Skip to main content

เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม


ฉันตอบตกลงเธอไป เพราะฉันชอบทะเลเหลือเกิน ทะเล เปรียบเหมือนพ่อแม่ของฉัน อบอุ่น งดงามเสมอ ทุกครั้งที่ปวดร้าว เหนื่อยหนักกับชีวิต ฉันจะหอบความทุกข์ไปหาทะเล ทะเลจะเห่กล่อม ปลอบโยนจนทุกข์คลายลง ฉันจึงชอบขับรถไปแหลมสมิหราเสมอ หลังลงเวรแล้ว ฉันชวนเพื่อนที่เรียนจบพยาบาลมาด้วยกันจากศิริราช ทำงานอยู่โรงพยาบาลสงขลาไปด้วย

 


 

ไปดูคลื่น เดินเท้าเปล่าบนทราย เห็นปูลมตัวเล็กจิ๋ววิ่งเร็วรี่บนหาด เราต่างวิ่งไล่มัน เอาหัวใจมาผึ่งแดดเสียบ้าง เพื่อนฉันว่า มันจะได้ไม่เหม็นอับ แล้วเราสองคนก็หัวเราะกันเสียงดัง หลังนอนลงบนทรายรับลมอยู่ในเงาของต้นสน แล้วเราต่างหลับอยู่ริมหาดนั้นจนเย็นย่ำ ตื่นแล้วลงเล่นน้ำทะเลด้วยกัน หัวใจฉันโล่งเบาสบายทุกครั้งที่ได้ทำอย่างนั้น


ฉันลาพักร้อน หลังนัดหมายกับเธอแล้ว ฉันนั่งรถไฟแล้วขึ้นรถเมล์ ไปถึงสถานีเอกมัย นัดกับเธอไว้ที่นั่น พบเธอ เธอผอมลงกว่าเก่า ผมยาวรุงรัง มีเพียงแววตาที่แจ่มใส เธอยิ้มทักฉันอย่างดีใจ ไม่คิดว่าจะได้พบกันเลยนะ เธอพูด แล้วเธอยิ้มอายๆให้ฉันพลางบอกว่า ขอบคุณที่ให้เกียรติไปส่งเธอคนพเนจร เธอยังไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเลย ฉันบอกเธอว่า เป็นไงเป็นกันสินะ ขอเพียงเธอเข้มแข็ง ฉันรู้ว่า มีเรื่องดีๆรออยู่ข้างหน้าเสมอ อย่าหวั่นใจไปเลย


เรานั่งรถบัสไประยองด้วยกัน เข้าอำเภอแกลง ลงเรือไปเกาะ เรือโดยสารมีเพียงเที่ยวเดียวเธอได้ข้อมูลมาจากรุ่นพี่ของเธอมาอย่างนั้น คนบนเรือมีเพียงเราและคนขับเรือ บนเรือมีอาหารเต่า เป็นปลาสดตัวเล็กๆที่มีกลิ่นเน่าฉุนติดจมูกอยู่ในกระสอบ เธอพกหนังสือมาลังใหญ่ กีต้าร์และเครื่องพิมพ์ดีด มันวางเด่นอยู่กลางลำ เรือวิ่งฉิวกลางทะเล คลื่นปะทะใต้ท้องเรือแรงจนรู้สึกเหมือนกระแทกตัวเราโดยตรง ลมปลิวผ่านหน้า ทุกอย่างดูแปลกตา ทั้งที่ฉันคุ้นกับทะเลเหลือเกิน


หากแต่ทะเลที่นี่ มันช่างเคว้งคว้างกว้างใหญ่ ข่มหัวใจของฉันให้เล็กลงทันใด ขอบฟ้ามันช่างไกลและเวิ้งว้าง จนหัวใจอ่อนไหวหวาดกลัว มีแต่น้ำทะเลสีเขียวเจิดจ้าเท่านั้นล้อมรอบตัว เหมือนขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง ฉันคิดถึงแม่ ขอพรจากแม่ในใจ ฉันภาวนาให้เราถึงเกาะอย่างปลอดภัย


ไม่น่าเชื่อที่เกาะค่อยๆโผล่ออกมาจากความเวิ้งว้างตรงหน้า ถึงหาดทรายเรือจอดให้เราลง มีบ่ออนุรักษ์เต่าทะเลตัวใหญ่อยู่รอบๆเกาะ ฉันเดินดูเต่าอย่างตื่นเต้น ตัวมันใหญ่เสียจนน่าตกใจ กระดองของมันเป็นสีเขียวแก่ มีตะไคร่น้ำเกาะจนมองดูขลังและน่าเกรงขามมีทั้งเต่ากระและเต่าตนุ เธอคุยกับเจ้าหน้าที่บนเกาะเหมือนคุ้นเคยกันมานาน รุ่นพี่ของเธอส่งข่าวให้เจ้าหน้าที่รู้ว่าเธอจะมาพักเขียนหนังสือที่นี่


เกาะสวยมาก กว้างใหญ่ มีเนื้อที่ 131 ไร่ มีป่าทึบอยู่กลางเกาะ มันสูงชันและมีสระน้ำจืดใหญ่มากอยู่บนนั้น สำหรับเจ้าหน้าที่ใช้ดื่มกิน ที่นี่ใช้ไฟปั่นและไฟจะดับตอนสองทุ่ม เธอพกเทียนไขมามากมาย เมื่อเธอเปิดเป้ที่เธอแบกมา มีปลากระป๋องมาด้วย ฉันหัวเราะเสียงดัง มาอยู่เกาะ มีปลากระป๋องทำไมหนอ เธอบอก เผื่อไว้ในวันที่ต้องทำงานหนัก ไม่ต้องหาเสบียง เปิดแล้วกินได้เลย


เธอตั้งใจมาเขียนนิยายที่นี่ เธอบอกฉันว่าคอยอ่านนะ นิยายของเธอจะมีทั้งคลื่นลมเป็นฉากเดินเรื่อง เธอตั้งใจว่าจะอยู่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเขียนงานเสร็จ เธอบอกฉันอย่างนั้น เราคุยกันระหว่างเดินไปบ้านพัก


ถึงบ้านพัก เป็นบ้านไม้สองชั้น ใต้ถุนโล่งรับลมทะเลมีครัวเล็กๆอยู่หลังบ้าน ชั้นบนเป็นห้องสองห้องและห้องน้ำ เธอผูกเปลให้ฉันตรงชั้นล่าง เอาโต๊ะเล็กๆมาวางไว้ใกล้ๆ เอาไว้วางหนังสือนะ เธอบอก เราต่างพกหนังสือเล่มใหญ่มาแลกกันอ่าน


มีบ้านพักเจ้าหน้าที่อีกสองหลังอยู่ใกล้ๆกัน เป็นครอบครัวมีพ่อแม่ลูกและแม่เฒ่า พี่ผู้ชายบอกเธอว่าแล้วจะชวนเธอไปหาปลาและตกหมึก เธอรับคำอย่างตื่นเต้น เธอบอกว่า เธอคิดถึงเกาะนางคำที่เคยไป เพื่อนในห้องตอนเรียนมอศอสามของเราอยู่ที่นั่น เธอเคยไปกินนอนอยู่บ้านเพื่อนช่วงปิดเทอม คิดถึงแล้วยังสนุกไม่หาย เธอบอก


หลังอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันหลับไปบนเปลจนเย็นย่ำ เธอชวนฉันออกเดินรอบๆเกาะ เราเดินไปนั่งอยู่ริมหาด นั่งดูคลื่น ลมแรงจนพลบค่ำ เราเดินกลับมาบ้านพัก เธอจุดเทียนบนบ้าน เราไม่ต้องใช้ไฟเลยนะ ใช้แสงเทียนนี่แหละ ไฟฉายก็มี เธอถามฉัน กลัวไหม ฉันหัวเราะ กลัวสิ ถามได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันเคยชินกับความมืดเสมอตั้งแต่เล็กๆที่ต้องลุกมาหุงข้าว ทำกับข้าวและอ่านหนังสือไปด้วย ฉันเคยชินกับแสงตะเกียงมาจนโต


มีเรื่องตลกจะเล่าให้เธอฟังด้วย เธอบอก เล่ามาสิ คอยฟังอยู่ แม่ของฉันนะสิ ชอบเดินในความมืดเสมอก่อนออกไปกรีดยาง ฉันได้ยินเสียงแม่เดินอยู่ชั้นล่าง เมื่อฉันลงมา ได้ยินเสียงแม่เดินไปส่งเสียงตดไปด้วย เสียงมันดังขึ้นเรื่อยๆจนฉันหัวเราะแล้วบอกแม่ว่า แม่เปิดไฟหน่อยสิค่ะ แม่ถามฉันว่าเปิดทำไมลูก ฉันตอบแม่ว่า ก็เปิดหาหูรูดทวารหนักของแม่เผื่อมันจะหลุดออกมาตกอยู่แถวนี้ แม่หัวเราะก๊ากจนต้องนั่งลง ฉันหันไปหาเธอเห็นเธอหัวเราะจนหน้าแดง เออตลกจริงๆด้วย เธอว่า บ้านฉันคงอารมณ์ดีกันทั้งบ้านหล่ะสิ ฉันหัวเราะ เป็นเรื่องตลกก่อนนอนน่ะ


อารมณ์ดีก่อนนอน ตื่นเช้ามาจะได้สดใส ฉันบอกเธอ


เช้าแล้ว เสียงคลื่นปลุกฉันตื่น เธอชวนฉันออกเดินมาที่หาด คนงานของเกาะกำลังกลับจากหาปลา เขายกเข่งบนเรือลงมาแล้วบอกเอาไปกินหน่อยไหม เมื่อเราก้มลงมองในเข่งเห็นทั้งกุ้งปลา ปลาหมึก แบ่งไปนะครับ แล้วเขาก็หยิบมาใส่ถุงให้เรา ฉันยกมือไหว้ขอบคุณเขาแล้วเราต่างเดินกลับมาบ้านพัก ฉันต้มปลาหมึก ทอดปลา กับข้าวมื้อเช้าวันนั้นอร่อยมาก เธอบอกฉันว่าจะทำงานบนบ้านสักพักใหญ่ ฉันขอจองเปลเหมือนเดิม ใต้ถุนบ้านลมพัดโบก อากาศเย็นสบาย ฉันอ่านหนังสือแล้วหลับอยู่บนเปลทั้งวัน เธอมาปลุกฉันในตอนเย็น ไปเดินเล่นกันเถอะ เราเดินกันไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ


วันลาพักร้อนของฉันหมดลงแล้ว ฉันต้องกลับแล้ว เธอออกจากเกาะมาส่งฉัน


ฉันต้องนั่งรถไปลงที่แกลง แล้วต่อรถไปสถานีเอกมัย ระหว่างทางเราต่างคุยกันน้อยลง เธอดูเศร้าเหงา เธอบอกถึงเวลาอยู่คนเดียวแล้ว คงเงียบจริงๆ ฉันบอกเธอให้เข้มแข็ง กล้าฝ่าฟัน ขอให้เขียนนิยายสำเร็จนะ ความเหงามันทำอะไรเธอไม่ได้มาตลอดอยู่แล้ว เอาความเงียบที่นี่เป็นแรงใจในการเขียน อีกไม่นานคงได้อ่านนิยายจากทะเลที่มีชื่อเธอเป็นคนเขียนอยู่ที่หน้าปก ฉันอยากอ่านเป็นคนแรก เธอยิ้มให้ฉัน ขอบคุณที่ทำเพื่อเธอมากมาย เธอสัญญาจะเขียนจดหมายถึงฉันสม่ำเสมอ


เธอลงซื้อของฝากฉัน ฉันยืนรอรถอีกคันเพื่อต่อไปแกลง รถมาแล้ว ฉันมองหาเธอยังไม่เห็น ฉันละล้าละลังแล้วก็ตัดใจขึ้นรถ รถออกแล้ว เราไม่ได้โบกมือลากันเลย ฉันปลอบใจตัวเองอย่างเข้มแข็ง บอกตัวเองว่าแล้วจะเขียนจดหมายมาหาเธอ ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องสบตาเศร้าๆและอาลัยอาวรณ์ จากกันอย่างนี้ก็ดีแล้ว เหมือนทิ้งวันที่ผ่านมาไว้ข้างหลังแล้วรอวันหน้ามาเยือนอย่างมีความหวัง


เธอเขียนจดหมายฉบับแรกจากเกาะมันในมาถึงหลังจากที่ฉันกลับมาได้หนึ่งสัปดาห์ เธอบอกว่าตกใจมากที่หาฉันไม่เจอ ถามชาวบ้านแถวนั้น บอกว่าฉันขึ้นรถไปแล้ว เธอกลับเกาะด้วยหัวใจเหงาเศร้า แต่ก็เชื่อมั่นว่าวันข้างหน้ามีเรื่องดีๆรออยู่ เธอยังมีความหวัง เราคงได้เจอกันอีก เธอจึงใช้ชีวิตที่เกาะต่อไปได้อย่างมีความสุข เธอเล่าให้ฉันฟังว่านั่งเรือออกไปหาปลา ตกปลาหมึก เขียนหนังสือ เขียนเพลงสลับกันอยู่อย่างนั้น หน้าคงเป็นปลา เป็นกุ้งเป็นหมึกไปแล้ว เธอบอกฉัน

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง