับ มันแน่นๆท้อง กินอะไรไม่ค่อยลง หมอที่ตรวจก็เป็นหมอรู้จักกัน กดท้องของเธอแล้วบอกเบาๆว่าตับโตมาก เธอกินเหล้ามากเกินไปหรือเปล่า สูบบุหรี่ด้วยใช่ไหม ลดลงบ้างนะ หมอบอกเธอกี่ปีแล้วนะที่ใช้ชีวิตอย่างนี้ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เธอรำพึงหลังปั่นจักรยานกลับบ้าน คำพูดหมอดังแว่วมา สงสัยเป็นตับแข็งนะ ต้องทำอัลตราซาวด์ดูแล้ว วันคืนของเธอกำลังสั้นลงแล้ว…