Skip to main content

ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้

ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน

ค่ำคืนยาวนานที่ผ่านมาของพ่ออยู่ในแถวตรงของสวนยางนั้น พ่อเคยบอกฉันว่า นี่ถ้านับระยะทางที่พ่อเดินวนรอบต้นยางในสวนของเราตั้งแต่ฉันยังไม่เกิดจนถึงวันนี้รวมกันคงได้เกือบรอบโลกแล้ว ฉันได้แต่ยิ้มและเห็นด้วยในถ้อยคำของพ่อ

คืนนี้ฉันนั่งอยู่กับพ่อ แม้เวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันใกล้จะหมดลงแล้ว แต่ฉันจะใช้ทุกวินาทีที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อพ่อคนที่ทำเพื่อคนอื่นมาชั่วชีวิต แม้ว่าฉันจะยังอยากอยู่ดูแลพ่อมากมายเพียงไหนก็ตาม  เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องแยกจากกัน ในใจของฉันภาวนาให้พ่อหายวันหายคืน ไม่มีอะไรน่ากลัวเหมือนวันที่ผ่านมาของพ่ออีกแล้ว ฉันจึงนั่งลืมตาอยู่ในม่าน จ้องมองพ่อ  อยากเก็บภาพพ่อไว้ในความทรงจำให้นานที่สุด

นึกย้อนไปถึงวันฝนตกโปรย พ่อจะลุกขึ้นมายืนมองฟ้าอยู่นาน ชั่งใจว่าฝนจะตกอีกนานไหม จะหนักขึ้นหรือเปล่า ฝนเริ่มเงียบลง พ่อจะเตรียมตัวไปกรีดยาง หลังสวมชุดที่เปื้อนน้ำยางจนเกรอะกรังแล้ว พ่อเอาตะเกียงถ่านหินคาดที่เอว สายไฟโยงมาเปิดแสงที่หน้าผาก พ่อใช้ตะเกียงนำทางเมื่อเดินไปในที่มืด

ฉันมักจะตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเดินลงมาชั้นล่างของบ้าน ฉันเห็นพ่อ เห็นแสงสว่างจากหน้าผากพ่อ แล้วพ่อก็ขับมอเตอร์ไซค์คันเก่าออกไป หลายครั้งที่พ่อกลับมา หลังจากออกไปได้ไม่นาน พ่อบอกว่าฝนตกหนักขึ้น พ่อกรีดยางไม่ได้เพราะฝนจะทำให้หน้ายางเสีย น้ำยางจะจับกันเป็นก้อนไม่สามารถทำเป็นยางแผ่นได้  ถึงกระนั้นพ่อก็ยังลุกจากที่นอนอุ่นตอนกลางดึก ไปถูกฝนจนเปียกปอน เพราะพ่อมีพวกเรา อย่างไรก็ตามพ่อต้องเสี่ยงที่จะเปียกปอนและกลับมามือเปล่า

ภาพพ่อในวันนั้นวันฝนตก เป็นกำลังใจให้ฉันในตอนที่ต้องลุกขึ้นอาบน้ำไปเข้าเวรในตอนดึกของหน้าหนาว  ฉันมักจะคิดถึงพ่อ คิดว่า ป่านนี้พ่อคงเดินอยู่ในสวนยางแล้ว ฝนจะตกอีกหรือเปล่า พ่อคงเปียกฝนครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าที่จะเลี้ยงให้พวกเราโตขึ้น  พ่อคงหนาวกว่า                 

ในหัวใจฉันจึงรู้สึกอบอุ่นเสมอ   เมื่อต้องสลัดผ้าห่มอุ่นออกจากตัว  อาบน้ำที่เย็นเฉียบ แต่งตัวไปเข้าเวรในตอนดึกที่เงียบเหงา ขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าไปในลมหนาวที่บาดลึก เย็นเยือก ผ่านความมืดสองข้างทาง เนื้อตัวสั่นเทา บางคราวเปียกฝนไปทั้งตัวกว่าจะถึงโรงพยาบาล  ฉันรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อสั่นไปทั้งตัวด้วยความหนาว มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ เมื่อนึกถึงพ่อ ฉันมองฟ้าทางทิศใต้ ที่ขอบฟ้านั้น ฉันรู้ว่าพ่อเดินเคียงข้างเป็นเพื่อนฉันเสมอ ในความมืดของกลางคืนจวบจนรุ่งสาง แม้เราจะไม่ได้เห็นหน้ากัน  อยู่ห่างไกลคนละฟากฟ้าก็ตาม  

เช้าแล้วพ่อตื่นขึ้นมา หลังเช็ดตัวให้พ่อเสร็จแล้ว ฉันเช็ดตา หยอดตาให้พ่อ พยุงพ่อออกเดิน รอยบวมแดงที่เข่าขวายุบลง  หลังเราช่วยกันนวดขาขวาแล้วฉันค่อยๆงอเข่าพ่อ บอกพ่อว่า เราต้องงอมันวันละนิดไปเรื่อยๆจนสามารถงอได้ตามปกติ  กล้ามเนื้อขาขวาของพ่อดูลีบและเล็กลงกว่าข้างซ้าย ฉันจึงให้พ่อฝึกกำลังขาโดยนั่งเตะขาบนเก้าอี้ข้างเตียง หลังพ่อกินข้าวต้มในตอนเช้า  พ่อดูสดชื่น  มีฉันนั่งอยู่ข้างๆพ่อ

ฉันถามพ่อว่า พ่อเคยเจองูในสวนตอนดึกไหม พ่อตอบฉันว่า เคยสิเป็นงูเหลือมเสียด้วย ตัวโตมากเท่าขาพ่อเลย   พ่อสวดมนต์แล้วมันก็เลื้อยหายไป  ยิ่งหน้าฝน พ่อเจอมันบ่อย แต่ไม่เคยถูกมันกัด เราต่างคนต่างอยู่  พ่อว่า   

ฉันจึงเล่าให้พ่อฟังว่า นึกถึงวันนั้นวันที่แม่ใช้ให้ฉันไปซื้อกะปิ   ทุกครั้งแม่จะแกงเลียงในเตาไฟในดินที่พ่อขุดไว้ทำเตาในสวนยาง ทางที่ต้องเดินผ่านสวนรกร้าง ฉันกลัวงูเป็นที่สุด ยิ่งเห็นต้นยางแก่ที่ยืนเรียงราย สูงใหญ่ เห็นกิ่งยางเป็นงูไปเสียหมด ฉันจึงออกวิ่ง  หกล้มหกลุกไปตลอดทาง  ข้ามหนองน้ำที่ลึกถึงเอว  กว่าจะลุยไปถึงบ้านคนขายของชำ ฉันก็เกือบหมดแรงแล้ว หัวเข่ามีแต่รอยแผล ยิ่งตอนขากลับฉันยิ่งกลัว มือกำกะปิที่ป้าห่อให้ไว้แน่น แล้วออกวิ่ง จนถึงสวนยางที่แม่และพ่อรออยู่   แล้วยื่นห่อกะปิที่ฉันขยุ้มมันเสียจนไร้รูปทรงให้แม่ พ่อหัวเราะเสียงดังพลางพูดว่า เราน่ะขึ้นชื่อในเรื่องความขี้กลัว

เมื่อตอนฉันโตขึ้นและทำงานแล้ว ฉันเคยปั่นจักรยานไปยืนดูเส้นทางที่ฉันเคยกลัวจนต้องวิ่งผ่าน  ฉันรู้สึกว่าระยะทางจากสวนของเราไปยังร้านขายของ มันใกล้นิดเดียว ในขณะที่ตอนนั้นฉันรู้สึกว่า มันไกลแสนไกล อย่างนั้นแหละ พ่อว่า ตอนเรายังเด็กอะไรก็ดูน่ากลัวไปหมด           

เมื่อก่อนตอนที่ไปช่วยพ่อเก็บน้ำยางในสวน ฉันกลัวงูเป็นที่สุด เวลาเดินจะเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา  ไม่ยอมเดินไปเทน้ำยางที่เก็บได้ในถังแบ่งที่พ่อวางไว้ตรงแถวกลางๆของสวน กลับเต็มใจเดินหิ้วถังที่หนักอึ้งไปเรื่อยๆทีละแถว ทีละแถว จนไกลออกไปทุกที  น้ำยางในถังก็หนักอึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งหิ้วแทบจะไม่ไหวแล้วเราก็ต้องสะดุดตอไม้หกล้ม น้ำยางหกจนเกือบหมดถัง  บางคราวเป็นแผลถลอกแต่ด้วยความกลัว  เรารีบลุกขึ้น คว้าถังน้ำยางที่ยังเหลือไปเทในถังแบ่ง

ถึงกระนั้นเมื่อพ่อกลับมาก็ยังเห็นกองน้ำยางที่เปื้อนอยู่บนดิน แล้วพ่อก็นั่งลงแซะดินที่เปื้อนน้ำยางนั้น เก็บมันมาเป็นยางก้อน เก็บไว้ขายได้ต่อได้แม้จะราคาต่ำไม่เท่ายางแผ่น  

บางคราวเรายืนรอให้พ่อเอ่ยปากว่าเราบ้างที่สะเพร่า เลินเล่อจนเสียของ  แต่พ่อไม่เคยเอ่ยปากว่าเราเลยสักคำ ฉันนึกต่อไปถึงการทำถ้วยชามแตกประจำวัน  พ่อและแม่ไม่เคยดุด่าว่ากล่าว มีแต่เพียงบอกเบาๆว่าคราวหลังระวังหน่อยนะลูกเท่านั้น  ฉันยืนมองพ่อแซะก้อนยางจากดินอย่างนั้นแล้วนึกสงสาร  บอกตัวเองว่าต่อไปจะระมัดระวังมากยิ่งขึ้น   เมื่อถามเหตุผลว่าทำไมพ่อจึงไม่ว่าอะไรสักคำ พ่อตอบฉันว่า  พ่อรู้ว่าเราไม่ตั้งใจหรอก แล้วก็แล้วกันไป ไม่เป็นไรหรอกลูก

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพวกเราจึงโตมาอย่างอบอุ่นใจ แม้ชีวิตจะพลาดพลั้งไปบ้าง หกล้มหกลุก แต่เรารู้ว่า พ่อจะคอยยืนเคียงข้างเรา  ให้อภัยและรักพวกเราเสมอมา

หมอมาทำแผลให้พ่อแล้ว แผลแห้งลงแล้ว รอยแดงยุบหายไปจนเหลือเนื้อสีคล้ำ แผลดีแล้วนะลุงไม่กี่วันคงได้กลับบ้านแล้ว วันนี้ย้ายเข้าห้องพิเศษได้แล้วนะ  พ่อยิ้มให้หมออย่างดีใจ

ฉันลุกเดินออกจากเตียงพ่อ   ล้มตัวลงนอนคุดคู้บนเสื่อในซอกมุมข้างตึกที่พ่อนอน มองฟ้า แล้วหลับตา ภาวนาให้วันป่วยไข้ของพ่อสิ้นสุดลง ให้ความแข็งแกร่งของพ่อกลับคืนมา   ให้พ่อได้เดินในท้องทุ่งและสวนยางที่พ่อรักเหมือนในวันที่ผ่านมา .ให้พ่อได้มองเห็นดวงดาวในคืนเดือนมืด และฟ้าแจ่มในคืนเดือนหงายที่พ่อชอบตื่นขึ้นมายืนมอง ก่อนออกไปกรีดยาง

ใกล้ถึงเวลาที่ฉันต้องจากพ่อไปแล้ว กลับไปทางเดิมที่ฉันย่ำเดินระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล เสียงหัวเราะ พูดคุยของฉันกับพ่อคงเงียบหายไปด้วย คนไข้ข้างเตียงคงรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงา แม้หัวใจฉันจะเศร้าแต่ฉันรู้ วันร้ายของพ่อกำลังจะผ่านไปแล้วรอวันดีระหว่างเรากลับคืนมาเยือน  ฉันหลับตาลง ภาวนาให้พ่อหายดีและกลับมาเดินได้ ในเร็ววัน แม้เราต้องอยู่ห่างไกลกันคนละฟากฟ้า  ในวันคืนที่หนักหน่วงของชีวิต พ่อไม่เคยอยู่ห่างฉันเลย ฉันรู้เสมอ เราไม่เคยห่างไกลกันเลย
                                  

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง