Skip to main content

ตอนเด็กๆ ฉันเป็นเด็กที่น่ารังเกียจ ขี้โกรธ เอาแต่ใจตัวเอง สกปรก ชอบเกี่ยงงานให้พี่สาวทำงานหนักจนตัวแคระแกร็น ส่วนตัวชอบหนีเที่ยว ไปเก็บเห็ดบ้าง ไปตกปลาบ้าง ทั้งที่รู้ว่า กลับมาบ้านแม่จะตีฉันจนยับเยิน หากแต่ฉันไม่เคยนึกกลัว เจ็บแล้วหายวันรุ่งขึ้นไปใหม่

แม่แขวนไม้เรียวไว้ที่ประตูกลางบ้านเป็นไม้หวายใหญ่อย่างดี แม่บอกว่าลงคาถาอาคมไว้ ฉันมองว่าแม่เอาไว้ขู่พวกเราไมให้เถลไถลต่างหาก หากเวลากลับมาก็ยืนกอดอกรับโทษ แม่บอกให้เอาปลาไปปล่อยที่คลองน้ำใสหลังจากตีเสร็จแล้ว เวลาแม่ตี ฉันมองหน้าแม่ แม่ตีฉัน 8 ครั้งทุกทีไป แล้วบอกว่าใจแข็งนักไม่ร้องสักแอะ หากทุกคนทำผิด แม่จะให้พี่น้องเข้าแถวเรียงกัน แล้วตีพี่สาว 9 ที น้องสาวคนที่สาม เป็นคนช่างยิ้ม แม่นึกสงสารที่ยืนยิ้มให้แม่ทั้งที่แม่เงื้อไม้เรียวขึ้นสูง แม่ตีแทบไม่ไหวลดลงแบบเมตตา เอาแค่หกที แถมน้องสาวยกมือไหว้แม่หลังจากที่แม่ตีเสร็จ เธอช่างเหมือนนางฟ้า ตรงข้ามกับนางมารอย่างฉันจริงๆ

น้องสาวคนที่สี่ ถูกตี 6 ที ร้องไห้แบบไม่มีเสียง มีแต่น้ำตา เขาตัวเล็กที่สุดและน่าสงสารมากมาก ฉันอยากปลอบน้อง แต่พูดไม่ออก ได้แต่กล้ำกลืนคำปลอบต่างๆลงไป น้องสาวตัวเล็กเพราะเขาเป็นคนกินยากมากที่สุดในบ้าน แกงส้มไม่กินเพราะเปรี้ยว ฟังดูเหตุผลตลกที่สุด เงาะไม่กิน ผลไม้อะไรไม่รู้มีไม้อยู่ข้างใน กินแต่ปลาทอด ข้าวผัดและแกงคั่ว


เขาหน้าตาดีตั้งแต่เล็กๆ เหมือนนางฟ้า โตมาก็เป็นอย่างนั้นตลอด ฉันรักน้องคนนี้มาก เขามานอนที่แฟลต ฉันส่งน้องเรียนมัธยมที่โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา เขาต้องตื่นแต่เช้านั่งรถเมล์โพธิ์ทองไปเรียนทุกวัน ให้เงินเดือนน้องเดือนละ 8๐๐ บาท เขาเอาไปเรียนพิเศษเสียหมดจนตัวผอมบาง เขาชอบว่ายน้ำ ไปเรียนแล้วว่ายน้ำจนเก่ง เขาขยันเรียนมากๆ


น้องชายคนที่ห้า ถูกตี 3 ที แม่คงนึกสงสาร น้องร้องไห้เสียงดังจนฉันตกใจ ส่วนน้องคนที่หก ถูกตี 2 ที ร้องไห้โฮๆ ฉันนึกสงสารน้องจับจิต แม่คงเหนื่อยและเครียดน่าดูที่ต้องตีพวกเราทั้งหกคน หากฉันเป็นแม่ ฉันคงวางไม้เรียวแล้วนั่งร้องไห้แทน


กระนั้นฉันก็ไม่เคยนึกโกรธแม่ วันนี้ตี หลับตื่นมาแล้วลืม ไปใหม่ถูกตีใหม่ ไม่เคยเข็ด ไม้เรียวแตกคามือแม่ จนแม่ต้องตัดไม้หวายอันใหม่มาแขวนแทน


บางทีฉันนึกอยากเอาไม้เรียวไปซ่อน แต่ฉันสงสารแม่มากกว่าจึงไม่ทำ บางทีแม่ไม่อยากจะตีเราจริงๆก็ได้ แม่แค่ประท้วงที่เราเหลวไหลเท่านั้น แม่บอกว่ากลัวลูกจะเป็นอะไรไป แม่กลัว ไม่อยากให้ลูกห่างตาเท่านั้น ฉันรู้ แต่แม่จ๋าท้องทุ่งและป่าไพรมันเหมือนกวักมือเรียกให้เราไปหาตลอดเวลา เหมือนมีสิ่งลึกลับมหัศจรรย์รออยู่ มันช่างหอมหวนยวนใจ และไม้เรียวกลายเป็นแค่สิ่งไร้ความหมาย


ฉันเพิ่งสำนึกตัวว่าเป็นคนไม่ดี ตอนที่ฉันเป็นพยาบาล เด็กๆที่มาป่วย จิตใจใสเป็นกระจกเงาให้ฉันมองสะท้อนตัวเอง ฉันรู้สึกทันที ฉันอายเด็กๆพวกนั้น บางทีการที่จะสบตากับเด็กๆ ช่างยากเย็นเหลือเกิน ฉันจึงตั้งใจปรับปรุงตัวใหม่


ฉันเคยเลี้ยงเด็กที่ถูกแม่ทิ้ง จากคนที่มีนิสัยไม่ดี อดทนกับเด็กที่โยเยได้ หัวใจฉันละลายไปกับปอนปอน เจ้ากำพร้าน้อยของฉัน ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ฉันได้แต่ภาวนาให้เขาเติบโตและงดงามเท่านั้น


แล้วฉันก็มีลูกของตัวเอง เป็นนางฟ้า และเทวดาน้อย ทั้งสองคนเลี้ยงง่าย ไม่โยเยไม่มีปัญหา กินนอน หลับสนิท ฉันเสียอีกที่มีอาการเหมือนไม่เคยได้นอนตลอดเวลา ฉันลุกมานั่งสัปหงกกลางดึกบ่อยๆ นั่งเฝ้าลูก คอยดูเขาไว้ หกปีของการฟูมฟัก ขอบตาของฉันเขียวคล้ำถาวร โดยไม่ต้องไปทำที่ร้านเสริมสวย ขอเพียงมีลูกเท่านั้นเอง


แม้จะเหนื่อยยาก หากแต่รางวัลแห่งความเพียรที่ได้มันช่างยิ่งใหญ่นัก คับพองอยู่เต็มอก ลูกทั้งสองคน พูดเพราะ หน้าตางดงามทั้งคู่ เป็นที่รักของผู้ที่พบเห็นทุกคน


จนกระทั่งวันนั้นที่ฉันสูญเสียนางฟ้าของฉันไปเพราะอาการแพ้ยาเหมือนกัน วันที่ฉันอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนมาหาหมอ เพราะเขาดูเพลียๆ ไม่สบายมาสองสามวันแล้ว แต่ไม่ถึงกับนอนซม เขายังวิ่งเล่น ชวนฉันวาดรูป เหมือนปกติ ใครจะรู้ว่าหลังจากฉีดยาฆ่าเชื้อตัวนั้น เขาถึงกับเขียวไปหมดทั้งตัว หายใจไม่ออก และจากไปอย่างเจ็บปวด


ฉันมัวแต่เป็นลมที่เห็นลูกเป็นอย่างนั้น ไม่มีปัญญางัดวิชาพยาบาลที่เรียนมาช่วยลูกได้ เก้าโมงเช้าที่ไปถึงโรงพยาบาล กลับจากโรงพยาบาลเย็นห้าหกโมงพร้อมร่างกายที่ไร้วิญญาณของนางฟ้าของฉัน เราไปถึงวัดสวนดอกตอนนั้น แทนที่จะได้กลับบ้านเช่าที่แม่เหียะด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูก


โถ ลูกเอ๋ย แม่ขอโทษที่รักษาชีวิตเจ้าไว้ไม่ได้ แม่ช่างไร้ค่า หัวใจฉันสลาย เหมือนมีร่างกายแต่ไร้วิญญาณ นับจากวันนั้นฉันไม่หัวเราะ บ้านเรามีแต่เสียงร้องไห้ทุกวันและเทวดาน้อยก็เศร้าและหงอยเหงา เขาเที่ยวเปิดเลิกผ้าห่มแล้วร้องเรียกพี่สาว วา วา อยู่ตลอดเวลา เพราะเขาสองคนชอบเล่นกันอย่างนั้น เข้าไปอยู่ในโปงผ้าห่ม แล้วตามหากัน หัวเราะกันทั้งวัน


หากเห็นเด็กผู้หญิงเดินมา เขาจะวิ่งตามแล้วไปดูหน้าว่าใช่พี่สาวเขาหรือเปล่า ทำไมแม่และพ่อของเขาเอาแต่ร้องไห้ ไม่กิน ไม่นอน


กว่าชิวิตจะผ่านไปในแต่ละวันได้ช่างยากเย็น เหมือนบนโลกใบนี้ไม่มีที่ให้เราอยู่

เหมือนตกอยู่ในหลุมอวกาศ ถูกดูดให้หมุนวนตลอดเวลา หาทางออกไม่เจอ


พี่สาวใจบุญเห็นฉันและสามีทุกข์เศร้าแสนสาหัส อยากช่วยเหลือ เธอเปิดโรงเรียนอนุบาลหมีน้อย แล้วให้เทวดาน้อยของฉันเรียนฟรี ดูแลฟูมฟักเพราะสงสาร เทวดาน้อยของฉันเริ่มหัวเราะ ดูสดชื่นขึ้น ดูมีชีวิตชีวา


เพราะสองมือและหัวใจของพี่สาวใจบุญคนนั้น คนที่รอรับเราอยู่ที่วัด ตอนที่ฉันไปถึงพร้อมลูก เธอเป็นคนกอดฉันไว้ พร่ำบอกให้ฉันบอกลูกสาวว่าอย่าตกใจนะ ฉันรู้ว่าเธอจะไม่ไปไหน อยู่ข้างๆฉันตลอดเวลา


ที่อนุบาลหมีน้อยนี้เองที่เขาสองคนมาพบเจอกัน เขาคบกันมาตั้งแต่สองขวบ เจ้าเทวดาน้อยคูคูเพื่อนซี้ เป็นลูกครึ่งของแม่ปกากะญอและพ่อสวีเดน คูคูขี้อายกลัวคนแปลกหน้า ไม่ค่อยพูด เข้ากับคนได้ยาก แต่เขาสองคน กลับรักกันเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน

 


หกปีมาแล้วที่ต่างคนต่างผลัดกันไปหากันที่บ้าน ปีใหม่คูคูมานอนที่บ้านเรา จนพ่อมาตามให้กลับบ้านถึงยอมกลับ เทวดาน้อยของฉันก็เช่น หอบกระเป๋าเสื้อผ้าไปวันเสาร์บอกขอนอนบ้านคูคูสักหนึ่งคืน


จากเด็กขี้อาย คูคูเพื่อนซี้ก็สนิทกับฉันมากขึ้น เราต่างรู้ใจกันมีเรื่องตลกมาเล่าให้กันฟังได้ตลอดเวลา ถึงวันสงกรานต์ ฉัน สามีและแม่ของคูคู พาพวกเขาสองคนไปเล่นสาดน้ำที่คูเมือง เขาสองคนสนุกสนานเหลือเกิน ทั้งที่ฉันกลัวเชื้อโรคมาก แต่ฉันต้องหักใจทำลืมๆไป เมื่อกลับถึงบ้าน


ฉันฟอกสบู่ให้เขาสองคนจนสะอาดเอี่ยม เรื่องที่ตลกและทำให้ฉันกับสามีหัวเราะไปทั้งวันคือ เราสองคนกลับบ้านโดยไม่เปียก ไม่มีใครสาดน้ำเราเลย คงจะแก่เกินไปที่จะเล่นน้ำ

 


ปีนี้ คูคูมีปืนฉีดน้ำกระบอกใหม่ เวลาฉีด ท่อฉีดน้ำจะแยกออกเป็นสามแฉก คูคูยิงผู้คนที่ผ่านมาด้วยอารมณ์สนุกสุดขีด จนปืนประท้วงน้ำไม่ยอมออก ฉีดไม่ได้ เทวดาน้อยของฉันใจดี ยกปืนของตัวเองที่ฉันซื้อให้ตั้งแต่ปีที่แล้วให้ยิงแทน


ฉันสั่งเขาไว้ว่าให้เก็บของเล่นดีๆ เพราะฉันจะซื้อให้แค่ครั้งเดียว เขารักษาปืนอย่างดีตลอดมา หลังจากยิงกันจนเหนื่อย เทวดาของฉันก็สนุกสาดน้ำโดยใช้กระป๋องเล็กๆแทน


ได้เวลากลับบ้าน เราสี่คนอัดกันมาในรถ ปีนี้ ฉันและสามีเปียกตั้งหัวจดเท้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบไปถึงคูเมืองถูกสาดจนยับเยิน ขากลับแม้นั่งบนผ้ายางที่เตรียมมา ฉันยังรู้ว่ามีน้ำไหลโตรกผ่านเสื้อผ้าอยู่ตลอดเวลา


เจ้าเทวดาน้อยสองคนหัวเราะกันคิกคักตลอดเวลา เทวดาน้อยของฉันถามว่าทำไมต้องเล่นน้ำแล้วใส่หน้ากากด้วยครับแม่ ฉันตอบเขาพร้อมกับคูคูว่า เอ้า จะได้ไม่โดนฉีดตาไงหล่ะ


สองคนหัวเราะพร้อมกัน ฉันถามว่า เอ้า แล้วลูกสองคน ชอบยิงที่ตรงไหนของคนหล่ะ คูคูกระซิบข้างหูเทวดาน้อยแล้วหัวเราะคิกคัก เทวดาน้อยอ้ำอึ้ง ฉันบอกว่าบอกแม่สิ ชอบเล็งยิงเขาที่ไหน เจ้าเทวดาน้อยสบตาฉันแล้วพูดว่าที่นมครับแม่ เท่านั้นสองคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ฉันส่งเสียงโวยวาย เฮ้ย ทะลึ่งเกินไปแล้ว แม้จะรู้ว่าเขาสองคนกินและติดนมแม่อยู่นาน


วันที่เงินเดือนฉันออก ฉันชอบพาสองคนไปกินไอติม คูคูชอบวานิลาเปล่าๆสองลูก เทวดาน้อยของฉันเลือกช็อคโกแลต เขาสองคนจะบรรจงละเลียดกินแบบตักทีละคำ ค่อยๆเคี้ยว กลืนลงคออย่างมีความสุข ถ้าครั้งใดฉันรู้สึกหม่นหมอง ความทุกข์ฉันคลายด้วยการนั่งดูเขาสองคนกินไอติม มันช่างมีชีวิตชีวาและงดงามที่สุด


คูคูเมารถง่าย ยิ่งฉันขับรถไม่ค่อยคล่อง คูคูบอกว่าเวียนหัวตลอด ระหว่างทางไปกินไอติม เราจะทายปัญหาอะไรเอ่ยกัน แล้วหัวเราะกันสนุกสนาน คูคูเริ่มเงียบ หน้าซีด เทวดาน้อยของฉันบอก แม่ครับจอดก่อน คูคูอ้วกแล้ว คูคูกำลังอ้วกใส่เบาะหลังรถ ส่วนเจ้าเทวดาน้อยของฉันเผ่นออกจากหลังรถมานั่งคู่กับฉันแบบตัวปลิว บอกเหม็นอ้วกมากแล้วอยากอ้วกด้วยเลย


ฉันเอาคูคูนอนลงที่เบาะหลังเช็ดอ้วกให้ เช็ดรถแล้วปลอบเขา ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวก็หาย เอายาดมแม่ใส่รูจมูกเข้าไว้ เขาทำตามแล้วหน้าซีดๆของเขาค่อยแดงขึ้น


ถึงร้านไอติมเขาหายเป็นปลิดทิ้ง เหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย โล่งอก ฉันถอนหายใจเสียงดัง แถมกินไอติมอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม


ทั้งสองคนจบจากอนุบาลหมีน้อยด้วยกัน มาจับฉลากได้ที่โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัยทั้งคู่ ตอนนี้ปอสามแล้ว ทั้งที่อยู่กันคนละห้อง หากตอนเย็นที่ไปรับ จะเห็นเขาสองคนหัวชนกันอยู่ กระเป๋านักเรียนเกยทับกัน มีบางทีงอนกัน แต่ไม่นานเดี๋ยวคูคูก็มาง้อเทวดาน้อยของฉันเอง


ฉันรู้ว่าเขาสองคนคงหิวจัดในเวลาเลิกเรียน ฉันจะชวนเขาสองคนไปซื้อไอติมหลังห้องแล้วนั่งดูเขากิน คุยกันไปด้วย ฉันถามว่า คูคูมีเพื่อนซี้ในห้องกี่คน คูคูก้มหน้า เงียบไปนานก่อนจะตอบเบาๆ ไม่มีเลยครับแม่


โถ น่าสงสารจังลูก เทวดาน้อยของแม่หล่ะ หนุ่มน้อยบอกสี่คนครับแม่แล้วร่ายรายชื่อแบบเสียงดังและจริงใจที่สุด ฉันมองหน้าคูคูแล้วปลอบเขาว่า งั้นเทวดาน้อยของฉันก็ซี้ที่สุดของคูคูแล้วหล่ะสิ สองคนพยักหน้าพร้อมกัน


คูคูเรียนเปียโน ส่วนเทวดาน้อยของฉันเรียนไวโอลิน คูคูชอบเล่นเปียโนให้เทวดาน้อยฟัง ค่าไวโอลินห้าพันบาท ฉันหมุนเงินมาซื้อให้ลูกจนได้ เรียนได้เพียงสองสามวัน เจ้าเทวดาน้อยของฉันมากระซิบตอนอาบน้ำว่า แม่ครับ แม่รู้จักร้านซ่อมไวโอลินไหมครับ ฉันตกใจ ถามเขาว่าทำไมเหรอ พ่อคงรู้จักมั้ง เขาบอกไวโอลินมันเสียแน่ๆเลย สีแล้วมันไม่ดัง แล้วเพื่อนๆสีดังไหมลูก เขาตอบเบาๆ ก็มีดังบ้างไม่ดังบ้าง ฉันบอกงั้นวันนี้ ถามครูเลยนะ ให้ครูช่วยดูให้ แม่ว่าคงไม่เสียหรอก


เทวดาน้อยกลับมาบ้านตอนเย็นหน้าบานแล้วบอกว่า ดังแล้วแม่ ดังแล้ว ฉันหัวเราะ เฮ้อ โล่งอก แล้วเขาก็สีไวโอลินให้ฉันและสามีฟัง บางวันกลับมาบ้าน ขอซ้อมไวโอลินหน่อยครับแม่แล้วงัดเครื่องดนตรีสุดโปรดออกมาเล่นให้พ่อและแม่นั่งยิ้มหน้าบาน เขาบอกว่าไม่เรียนอย่างอื่นแล้วนะ รักไวโอลินที่สุดเลย ฉันฟังแล้วหัวใจพอง


ฉันจึงอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ได้เลี้ยงคูคูและเทวดาน้อยของฉันให้เติบโต ส่งให้เขาร่ำเรียนให้ถึงที่สุดเต็มกำลังและปัญญาของฉัน ฉันอยากเห็นเขาสองคนเติบโตมีครอบครัว อยากให้เขารักกันอย่างนี้ตลอดไป ฉันรู้ว่าคงไม่นานเกินรอหรอก ฉันจะอยู่ดูแลเขาสองคนต่อไป

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง