Skip to main content

เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม


ฉันตอบตกลงเธอไป เพราะฉันชอบทะเลเหลือเกิน ทะเล เปรียบเหมือนพ่อแม่ของฉัน อบอุ่น งดงามเสมอ ทุกครั้งที่ปวดร้าว เหนื่อยหนักกับชีวิต ฉันจะหอบความทุกข์ไปหาทะเล ทะเลจะเห่กล่อม ปลอบโยนจนทุกข์คลายลง ฉันจึงชอบขับรถไปแหลมสมิหราเสมอ หลังลงเวรแล้ว ฉันชวนเพื่อนที่เรียนจบพยาบาลมาด้วยกันจากศิริราช ทำงานอยู่โรงพยาบาลสงขลาไปด้วย

 


 

ไปดูคลื่น เดินเท้าเปล่าบนทราย เห็นปูลมตัวเล็กจิ๋ววิ่งเร็วรี่บนหาด เราต่างวิ่งไล่มัน เอาหัวใจมาผึ่งแดดเสียบ้าง เพื่อนฉันว่า มันจะได้ไม่เหม็นอับ แล้วเราสองคนก็หัวเราะกันเสียงดัง หลังนอนลงบนทรายรับลมอยู่ในเงาของต้นสน แล้วเราต่างหลับอยู่ริมหาดนั้นจนเย็นย่ำ ตื่นแล้วลงเล่นน้ำทะเลด้วยกัน หัวใจฉันโล่งเบาสบายทุกครั้งที่ได้ทำอย่างนั้น


ฉันลาพักร้อน หลังนัดหมายกับเธอแล้ว ฉันนั่งรถไฟแล้วขึ้นรถเมล์ ไปถึงสถานีเอกมัย นัดกับเธอไว้ที่นั่น พบเธอ เธอผอมลงกว่าเก่า ผมยาวรุงรัง มีเพียงแววตาที่แจ่มใส เธอยิ้มทักฉันอย่างดีใจ ไม่คิดว่าจะได้พบกันเลยนะ เธอพูด แล้วเธอยิ้มอายๆให้ฉันพลางบอกว่า ขอบคุณที่ให้เกียรติไปส่งเธอคนพเนจร เธอยังไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเลย ฉันบอกเธอว่า เป็นไงเป็นกันสินะ ขอเพียงเธอเข้มแข็ง ฉันรู้ว่า มีเรื่องดีๆรออยู่ข้างหน้าเสมอ อย่าหวั่นใจไปเลย


เรานั่งรถบัสไประยองด้วยกัน เข้าอำเภอแกลง ลงเรือไปเกาะ เรือโดยสารมีเพียงเที่ยวเดียวเธอได้ข้อมูลมาจากรุ่นพี่ของเธอมาอย่างนั้น คนบนเรือมีเพียงเราและคนขับเรือ บนเรือมีอาหารเต่า เป็นปลาสดตัวเล็กๆที่มีกลิ่นเน่าฉุนติดจมูกอยู่ในกระสอบ เธอพกหนังสือมาลังใหญ่ กีต้าร์และเครื่องพิมพ์ดีด มันวางเด่นอยู่กลางลำ เรือวิ่งฉิวกลางทะเล คลื่นปะทะใต้ท้องเรือแรงจนรู้สึกเหมือนกระแทกตัวเราโดยตรง ลมปลิวผ่านหน้า ทุกอย่างดูแปลกตา ทั้งที่ฉันคุ้นกับทะเลเหลือเกิน


หากแต่ทะเลที่นี่ มันช่างเคว้งคว้างกว้างใหญ่ ข่มหัวใจของฉันให้เล็กลงทันใด ขอบฟ้ามันช่างไกลและเวิ้งว้าง จนหัวใจอ่อนไหวหวาดกลัว มีแต่น้ำทะเลสีเขียวเจิดจ้าเท่านั้นล้อมรอบตัว เหมือนขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง ฉันคิดถึงแม่ ขอพรจากแม่ในใจ ฉันภาวนาให้เราถึงเกาะอย่างปลอดภัย


ไม่น่าเชื่อที่เกาะค่อยๆโผล่ออกมาจากความเวิ้งว้างตรงหน้า ถึงหาดทรายเรือจอดให้เราลง มีบ่ออนุรักษ์เต่าทะเลตัวใหญ่อยู่รอบๆเกาะ ฉันเดินดูเต่าอย่างตื่นเต้น ตัวมันใหญ่เสียจนน่าตกใจ กระดองของมันเป็นสีเขียวแก่ มีตะไคร่น้ำเกาะจนมองดูขลังและน่าเกรงขามมีทั้งเต่ากระและเต่าตนุ เธอคุยกับเจ้าหน้าที่บนเกาะเหมือนคุ้นเคยกันมานาน รุ่นพี่ของเธอส่งข่าวให้เจ้าหน้าที่รู้ว่าเธอจะมาพักเขียนหนังสือที่นี่


เกาะสวยมาก กว้างใหญ่ มีเนื้อที่ 131 ไร่ มีป่าทึบอยู่กลางเกาะ มันสูงชันและมีสระน้ำจืดใหญ่มากอยู่บนนั้น สำหรับเจ้าหน้าที่ใช้ดื่มกิน ที่นี่ใช้ไฟปั่นและไฟจะดับตอนสองทุ่ม เธอพกเทียนไขมามากมาย เมื่อเธอเปิดเป้ที่เธอแบกมา มีปลากระป๋องมาด้วย ฉันหัวเราะเสียงดัง มาอยู่เกาะ มีปลากระป๋องทำไมหนอ เธอบอก เผื่อไว้ในวันที่ต้องทำงานหนัก ไม่ต้องหาเสบียง เปิดแล้วกินได้เลย


เธอตั้งใจมาเขียนนิยายที่นี่ เธอบอกฉันว่าคอยอ่านนะ นิยายของเธอจะมีทั้งคลื่นลมเป็นฉากเดินเรื่อง เธอตั้งใจว่าจะอยู่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเขียนงานเสร็จ เธอบอกฉันอย่างนั้น เราคุยกันระหว่างเดินไปบ้านพัก


ถึงบ้านพัก เป็นบ้านไม้สองชั้น ใต้ถุนโล่งรับลมทะเลมีครัวเล็กๆอยู่หลังบ้าน ชั้นบนเป็นห้องสองห้องและห้องน้ำ เธอผูกเปลให้ฉันตรงชั้นล่าง เอาโต๊ะเล็กๆมาวางไว้ใกล้ๆ เอาไว้วางหนังสือนะ เธอบอก เราต่างพกหนังสือเล่มใหญ่มาแลกกันอ่าน


มีบ้านพักเจ้าหน้าที่อีกสองหลังอยู่ใกล้ๆกัน เป็นครอบครัวมีพ่อแม่ลูกและแม่เฒ่า พี่ผู้ชายบอกเธอว่าแล้วจะชวนเธอไปหาปลาและตกหมึก เธอรับคำอย่างตื่นเต้น เธอบอกว่า เธอคิดถึงเกาะนางคำที่เคยไป เพื่อนในห้องตอนเรียนมอศอสามของเราอยู่ที่นั่น เธอเคยไปกินนอนอยู่บ้านเพื่อนช่วงปิดเทอม คิดถึงแล้วยังสนุกไม่หาย เธอบอก


หลังอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันหลับไปบนเปลจนเย็นย่ำ เธอชวนฉันออกเดินรอบๆเกาะ เราเดินไปนั่งอยู่ริมหาด นั่งดูคลื่น ลมแรงจนพลบค่ำ เราเดินกลับมาบ้านพัก เธอจุดเทียนบนบ้าน เราไม่ต้องใช้ไฟเลยนะ ใช้แสงเทียนนี่แหละ ไฟฉายก็มี เธอถามฉัน กลัวไหม ฉันหัวเราะ กลัวสิ ถามได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันเคยชินกับความมืดเสมอตั้งแต่เล็กๆที่ต้องลุกมาหุงข้าว ทำกับข้าวและอ่านหนังสือไปด้วย ฉันเคยชินกับแสงตะเกียงมาจนโต


มีเรื่องตลกจะเล่าให้เธอฟังด้วย เธอบอก เล่ามาสิ คอยฟังอยู่ แม่ของฉันนะสิ ชอบเดินในความมืดเสมอก่อนออกไปกรีดยาง ฉันได้ยินเสียงแม่เดินอยู่ชั้นล่าง เมื่อฉันลงมา ได้ยินเสียงแม่เดินไปส่งเสียงตดไปด้วย เสียงมันดังขึ้นเรื่อยๆจนฉันหัวเราะแล้วบอกแม่ว่า แม่เปิดไฟหน่อยสิค่ะ แม่ถามฉันว่าเปิดทำไมลูก ฉันตอบแม่ว่า ก็เปิดหาหูรูดทวารหนักของแม่เผื่อมันจะหลุดออกมาตกอยู่แถวนี้ แม่หัวเราะก๊ากจนต้องนั่งลง ฉันหันไปหาเธอเห็นเธอหัวเราะจนหน้าแดง เออตลกจริงๆด้วย เธอว่า บ้านฉันคงอารมณ์ดีกันทั้งบ้านหล่ะสิ ฉันหัวเราะ เป็นเรื่องตลกก่อนนอนน่ะ


อารมณ์ดีก่อนนอน ตื่นเช้ามาจะได้สดใส ฉันบอกเธอ


เช้าแล้ว เสียงคลื่นปลุกฉันตื่น เธอชวนฉันออกเดินมาที่หาด คนงานของเกาะกำลังกลับจากหาปลา เขายกเข่งบนเรือลงมาแล้วบอกเอาไปกินหน่อยไหม เมื่อเราก้มลงมองในเข่งเห็นทั้งกุ้งปลา ปลาหมึก แบ่งไปนะครับ แล้วเขาก็หยิบมาใส่ถุงให้เรา ฉันยกมือไหว้ขอบคุณเขาแล้วเราต่างเดินกลับมาบ้านพัก ฉันต้มปลาหมึก ทอดปลา กับข้าวมื้อเช้าวันนั้นอร่อยมาก เธอบอกฉันว่าจะทำงานบนบ้านสักพักใหญ่ ฉันขอจองเปลเหมือนเดิม ใต้ถุนบ้านลมพัดโบก อากาศเย็นสบาย ฉันอ่านหนังสือแล้วหลับอยู่บนเปลทั้งวัน เธอมาปลุกฉันในตอนเย็น ไปเดินเล่นกันเถอะ เราเดินกันไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ


วันลาพักร้อนของฉันหมดลงแล้ว ฉันต้องกลับแล้ว เธอออกจากเกาะมาส่งฉัน


ฉันต้องนั่งรถไปลงที่แกลง แล้วต่อรถไปสถานีเอกมัย ระหว่างทางเราต่างคุยกันน้อยลง เธอดูเศร้าเหงา เธอบอกถึงเวลาอยู่คนเดียวแล้ว คงเงียบจริงๆ ฉันบอกเธอให้เข้มแข็ง กล้าฝ่าฟัน ขอให้เขียนนิยายสำเร็จนะ ความเหงามันทำอะไรเธอไม่ได้มาตลอดอยู่แล้ว เอาความเงียบที่นี่เป็นแรงใจในการเขียน อีกไม่นานคงได้อ่านนิยายจากทะเลที่มีชื่อเธอเป็นคนเขียนอยู่ที่หน้าปก ฉันอยากอ่านเป็นคนแรก เธอยิ้มให้ฉัน ขอบคุณที่ทำเพื่อเธอมากมาย เธอสัญญาจะเขียนจดหมายถึงฉันสม่ำเสมอ


เธอลงซื้อของฝากฉัน ฉันยืนรอรถอีกคันเพื่อต่อไปแกลง รถมาแล้ว ฉันมองหาเธอยังไม่เห็น ฉันละล้าละลังแล้วก็ตัดใจขึ้นรถ รถออกแล้ว เราไม่ได้โบกมือลากันเลย ฉันปลอบใจตัวเองอย่างเข้มแข็ง บอกตัวเองว่าแล้วจะเขียนจดหมายมาหาเธอ ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องสบตาเศร้าๆและอาลัยอาวรณ์ จากกันอย่างนี้ก็ดีแล้ว เหมือนทิ้งวันที่ผ่านมาไว้ข้างหลังแล้วรอวันหน้ามาเยือนอย่างมีความหวัง


เธอเขียนจดหมายฉบับแรกจากเกาะมันในมาถึงหลังจากที่ฉันกลับมาได้หนึ่งสัปดาห์ เธอบอกว่าตกใจมากที่หาฉันไม่เจอ ถามชาวบ้านแถวนั้น บอกว่าฉันขึ้นรถไปแล้ว เธอกลับเกาะด้วยหัวใจเหงาเศร้า แต่ก็เชื่อมั่นว่าวันข้างหน้ามีเรื่องดีๆรออยู่ เธอยังมีความหวัง เราคงได้เจอกันอีก เธอจึงใช้ชีวิตที่เกาะต่อไปได้อย่างมีความสุข เธอเล่าให้ฉันฟังว่านั่งเรือออกไปหาปลา ตกปลาหมึก เขียนหนังสือ เขียนเพลงสลับกันอยู่อย่างนั้น หน้าคงเป็นปลา เป็นกุ้งเป็นหมึกไปแล้ว เธอบอกฉัน

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอเป็นเพื่อนฉัน เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมนั่นแล้ว แม้ว่าฉันจะเป็นเด็กเรียนที่นั่งโต๊ะตัวแรกกลางห้องของ แถวที่สามจากโต๊ะทั้งหมดห้าแถว ครูจะมายืนที่หน้าโต๊ะของฉันทุกคน เวลาครูสอน น้ำลายจากปากครูจะกระเด็นลงบนหัวฉัน ฉันต้องคอยเอาสมุดปิดหัวไว้และสระผมทุกวัน ทุกครั้งที่สอบฉันจะได้ตำแหน่งที่หนึ่งหรือที่สองของห้องเสมอ เธอนั่งอยู่โต๊ะรองสุดท้ายของแถวที่ห้าของห้อง
มาลำ
พี่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งบนโลกใบนี้ แม้พี่จะเป็นนักเขียนที่ฉันหลงรักตั้งแต่หัดอ่านหนังสือ แต่ก็เพียงชื่นชอบอยู่ไกลๆ เราพบกันที่ร้านเล่าเสมอ เวลามีกิจกรรมต่างๆ พี่จะมากันทั้งครอบครัวพ่อ แม่ ลูกสาว ลูกชาย ฉันมักแอบมองพี่แล้วทึ่งในถ้อยคำที่พี่เขียน มันออกมาจากส่วนไหนของพี่หนอ ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน มันต้องเป็นที่หัวใจแน่ๆเลย เพราะพี่ดูเป็นคนดีเหลือเกิน
มาลำ
ตอนเด็กๆ ฉันเป็นเด็กที่น่ารังเกียจ ขี้โกรธ เอาแต่ใจตัวเอง สกปรก ชอบเกี่ยงงานให้พี่สาวทำงานหนักจนตัวแคระแกร็น ส่วนตัวชอบหนีเที่ยว ไปเก็บเห็ดบ้าง ไปตกปลาบ้าง ทั้งที่รู้ว่า กลับมาบ้านแม่จะตีฉันจนยับเยิน หากแต่ฉันไม่เคยนึกกลัว เจ็บแล้วหายวันรุ่งขึ้นไปใหม่
มาลำ
ฝนตกพรำๆ เจ้าหลานสาวอายุสิบหกของฉัน ที่แม่น้องสาวฝากให้ดูแล ส่งเล่าเรียนตั้งแต่ชั้นมอสี่ยังไม่เข้าบ้าน  นาฬิกาข้างฝาบอกเวลายี่สิบสองนาฬิกา เกิดอะไรขึ้นกับเธอหนอ ในอกของฉันเหมือนถูกไฟโลกันต์แผดเผา โทรหาอย่างไรเธอก็ไม่รับสายเหมือนเธอล่องหน ไปไหนหนอ เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง เธอทำอะไร อยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่เข้าบ้าน ออกไปตามที่ไหนดี และถ้าอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเธอ ใครหนอจะช่วยเธอได้
มาลำ
ศรีตรังคลี่กลีบสีม่วงสวยออกมาแย้มยิ้ม  ทักทายสายลมร้อน เฉลา อินทนิล โบกกลีบ มาถึงแล้วสีม่วงสุดสวย ละมุนละไม แดดร้อนตอนเที่ยงวัน เนื้อตัวเหมือนแสบไหม้ ไอร้อนจากถนนโชยมา ฉันก้มหน้าก้มตาเดิน หาต้นไม้ในหัวใจสักต้น โน่นไง ฉันก้าวเท้าเข้าไปหา ไฮเดรนเยียสีโปรดของฉัน สีม่วงครามกำลังบาน บ่ายแล้ว ผู้หญิงหน้าตาไหม้เกรียมกำลังหอบต้นไม้ออกดอกสีม่วงขึ้นรถมุ่งตรงไปวัด
มาลำ
บ้านของย่าอยู่ริมฝั่งคลอง เป็นบ้านไม้ยกสูง เวลาเดินแผ่นไม้ในบ้านส่งเสียงดังตามจังหวะการเดิน ย่าคอยบอก เดินค่อยๆนะลูก ย่องๆเดินนะทำเป็นไหม จะได้ไม่มีเสียงดัง ย่าชอบทำขนม ที่บ้านย่าจึงมีหลานๆเต็มบ้าน  ลูกๆของน้าชาย น้าสาวและพี่น้องของฉันอีกหกคน หนึ่งในเด็กหลายคนนั้น มีอยู่คนเดียวที่เป็นเหตุผลของการขอแม่ไปนอนบ้านย่าของฉัน เขาเป็นลูกของน้าสาว อายุเท่าฉัน ตัวโต ผิวคล้ำ ดวงตาเขาเศร้า ท่าทีเงียบขรึม   เขาว่ายน้ำเก่ง จับปลาได้คล่องแคล่ว   ไม่มีท่าทีรำคาญที่พี่สาวอย่างฉัน คอยเดินตามเขา คอยถามโน่นถามนี่ตลอดเวลา ฉันติดเขาแจจนย่าออกปาก ระวังนะ เหาบนหัวจะกระโดดมาหากัน…
มาลำ
น้ำในคลองวังหยีสีเขียวเข้ม ชื่อคลองวังหยีเพราะมีต้นหยีต้นใหญ่อยู่ริมฝั่ง เป็นคลองสายหลักที่ไหลผ่านทุ่งนากว้างใหญ่ของหมู่บ้าน น้ำจะไหลเชี่ยวและกัดเซาะทุกอย่างที่ขวางหน้า ก่อนจะไหลข้ามสะพาน น้ำจะไหลเอื่อยลงไปในแอ่งลึกที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเรียกว่าวัง น้ำในวังจะสีเขียวเข้มกว่าส่วนอื่น เพราะความลึกของมัน แค่เพ่งมองฉันก็นึกกลัวขึ้นมา ยิ่งแว่วเสียงคนบอกเล่า มีผีพรายอยู่ในวังด้วยนะ ผีพรายเป็นผู้หญิงผมยาวที่เฝ้าอยู่ในวัง เวลาเล่นน้ำระวังเถิดมันจะมาดึงขาลากลงไปอยู่ในวังด้วยกัน ฉันกลัวจนตัวสั่น ทำให้ฉันต้องลืมตาทุกครั้งเวลาดำน้ำ หลังไปช่วยแม่เก็บน้ำยางที่สวน…
มาลำ
  หนังสือชื่อ ผมเป็นมะเร็งอายุ 5 ขวบ วางอยู่บนโต๊ะของฉันมานาน ฉันทำได้แค่มองผ่าน ทั้งที่อยากจะเปิดอ่านเหลือเกิน ฉันชอบอ่านหนังสือเพราะโลกของฉันมันแสนเศร้า เวลาที่ปวดร้าวฉันต้องนั่งลงเปิดหนังสือแล้วทุ่มตัวลงอ่าน อ่านเหมือนคนที่ไม่เคยได้อ่านมาตลอดชีวิต นึกถึงคำของแม่เวลาที่ฉันช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว ฉันช่วยแม่ตำน้ำพริก แม่จะโวยวายใส่ฉันทุกครั้งที่ฉันวางหนังสือไว้ข้างตัว แม่บอกว่าเลิกอ่านก่อน ทำงานให้แม่เสร็จก่อน ฉันหัวเราะแล้วหยิบเอากระดาษห่อของยกขึ้นมาอ่าน ตำน้ำพริกไปด้วยสำหรับหนังสือเล่มนี้ของฉัน แค่มองเห็นหน้าเด็กชายคนนี้ที่นอนชูสองนิ้วยิ้มหวานปากแดงแล้วบอกว่า…
มาลำ
  น้องรัก ไปสู่ความสงบที่สุดนะ เวลาของเธอมาถึง  เธอผ่านพ้นความทรมานแล้ว  แม้เรายังไม่ได้พบกัน เสียงเพลงของเธอยังดังกังวานให้ฉันได้ยิน ถ้อยคำที่เธอพูดยังดังแว่วอยู่ในหู เสียงเธอที่สดใสหลังฟังเพลงด้วยกันยังดังอยู่ แม้มือของฉันเอื้อมไปไม่ถึงเธอ  เราจากกันเสียแล้ว    ทำไมหนอชีวิตได้โหดร้ายนัก เธออายุสี่สิบปีเท่านั้นเอง ...........................                                     …
มาลำ
เสียงเธอดังแว่วแผ่วมาตามสาย อยู่โรงพยาบาลครับพี่ ท้องบวมแล้วเหนื่อยมาก หมอให้นอนให้น้ำเกลือ เหนื่อยครับเหนื่อยจัง เธอพูดเหมือนเพ้อ ฟังไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน บางตอนเหมือนคนไข้ที่กำลังแย่แล้วเสียงหอบหายใจแรงดังเข้ามาในสาย ฉันตกใจ ละล้าละลัง ฟังเธอพูดแล้วนึกอยากไปให้ถึงตัวเธอในเดี๋ยวนั้น เธอยื่นหูโทรศัพท์ไปให้แม่ของเธอที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง หลังจากที่เธอพูดสลับหอบให้ฉันฟังอยู่นาน ฉันจึงได้รู้ว่าอาการของเธอไม่ค่อยดี แม่บอกว่าหมอจำหน่ายแล้ว ฉันฟังแล้วไม่เข้าใจ ถามกลับแม่ไปว่า แล้วเธอจะกลับบ้านได้อย่างไรหล่ะแม่ เธอเหนื่อยออกจะแย่อย่างนั้น แค่ลุกจากเตียง เธอยังลุกไม่ไหวใช่ไหม…
มาลำ
เสียงของเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มาในค่ำวันหนึ่ง ผมจะบวชกลางเดือนนี้ครับ โทรมาให้พี่อโหสิกรรมให้ด้วย ฉันถามเธอว่า บวชนานแค่ไหนเล่า เธอตอบว่า หนึ่งเดือนครับ ฉันบอกเธอว่าดีมากเลยที่ได้มีเวลาอย่างนี้ อย่างน้อยเป็นการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งขึ้น หลังจากที่เราต้องเผชิญกับเรื่องราวหนักหน่วงของชีวิต ฉันอนุโมทนาด้วย ขอให้ใช้วันเวลาในผ้าเหลืองอย่างเป็นสุข หลังจากวันนั้นเสียงเธอหายไป ฉันนึกถึงวันผ่านที่เราเคยโบกรถไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุด ฉันและเพื่อนห้าคนรวมทั้งเธอผู้อาสาเป็นคนนำทาง เราเล่นน้ำในน้ำตกมวกเหล็ก ก่อนจะนั่งรถต่อไปดูฟาร์มโคนม วังตะไคร้ สายลมผ่านเนื้อตัวเย็นชื่น…
มาลำ
ใครจะนึกว่าเธอต้องเดินเข้าไปในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ โรงพยาบาลนี้ เธอเคยเดินมาตั้งแต่ยังเล็ก เป็นเด็กในโรงพยาบาลที่คุ้นเคยกับทุกคน เป็นโรงพยาบาลที่ฉันเคยไปฝึกงาน ได้รู้จักกับเธอในครั้งแรกเธอเดินเข้าไปตรวจ เป็นอะไรไม่รู้ครับ มันแน่นๆท้อง กินอะไรไม่ค่อยลง หมอที่ตรวจก็เป็นหมอรู้จักกัน กดท้องของเธอแล้วบอกเบาๆว่าตับโตมาก เธอกินเหล้ามากเกินไปหรือเปล่า สูบบุหรี่ด้วยใช่ไหม ลดลงบ้างนะ หมอบอกเธอกี่ปีแล้วนะที่ใช้ชีวิตอย่างนี้ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เธอรำพึงหลังปั่นจักรยานกลับบ้าน คำพูดหมอดังแว่วมา สงสัยเป็นตับแข็งนะ ต้องทำอัลตราซาวด์ดูแล้ว วันคืนของเธอกำลังสั้นลงแล้ว…