Skip to main content

  

หนังสือชื่อ ผมเป็นมะเร็งอายุ 5 ขวบ วางอยู่บนโต๊ะของฉันมานาน ฉันทำได้แค่มองผ่าน ทั้งที่อยากจะเปิดอ่านเหลือเกิน ฉันชอบอ่านหนังสือเพราะโลกของฉันมันแสนเศร้า เวลาที่ปวดร้าวฉันต้องนั่งลงเปิดหนังสือแล้วทุ่มตัวลงอ่าน อ่านเหมือนคนที่ไม่เคยได้อ่านมาตลอดชีวิต นึกถึงคำของแม่เวลาที่ฉันช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว ฉันช่วยแม่ตำน้ำพริก แม่จะโวยวายใส่ฉันทุกครั้งที่ฉันวางหนังสือไว้ข้างตัว แม่บอกว่าเลิกอ่านก่อน ทำงานให้แม่เสร็จก่อน ฉันหัวเราะแล้วหยิบเอากระดาษห่อของยกขึ้นมาอ่าน ตำน้ำพริกไปด้วย


สำหรับหนังสือเล่มนี้ของฉัน แค่มองเห็นหน้าเด็กชายคนนี้ที่นอนชูสองนิ้วยิ้มหวานปากแดงแล้วบอกว่า หากพยายามต้องมีความสุขได้แน่ครับ แค่นั้นน้ำตาของฉันก็ปริ่มออกมาแล้ว โถ เด็กน้อย เธอยังให้กำลังใจคนอื่นอีกหรือ หัวใจของฉันแทบละลาย ฉันไม่กล้าที่จะเปิดมันออกมา เพราะฉันรู้ว่าความเศร้าและเรื่องราวของเขาจะตอกย้ำบาดแผลในใจฉันนั้น ทำให้ฉันต้องร้องไห้ไปทั้งวัน


หากวันนี้มาถึงจนได้ ฉันต้องเปิดหนังสือเล่มนี้ออกมาอ่าน ฉันมีคนไข้ที่เป็นมะเร็งมากมายขึ้น มะเร็งที่มีแต่ความโหดร้ายทรมาน มะเร็งที่ทำให้มนุษย์ผู้ที่ชนะทุกสิ่งในโลกราบคาบ มะเร็งถ้อยคำที่ไม่มีใครอยากได้ยิน สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของมันคงเป็นความทรมานของการมีชีวิตอยู่ มะเร็งทำให้สิ่งที่มีอยู่กลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มันพรากคนทีเรารักไปจากเราอย่างเลือดเย็นที่สุด


คนไข้หลายคนของฉัน หายไปทีละคน ทีละคน แต่มันไม่เคยหยุด มีคนใหม่เข้ามานอนแทนที่ ทุกคนล้วนทุกข์ทรมาน น่าเวทนา เป็นเวลาของหนังสือเล่มนี้แล้ว อย่างน้อยมันคงเป็นประโยชน์สำหรับคนไข้ของฉันบ้าง บางคราวเราต้องเฉือนหัวใจตัวเองเพื่อทำบางสิ่งที่กล้าหาญ ฉันบอกตัวเองอย่างนั้นแล้วเปิดมันออกมา


หนังสือเล่มนี้เขียนโดยแม่ของเด็กชายนาโอะ พ่อแม่ที่มีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย แม่อายุ 19 ส่วนพ่ออายุ 20 ปี แม่ยอมรับว่าไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการมีลูกเลย แม่และพ่อจบเพียงมัธยมต้น ถึงกระนั้น แม่ก็เลี้ยงนาโอะมาอย่างเข้มแข็งและเข้มงวด แล้วคำพูดของพี่เลี้ยงที่เนอสเซอรี่ทำให้แม่ฉุกคิด เธอพูดว่า คุณแม่เคยกอดลูกหรือเปล่าค่ะ ทำไมเวลากอดนาโอะ เขาถึงได้ตัวแข็งอย่างนั้น แม่ถึงคิดได้ว่า ไม่ได้กอดลูกเลย ทำเพียงเอาลูกขี่หลังเท่านั้น


ถึงกระนั้นครอบครัวของเขาก็อบอุ่น แม่มีน้องชายอีกคนชื่อเรียวยะ ลูกทั้งสองคนสนิทกับพ่อมาก นาโอะเองติดพ่อมาก ทุกอย่างดูน่าจะราบรื่น จนมาถึงวันที่นาโอะอายุห้าขวบครึ่ง วันแรกของการมาเยือนของมะเร็ง เขาเริ่มมีไข้ บ่นเจ็บหน้าอกทุกครั้งที่หายใจเข้า แม่พาไปหาหมอ ได้ยามา อาการยิ่งแย่ลง เขาฉี่เป็นสีดำ เจ็บหน้าอกจนนอนไม่หลับ แม่ตกใจมาก พาเขาเข้าโรงพยาบาล หมอเอกซเรย์แล้วเจอเงาใหญ่ที่อกข้างขวา หลังให้ยาเขาดีขึ้น กลับบ้านได้แล้วต้องกลับมานอนโรงพยาบาลอีกด้วยอาการเดิม คราวนี้ยาวนานถึงสองเดือน จนย้ายไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งตามที่หมอแนะนำ


หมอที่โรงพยาบาลนี้ขอผ่าตัดเพื่อเอาชิ้นเนื้อในปอดออกไปตรวจเท่านั้น

เมื่อแม่บอกลูกว่า หมอแค่เอาส่วนที่เป็นเชื้อโรคออกนะจ้ะ นาโอะคงกลัวเหมือนกัน แต่เขาก็เงียบๆ เหมือนไม่อยากให้แม่และพ่อลำบากใจ เขายอมผ่าตัดแต่โดยดี


แต่การผ่าตัดยาวนานไปถึง 9 ชั่วโมง และเมื่อหมอออกมาจากห้องผ่าตัด แม่และพ่อของนาโอะก็หัวใจสลายหมอบอกว่า นาโอะเป็นมะเร็งที่ปอดข้างขวา ได้ลุกลามไปยังกระดูกซี่โครงสามท่อน และขยายลามไปบีบปอดไว้ หมอจึงต้องตัดกระดูกซี่โครงทั้งสามท่อนออก ตัดเนื้อร้ายที่ลุกลามออกไป ถ้อยคำของหมอทำให้แม่ตัวสั่นไม่หยุด เธอบังคับตัวเองให้หยุดสั่นไม่ได้ พ่อของนาโอะน้ำตาไหลตลอดเวลาที่ฟังหมอพูด


นาโอะออกจากห้องผ่าตัดด้วยสภาพที่แม่ตกตะลึง ทั่วร่างเขาถูกสายเสียบไว้ไม่รู้ว่าสักกี่สาย ตรงปากมีหน้ากากออกซิเจนครอบไว้ หัวใจของแม่และพ่อแหลกเหลวลงตรงนั้น


เมื่อเข้าไปหาลูกในห้องไอซียู แม่พร่ำบอกว่า พยายามไว้นะลูก เข้มแข็งไว้นะ เขาทำได้เพียงลืมตามาดูแล้วหลับต่อ


ออกจากห้องไอซียู พ่อปล่อยโฮหน้าห้องจนแม่ตกใจ พ่อบอกว่า ตอนที่

นาโอะนอนไม่ได้สติอยู่นั่น นาโอะกระซิบบอกพ่อด้วยเสียงแผ่วเบาว่า พ่ออย่าลืมนะ นาโอะอยู่ที่นี่นะ พ่ออย่าลืมนะ พ่อตอบกลับไป ไม่ลืมหรอก


พ่อแม่นั่งน้ำตาไหลไปตลอดทางที่นั่งรถไฟกลับบ้าน พร่ำพูดว่า เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่น่าเชื่อเลย นั่นเป็นถ้อยคำเดียวกันที่ฉันเคยได้ยิน และฉันเคยพูดคำพูดนั้นมาแล้วเช่นกัน


นับเวลาหลังจากนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทุกคนต้องเผชิญกับความเจ็บปวด

นาโอะต้องได้รับเคมีบำบัดจนผมร่วงหมดหัว แม่และพ่อต้องนอนคุยกันทั้งคืน คุยกันถึงความตาย การมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดหรือเกิดขึ้นมาก่อนเลย การเจ็บป่วยของลูก เชื่อมหัวใจของแม่และพ่อเข้ามาหากัน คำพูดใดเล่าที่จะช่วยทำให้ลูกไม่กลัวการผ่าตัด สิ่งใดบ้างที่จะเยียวยาหัวใจน้อยๆของลูกได้

 

แม่และพ่อต้องนั่งรถไฟถึงสองต่อ ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงโรงพยาบาลได้ แม่ออกจากบ้านตอนเที่ยง เพื่อให้ทันเวลาเข้าเยี่ยมบ่ายสามโมง แม่จะอยู่กับนาโอะจนถึงหนึ่งทุ่ม หมดเวลาเยี่ยม แม่นั่งรถไฟกลับ กว่าจะถึงบ้านสามทุ่ม หรือบางคราวเลยไปถึงเที่ยงคืน ตลอดทางที่นั่งรถไฟไปกลับโรงพยาบาลและบ้านนั้น แม่นั่งดูผู้คนบนรถแล้วรำพึงรำพันกับตัวเองว่า ทำไมหนอ เราจึงต้องเจอเรื่องอย่างนี้ ทำไมคนอื่นถึงมีความสุขกันอยู่


แต่แม่ก็ยังมีจิตใจที่เข้มแข็ง สี่ปีที่นาโอะต้องเข้ารับการรักษา แม่ได้รู้ว่า เธอได้ใกล้ชิดลูกมากขึ้น ได้ป้อนข้าว ได้พูดคุย ได้กอดลูกไว้ จนถึงวันที่รู้ว่ามะเร็งของนาโอะนั้น กำเริบ ต้องได้รับการผ่าตัดถึงสี่ครั้ง ครั้งที่สองต้องเปิดช่องอกไว้เพื่อระบายเสมหะ หากแต่ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกมันจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ไม่น่าเชื่อว่าเด็กอย่างเขาจะทนได้ การผ่าตัดในแต่ละครั้ง ใช้เวลายาวนานขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย มะเร็งได้ลุกลามไปยังปอดสองข้าง ไขกระดูก กะโหลกศีรษะ กระดูกซี่โครง กระดูกตะโพก และเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน ก้อนเนื้อร้ายกดรากประสาทขาซ้ายจนขยับไม่ได้


ถึงกระนั้นนาโอะก็ไม่ยอมแพ้ พยายามลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง แม้ต้องอดทนกับความเจ็บปวดตลอดเวลา เป็นความเจ็บปวดที่นับวันจะทวีขึ้น ต้องใช้ยาแก้ปวดอย่างมอร์ฟีน ฉีดเข้าเส้นตลอดเวลา แม้ว่ามันจะไม่ดีขึ้นเลยก็ตาม แม่ต้องทนเฝ้าดูลูกที่เจ็บปวดอยู่ตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า หัวใจแม่แตกสลายไปแล้ว


หมอบอกแม่และพ่อของนาโอะว่า ลูกจะอยู่ได้เพียงสามเดือนเท่านั้น ถึงจะเข้มแข็งอย่างไรแม่และพ่อก็เจ็บปวดอย่างที่สุด แต่นาโอะได้พยายามทำให้แม่และพ่อเห็นว่าเขาเข้มแข็งเพียงใด เขาไม่โอดครวญ ไม่ต่อรองใดๆ


ยังนับว่าโชคดีที่เขาเป็นเด็กญี่ปุ่น ที่ที่การศึกษาทางการแพทย์เจริญแล้ว


ยังได้ไปฮาวายตอนที่โรคของเขายังไม่กำเริบ จากการเอื้อเฟื้อของสมาคมเมคะวิชออฟเจแปน(MAKE A WISH OF JAPAN) เป็นสมาคมที่หวังให้ความปรารถนาของเด็กป่วยได้เป็นจริง นาโอะชอบทะเล อยากไปว่ายน้ำที่นั่น แล้วเขาก็ได้ไปจริงๆ เขาถอดเสื้อ นอนฝังตัวในทราย ลงว่ายน้ำทั้งที่ตัวของเขามีแต่รอยแผลผ่าตัดจนน่ากลัว


แล้วโรงเรียนที่ใกล้โรงพยาบาลยังรับเขาเป็นนักเรียน เขาได้ไปโรงเรียนบางครั้ง เขาได้เป็นนักเรียนโดยไม่ต้องสอบจนถึงชั้นประถมสาม เวลาที่เขามีความสุขมากคือการที่ได้ไปโรงเรียน นั่งเรียนกับเพื่อนๆในชั้น เพื่อนถามเขาว่าไม่ชอบอะไรที่โรงพยาบาลมากที่สุด เขาตอบว่า การรักษาแบบเจ็บๆนั่นไง


สิ่งที่แม่ของนาโอะพยายามบอกเล่า เธอต้องกรีดหัวใจของตัวเองออกมาเขียน


จนถึงวันสุดท้ายของลูก มันมีค่าเหลือเกิน แม้ฉันต้องร้องไห้ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ แต่ฉันรู้แล้วว่า ทำไมความตายถึงพรากเขาไปจากเราไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาเหลือไว้ให้เรานั้นมีค่ายิ่งนัก ความเข้มแข็ง สิ่งที่เขาพยายามจะต่อสู้กับมะเร็งอย่างกล้าหาญนั้นมันสูงค่ายิ่ง เพราะมันแลกมากับชีวิตของเขาเอง สิ่งที่นาโอะพร่ำบอกแม่ตลอดเวลาก่อนที่จะจากไปเหมือนจะรู้ว่า เขาต้องตาย คือถ้อยคำที่บอกว่า แม่ฮะ ถึงนาโอะจะตายไป แม่ก็เศร้าไม่ได้นะ แม่ต้องร่าเริงเข้าไว้


แม่ของนาโอะเขียนไว้ว่า

ข้ามไป ข้ามไป
ก้าวข้ามไปทุกแห่งหน

เพราะนั่นคือความหมายของคำว่า การมีชีวิต

ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่


อาจจะมีภูเขาที่เราไม่สามารถข้ามได้

แต่เราก็ยังต้องข้ามมันไปให้ได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

หากไม่ข้าม สิ่งที่รอคอยอยู่ก็คือความตายเท่านั้น

สิ่งที่มองเห็นอยู่ นั่นก็คือ เทือกเขาที่จะต้องข้าม


เอาล่ะ ปีนเขากันเถอะ

ถัดจากเขาลูกนี้ไป ก็ยังเป็นภูเขาอีก

ในระหว่างที่ข้ามภูเขาเหล่านี้ไป

มนุษย์ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งความศรัทธา

ชีวิตที่ล้ำค่านั้นก็คือ การสร้างภูเขาและข้ามมันไปด้วยตัวเอง

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …