Skip to main content

เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม


ฉันตอบตกลงเธอไป เพราะฉันชอบทะเลเหลือเกิน ทะเล เปรียบเหมือนพ่อแม่ของฉัน อบอุ่น งดงามเสมอ ทุกครั้งที่ปวดร้าว เหนื่อยหนักกับชีวิต ฉันจะหอบความทุกข์ไปหาทะเล ทะเลจะเห่กล่อม ปลอบโยนจนทุกข์คลายลง ฉันจึงชอบขับรถไปแหลมสมิหราเสมอ หลังลงเวรแล้ว ฉันชวนเพื่อนที่เรียนจบพยาบาลมาด้วยกันจากศิริราช ทำงานอยู่โรงพยาบาลสงขลาไปด้วย

 


 

ไปดูคลื่น เดินเท้าเปล่าบนทราย เห็นปูลมตัวเล็กจิ๋ววิ่งเร็วรี่บนหาด เราต่างวิ่งไล่มัน เอาหัวใจมาผึ่งแดดเสียบ้าง เพื่อนฉันว่า มันจะได้ไม่เหม็นอับ แล้วเราสองคนก็หัวเราะกันเสียงดัง หลังนอนลงบนทรายรับลมอยู่ในเงาของต้นสน แล้วเราต่างหลับอยู่ริมหาดนั้นจนเย็นย่ำ ตื่นแล้วลงเล่นน้ำทะเลด้วยกัน หัวใจฉันโล่งเบาสบายทุกครั้งที่ได้ทำอย่างนั้น


ฉันลาพักร้อน หลังนัดหมายกับเธอแล้ว ฉันนั่งรถไฟแล้วขึ้นรถเมล์ ไปถึงสถานีเอกมัย นัดกับเธอไว้ที่นั่น พบเธอ เธอผอมลงกว่าเก่า ผมยาวรุงรัง มีเพียงแววตาที่แจ่มใส เธอยิ้มทักฉันอย่างดีใจ ไม่คิดว่าจะได้พบกันเลยนะ เธอพูด แล้วเธอยิ้มอายๆให้ฉันพลางบอกว่า ขอบคุณที่ให้เกียรติไปส่งเธอคนพเนจร เธอยังไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเลย ฉันบอกเธอว่า เป็นไงเป็นกันสินะ ขอเพียงเธอเข้มแข็ง ฉันรู้ว่า มีเรื่องดีๆรออยู่ข้างหน้าเสมอ อย่าหวั่นใจไปเลย


เรานั่งรถบัสไประยองด้วยกัน เข้าอำเภอแกลง ลงเรือไปเกาะ เรือโดยสารมีเพียงเที่ยวเดียวเธอได้ข้อมูลมาจากรุ่นพี่ของเธอมาอย่างนั้น คนบนเรือมีเพียงเราและคนขับเรือ บนเรือมีอาหารเต่า เป็นปลาสดตัวเล็กๆที่มีกลิ่นเน่าฉุนติดจมูกอยู่ในกระสอบ เธอพกหนังสือมาลังใหญ่ กีต้าร์และเครื่องพิมพ์ดีด มันวางเด่นอยู่กลางลำ เรือวิ่งฉิวกลางทะเล คลื่นปะทะใต้ท้องเรือแรงจนรู้สึกเหมือนกระแทกตัวเราโดยตรง ลมปลิวผ่านหน้า ทุกอย่างดูแปลกตา ทั้งที่ฉันคุ้นกับทะเลเหลือเกิน


หากแต่ทะเลที่นี่ มันช่างเคว้งคว้างกว้างใหญ่ ข่มหัวใจของฉันให้เล็กลงทันใด ขอบฟ้ามันช่างไกลและเวิ้งว้าง จนหัวใจอ่อนไหวหวาดกลัว มีแต่น้ำทะเลสีเขียวเจิดจ้าเท่านั้นล้อมรอบตัว เหมือนขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง ฉันคิดถึงแม่ ขอพรจากแม่ในใจ ฉันภาวนาให้เราถึงเกาะอย่างปลอดภัย


ไม่น่าเชื่อที่เกาะค่อยๆโผล่ออกมาจากความเวิ้งว้างตรงหน้า ถึงหาดทรายเรือจอดให้เราลง มีบ่ออนุรักษ์เต่าทะเลตัวใหญ่อยู่รอบๆเกาะ ฉันเดินดูเต่าอย่างตื่นเต้น ตัวมันใหญ่เสียจนน่าตกใจ กระดองของมันเป็นสีเขียวแก่ มีตะไคร่น้ำเกาะจนมองดูขลังและน่าเกรงขามมีทั้งเต่ากระและเต่าตนุ เธอคุยกับเจ้าหน้าที่บนเกาะเหมือนคุ้นเคยกันมานาน รุ่นพี่ของเธอส่งข่าวให้เจ้าหน้าที่รู้ว่าเธอจะมาพักเขียนหนังสือที่นี่


เกาะสวยมาก กว้างใหญ่ มีเนื้อที่ 131 ไร่ มีป่าทึบอยู่กลางเกาะ มันสูงชันและมีสระน้ำจืดใหญ่มากอยู่บนนั้น สำหรับเจ้าหน้าที่ใช้ดื่มกิน ที่นี่ใช้ไฟปั่นและไฟจะดับตอนสองทุ่ม เธอพกเทียนไขมามากมาย เมื่อเธอเปิดเป้ที่เธอแบกมา มีปลากระป๋องมาด้วย ฉันหัวเราะเสียงดัง มาอยู่เกาะ มีปลากระป๋องทำไมหนอ เธอบอก เผื่อไว้ในวันที่ต้องทำงานหนัก ไม่ต้องหาเสบียง เปิดแล้วกินได้เลย


เธอตั้งใจมาเขียนนิยายที่นี่ เธอบอกฉันว่าคอยอ่านนะ นิยายของเธอจะมีทั้งคลื่นลมเป็นฉากเดินเรื่อง เธอตั้งใจว่าจะอยู่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเขียนงานเสร็จ เธอบอกฉันอย่างนั้น เราคุยกันระหว่างเดินไปบ้านพัก


ถึงบ้านพัก เป็นบ้านไม้สองชั้น ใต้ถุนโล่งรับลมทะเลมีครัวเล็กๆอยู่หลังบ้าน ชั้นบนเป็นห้องสองห้องและห้องน้ำ เธอผูกเปลให้ฉันตรงชั้นล่าง เอาโต๊ะเล็กๆมาวางไว้ใกล้ๆ เอาไว้วางหนังสือนะ เธอบอก เราต่างพกหนังสือเล่มใหญ่มาแลกกันอ่าน


มีบ้านพักเจ้าหน้าที่อีกสองหลังอยู่ใกล้ๆกัน เป็นครอบครัวมีพ่อแม่ลูกและแม่เฒ่า พี่ผู้ชายบอกเธอว่าแล้วจะชวนเธอไปหาปลาและตกหมึก เธอรับคำอย่างตื่นเต้น เธอบอกว่า เธอคิดถึงเกาะนางคำที่เคยไป เพื่อนในห้องตอนเรียนมอศอสามของเราอยู่ที่นั่น เธอเคยไปกินนอนอยู่บ้านเพื่อนช่วงปิดเทอม คิดถึงแล้วยังสนุกไม่หาย เธอบอก


หลังอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันหลับไปบนเปลจนเย็นย่ำ เธอชวนฉันออกเดินรอบๆเกาะ เราเดินไปนั่งอยู่ริมหาด นั่งดูคลื่น ลมแรงจนพลบค่ำ เราเดินกลับมาบ้านพัก เธอจุดเทียนบนบ้าน เราไม่ต้องใช้ไฟเลยนะ ใช้แสงเทียนนี่แหละ ไฟฉายก็มี เธอถามฉัน กลัวไหม ฉันหัวเราะ กลัวสิ ถามได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันเคยชินกับความมืดเสมอตั้งแต่เล็กๆที่ต้องลุกมาหุงข้าว ทำกับข้าวและอ่านหนังสือไปด้วย ฉันเคยชินกับแสงตะเกียงมาจนโต


มีเรื่องตลกจะเล่าให้เธอฟังด้วย เธอบอก เล่ามาสิ คอยฟังอยู่ แม่ของฉันนะสิ ชอบเดินในความมืดเสมอก่อนออกไปกรีดยาง ฉันได้ยินเสียงแม่เดินอยู่ชั้นล่าง เมื่อฉันลงมา ได้ยินเสียงแม่เดินไปส่งเสียงตดไปด้วย เสียงมันดังขึ้นเรื่อยๆจนฉันหัวเราะแล้วบอกแม่ว่า แม่เปิดไฟหน่อยสิค่ะ แม่ถามฉันว่าเปิดทำไมลูก ฉันตอบแม่ว่า ก็เปิดหาหูรูดทวารหนักของแม่เผื่อมันจะหลุดออกมาตกอยู่แถวนี้ แม่หัวเราะก๊ากจนต้องนั่งลง ฉันหันไปหาเธอเห็นเธอหัวเราะจนหน้าแดง เออตลกจริงๆด้วย เธอว่า บ้านฉันคงอารมณ์ดีกันทั้งบ้านหล่ะสิ ฉันหัวเราะ เป็นเรื่องตลกก่อนนอนน่ะ


อารมณ์ดีก่อนนอน ตื่นเช้ามาจะได้สดใส ฉันบอกเธอ


เช้าแล้ว เสียงคลื่นปลุกฉันตื่น เธอชวนฉันออกเดินมาที่หาด คนงานของเกาะกำลังกลับจากหาปลา เขายกเข่งบนเรือลงมาแล้วบอกเอาไปกินหน่อยไหม เมื่อเราก้มลงมองในเข่งเห็นทั้งกุ้งปลา ปลาหมึก แบ่งไปนะครับ แล้วเขาก็หยิบมาใส่ถุงให้เรา ฉันยกมือไหว้ขอบคุณเขาแล้วเราต่างเดินกลับมาบ้านพัก ฉันต้มปลาหมึก ทอดปลา กับข้าวมื้อเช้าวันนั้นอร่อยมาก เธอบอกฉันว่าจะทำงานบนบ้านสักพักใหญ่ ฉันขอจองเปลเหมือนเดิม ใต้ถุนบ้านลมพัดโบก อากาศเย็นสบาย ฉันอ่านหนังสือแล้วหลับอยู่บนเปลทั้งวัน เธอมาปลุกฉันในตอนเย็น ไปเดินเล่นกันเถอะ เราเดินกันไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ


วันลาพักร้อนของฉันหมดลงแล้ว ฉันต้องกลับแล้ว เธอออกจากเกาะมาส่งฉัน


ฉันต้องนั่งรถไปลงที่แกลง แล้วต่อรถไปสถานีเอกมัย ระหว่างทางเราต่างคุยกันน้อยลง เธอดูเศร้าเหงา เธอบอกถึงเวลาอยู่คนเดียวแล้ว คงเงียบจริงๆ ฉันบอกเธอให้เข้มแข็ง กล้าฝ่าฟัน ขอให้เขียนนิยายสำเร็จนะ ความเหงามันทำอะไรเธอไม่ได้มาตลอดอยู่แล้ว เอาความเงียบที่นี่เป็นแรงใจในการเขียน อีกไม่นานคงได้อ่านนิยายจากทะเลที่มีชื่อเธอเป็นคนเขียนอยู่ที่หน้าปก ฉันอยากอ่านเป็นคนแรก เธอยิ้มให้ฉัน ขอบคุณที่ทำเพื่อเธอมากมาย เธอสัญญาจะเขียนจดหมายถึงฉันสม่ำเสมอ


เธอลงซื้อของฝากฉัน ฉันยืนรอรถอีกคันเพื่อต่อไปแกลง รถมาแล้ว ฉันมองหาเธอยังไม่เห็น ฉันละล้าละลังแล้วก็ตัดใจขึ้นรถ รถออกแล้ว เราไม่ได้โบกมือลากันเลย ฉันปลอบใจตัวเองอย่างเข้มแข็ง บอกตัวเองว่าแล้วจะเขียนจดหมายมาหาเธอ ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องสบตาเศร้าๆและอาลัยอาวรณ์ จากกันอย่างนี้ก็ดีแล้ว เหมือนทิ้งวันที่ผ่านมาไว้ข้างหลังแล้วรอวันหน้ามาเยือนอย่างมีความหวัง


เธอเขียนจดหมายฉบับแรกจากเกาะมันในมาถึงหลังจากที่ฉันกลับมาได้หนึ่งสัปดาห์ เธอบอกว่าตกใจมากที่หาฉันไม่เจอ ถามชาวบ้านแถวนั้น บอกว่าฉันขึ้นรถไปแล้ว เธอกลับเกาะด้วยหัวใจเหงาเศร้า แต่ก็เชื่อมั่นว่าวันข้างหน้ามีเรื่องดีๆรออยู่ เธอยังมีความหวัง เราคงได้เจอกันอีก เธอจึงใช้ชีวิตที่เกาะต่อไปได้อย่างมีความสุข เธอเล่าให้ฉันฟังว่านั่งเรือออกไปหาปลา ตกปลาหมึก เขียนหนังสือ เขียนเพลงสลับกันอยู่อย่างนั้น หน้าคงเป็นปลา เป็นกุ้งเป็นหมึกไปแล้ว เธอบอกฉัน

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …