Skip to main content

หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์ วันนี้ฉันเดินเลยเตียงนั้นมาถึงห้องพิเศษ
1205 เปิดประตู วันนี้พ่อนอนพักในห้องพิเศษ ฉันมีห้องเล็กๆ ที่จะได้นอนมองพ่อทั้งคืนแล้ว


ฉันใช้ชีวิตเป็นคนโรงพยาบาลเต็มตัว กลิ่นยาในโรงพยาบาลที่ฉันคุ้นเคย กลิ่นกับข้าว กลิ่นขนมหวาน กลิ่นเหม็นคาวเลือด กลิ่นห้องน้ำ คละคลุ้งอยู่ในจมูกฉัน รอยยิ้มของคนข้างๆเตียงพ่อ เสียงทักทายพูดคุยของพยาบาล เสียงเปิดปิดประตู เสียงฝีเท้าของหมอ เสียงญาติคนไข้ เสียงโวยวาย เสียงครวญครางเจ็บปวด เสียงล้างเครื่องมือ เสียงลากรถ เสียงล้อหมุนของเปล เสียงเดินของเข็มนาฬิกา เสียงกระทบกันของถาดฃ้าว เสียงเปิดปิดก็อกน้ำ เสียงร้องไห้ขอความช่วยเหลือ จนกระทั่งเสียงความเงียบในตอนกลางคืน เสียงเหล่านี้หมุนวนอยู่รอบตัวฉัน มันหมุนวนอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน


บางเสียงแค่ได้ยิน ฉันก็นึกภาพออกตั้งแต่ต้นจนจบ


ฉันเดินออกมายืนมองสวนหย่อมที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ใครๆได้พักสายตา เพื่อให้วันที่หนักหน่วงนั้นเบาลงไปบ้าง หลังจากที่พ่อหลับ ในตอนเช้ามืด ฉันย่องออกมาสูดอากาศ ยืนมองต้นไม้สีเขียว ดอกไม้สวยๆที่วางเรียงเป็นแถวสวยงาม เหมือนทหารตั้งแถวยืนรับแดดอ่อน ฉันหวลนึกถึงเสียงร้องเพลงดังแว่วมาในหู เพลงจีบพยาบาลในตอนเช้ามืดจากค่ายทหารที่อยู่ติดกับโรงพยาบาลที่ฉันอยู่ ฉันยืนอมยิ้ม โน่นเสียงที่ทหารตะเบ็ง ดังมาอย่างนั้น ฉีดยาให้ฉันตายไปเถิดหมอ คำว่าหมอนั้นดังกระหึ่ม เหมือนคนร้องตั้งใจเปล่งเสียงให้ดังมาถึงโรงพยาบาลให้ได้ ฉันขำจนต้องหัวเราะออกมา นับเป็นเรื่องผ่อนคลายของเช้าวันโชคร้ายของชีวิต


เดินลงไปที่โรงอาหาร หยิบหนังสือพิมพ์มาฝากพ่อ ในร้านหนังสือที่มีอยู่ร้านเดียวในมุมสุดด้านขวา แวะซื้อกาแฟให้ตัวเอง ผลไม้ของพ่อ แล้วเดินย้อนกลับทางเก่า สายลมยามเช้าพัดผ่านเนื้อตัว เสียงเพลงเงียบไปแล้วตามแสงแดดที่จ้าขึ้น สรรพเสียงความวุ่นวายเริ่มมาถึง แวะยืนมองสวนหย่อมอีกครั้ง สูดอากาศสดชื่นเข้าไปเต็มปอด มองเข้าไปในพุ่มไม้เห็นนกตัวเล็กๆบินไปมา ก่อนหิ้วของเดินเข้าไปในห้องพ่อ


พ่อตื่นแล้ว ลุกมานั่งข้างเตียงแล้วยิ้มให้ฉัน หลังจากนั้นพ่อออกเดินกับฉัน ออกจากห้องไปถึงระเบียงตึกที่มีสวนหย่อมสีเขียวครึ้มสบายตา นับว่าเป็นครั้งแรกของพ่อที่ออกจากตึกที่มานอนอยู่เป็นเดือน พ่อนั่งมองแปลงดอกไม้ยืนแถวสีเจิดจ้า ฉันจัดที่ให้พ่อนั่งบนเก้าอี้ พ่อนั่งมองต้นไม้แล้วเปิดหนังสือพิมพ์อ่าน


มึนหัวไหมพ่อ ฉันคอยถาม พ่อบอกว่านิดหน่อยลูก เหมือนคนที่ติดคุกถูกขังในห้องมืดมานาน หลังถูกปล่อยออกมาเจอแสงสว่างเลยทำตัวไม่ถูกเอาทีเดียว


พ่อกับฉันนั่งอยู่นานจนหมอของพ่อเดินผ่านมา หมอทักเราว่า มาไกลได้อย่างนี้สงสัยจะได้กลับบ้านแล้วหละ เราสองคนจึงพยุงกันมาเข้าห้อง หมอทำแผลแล้วบอกว่า แผลพ่อดีขึ้นมาก วันมะรืนจะให้กลับได้แล้ว เอายาไปกินต่อที่บ้าน เมื่อฉันถามถึงตาขวาของพ่อ หมอบอกว่า อย่างน้อยอีกหกเดือนกว่าที่จะดีขึ้นหรือหลับตาได้ แต่ก็ไม่แน่นะ อาจไม่เหมือนเดิมก็ได้ พ่อหน้าเศร้า ฉันกอดพ่อพลางพูดว่า ถึงอย่างไรมันก็ยังมองเห็นนะพ่อจ๋า แม้ว่ามันจะปิดไม่ลง


ดีกว่าที่จะมองไม่เห็นมากมายนัก หกเดือนเท่านั้นเอง


ฉันนึกย้อนไปวันแรกที่พ่อเกิดอุบัติเหตุ ฉันอ่านผลเอกซเรย์สมองของพ่อไม่รู้เรื่อง ตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษนั้นหมายความว่าอย่างไร สมองฉันมันไม่ยอมแปล มันมึนตื้อเหมือนคนโง่ที่ไม่เคยเรียนหนังสือมา เฝ้าคอยแต่เช็ดน้ำตาตัวเองแล้วยืนถือแผ่นกระดาษผลเอกซเรย์อยู่อย่างนั้น จนฉันนึกถึงหมอสมองที่ฉันทำงานอยู่ได้ ฉันกดโทรศัพท์ถึงหมอคนนั้น หมอกำลังอยู่ในห้องผ่าตัด เสียงฉันคงสั่นเครือและร้องไห้ หมอฟังฉันแล้วรู้ว่า ฉันคงแย่มาก


ฉันเล่าอาการพ่อให้หมอฟังคร่าวๆ เอามาเลยพี่ มาโรงพยาบาลเราก็ได้นะ เสียงหมอบอกฉัน โธ่หมอ ฉันตอบหมอไปว่ามันไกลกันเสียขนาดนี้ หมอที่นี่เขาไม่ยอมให้คนไข้เขาไปหรอก นอกจากจะเซ็นต์ไม่สมัครใจอยู่โรงพยาบาลเท่านั้น แต่ฉันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ฉันไม่มีหัวใจที่จะทำอย่างนั้นได้เลย


หมอฟังฉันแล้วเงียบก่อนที่จะถามถึงผลเอกซเรย์สมอง มันอยู่ในมือฉัน ฉันมัวแต่ป้ำเป๋อจนลืมอ่านให้หมอฟัง พอฉันอ่านให้หมอฟัง หมอเลยตอบฉันว่า โอ่พี่ มันเป็นไม่เยอะนะพี่ มีเลือดออกแล้วสมองบวมนิดหน่อย ไม่มีอะไรน่ากลัว อีกหกเดือนก็หายดีได้ ตาขวามันไม่ปิดคะหมอ ฉันบอกหมอด้วยเสียงสั่นเครือ หมอบอกว่าต้องดูกันต่อไป เดี๋ยวมันคงปิดเอง อย่าห่วงเลย ถ้าก้อนเลือดในสมองมันสลายไปแล้ว ตาขวาคงปิดได้ พี่อย่ากลัวไปเลย ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก


ฉันวางหูโทรศัพท์หลังขอบคุณหมอคนนั้น ฉันยืนร้องไห้ น้ำตาหยดลงมาเป็นทาง จนฉันต้องก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาผู้คนที่เดินผ่าน หมอช่างมีน้ำใจงดงามเหลือเกิน เป็นทางสว่างให้ฉันในวันที่มืดมิด เป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจให้ในวันที่ไม่กล้าก้าว ในวันที่หวาดกลัวกับชีวิต ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครดี ถ้อยคำของหมอทำให้ฉันเดินกลับมายืนข้างเตียงพ่อ กล้าสบตาข้างขวาของพ่อแล้วบอกว่า หมอว่าพ่อไม่เป็นไรมาก อีกหกเดือนคงหายดี


ฉันนึกถึงหมอคนนี้ตลอดมา ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองหมอตลอดไป ให้ชีวิตเขาพบเจอแต่สิ่งดีๆ เป็นหมอที่ดีที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้อีกหนึ่งคน ในคืนวันที่ผ่านไป ฉันรู้ว่าเขาอยู่ในใจฉันตลอดไป ทุกครั้งที่เห็นตาขวาของพ่อ ฉันนึกถึงเขา หมอที่เป็นดวงตาให้ฉันในวันที่ฉันมืดบอดและหลงทาง นี่คงเป็นสายใยอย่างเดียวของมนุษย์ที่เหนียวแน่นติดตรึงผูกพัน โชคดีของฉันที่ยังมีมิตรในยามยาก แม้ว่ามันจะมาถึงในวันที่เราโชคร้ายมาแล้วเสมอ

ไม่มีอะไรมีอยู่อย่างเดียวหรอกนะ ฉันบอกกับตัวเองอย่างนั้น

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง