Skip to main content

ตอนเด็กๆ ฉันเป็นเด็กที่น่ารังเกียจ ขี้โกรธ เอาแต่ใจตัวเอง สกปรก ชอบเกี่ยงงานให้พี่สาวทำงานหนักจนตัวแคระแกร็น ส่วนตัวชอบหนีเที่ยว ไปเก็บเห็ดบ้าง ไปตกปลาบ้าง ทั้งที่รู้ว่า กลับมาบ้านแม่จะตีฉันจนยับเยิน หากแต่ฉันไม่เคยนึกกลัว เจ็บแล้วหายวันรุ่งขึ้นไปใหม่

แม่แขวนไม้เรียวไว้ที่ประตูกลางบ้านเป็นไม้หวายใหญ่อย่างดี แม่บอกว่าลงคาถาอาคมไว้ ฉันมองว่าแม่เอาไว้ขู่พวกเราไมให้เถลไถลต่างหาก หากเวลากลับมาก็ยืนกอดอกรับโทษ แม่บอกให้เอาปลาไปปล่อยที่คลองน้ำใสหลังจากตีเสร็จแล้ว เวลาแม่ตี ฉันมองหน้าแม่ แม่ตีฉัน 8 ครั้งทุกทีไป แล้วบอกว่าใจแข็งนักไม่ร้องสักแอะ หากทุกคนทำผิด แม่จะให้พี่น้องเข้าแถวเรียงกัน แล้วตีพี่สาว 9 ที น้องสาวคนที่สาม เป็นคนช่างยิ้ม แม่นึกสงสารที่ยืนยิ้มให้แม่ทั้งที่แม่เงื้อไม้เรียวขึ้นสูง แม่ตีแทบไม่ไหวลดลงแบบเมตตา เอาแค่หกที แถมน้องสาวยกมือไหว้แม่หลังจากที่แม่ตีเสร็จ เธอช่างเหมือนนางฟ้า ตรงข้ามกับนางมารอย่างฉันจริงๆ

น้องสาวคนที่สี่ ถูกตี 6 ที ร้องไห้แบบไม่มีเสียง มีแต่น้ำตา เขาตัวเล็กที่สุดและน่าสงสารมากมาก ฉันอยากปลอบน้อง แต่พูดไม่ออก ได้แต่กล้ำกลืนคำปลอบต่างๆลงไป น้องสาวตัวเล็กเพราะเขาเป็นคนกินยากมากที่สุดในบ้าน แกงส้มไม่กินเพราะเปรี้ยว ฟังดูเหตุผลตลกที่สุด เงาะไม่กิน ผลไม้อะไรไม่รู้มีไม้อยู่ข้างใน กินแต่ปลาทอด ข้าวผัดและแกงคั่ว


เขาหน้าตาดีตั้งแต่เล็กๆ เหมือนนางฟ้า โตมาก็เป็นอย่างนั้นตลอด ฉันรักน้องคนนี้มาก เขามานอนที่แฟลต ฉันส่งน้องเรียนมัธยมที่โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา เขาต้องตื่นแต่เช้านั่งรถเมล์โพธิ์ทองไปเรียนทุกวัน ให้เงินเดือนน้องเดือนละ 8๐๐ บาท เขาเอาไปเรียนพิเศษเสียหมดจนตัวผอมบาง เขาชอบว่ายน้ำ ไปเรียนแล้วว่ายน้ำจนเก่ง เขาขยันเรียนมากๆ


น้องชายคนที่ห้า ถูกตี 3 ที แม่คงนึกสงสาร น้องร้องไห้เสียงดังจนฉันตกใจ ส่วนน้องคนที่หก ถูกตี 2 ที ร้องไห้โฮๆ ฉันนึกสงสารน้องจับจิต แม่คงเหนื่อยและเครียดน่าดูที่ต้องตีพวกเราทั้งหกคน หากฉันเป็นแม่ ฉันคงวางไม้เรียวแล้วนั่งร้องไห้แทน


กระนั้นฉันก็ไม่เคยนึกโกรธแม่ วันนี้ตี หลับตื่นมาแล้วลืม ไปใหม่ถูกตีใหม่ ไม่เคยเข็ด ไม้เรียวแตกคามือแม่ จนแม่ต้องตัดไม้หวายอันใหม่มาแขวนแทน


บางทีฉันนึกอยากเอาไม้เรียวไปซ่อน แต่ฉันสงสารแม่มากกว่าจึงไม่ทำ บางทีแม่ไม่อยากจะตีเราจริงๆก็ได้ แม่แค่ประท้วงที่เราเหลวไหลเท่านั้น แม่บอกว่ากลัวลูกจะเป็นอะไรไป แม่กลัว ไม่อยากให้ลูกห่างตาเท่านั้น ฉันรู้ แต่แม่จ๋าท้องทุ่งและป่าไพรมันเหมือนกวักมือเรียกให้เราไปหาตลอดเวลา เหมือนมีสิ่งลึกลับมหัศจรรย์รออยู่ มันช่างหอมหวนยวนใจ และไม้เรียวกลายเป็นแค่สิ่งไร้ความหมาย


ฉันเพิ่งสำนึกตัวว่าเป็นคนไม่ดี ตอนที่ฉันเป็นพยาบาล เด็กๆที่มาป่วย จิตใจใสเป็นกระจกเงาให้ฉันมองสะท้อนตัวเอง ฉันรู้สึกทันที ฉันอายเด็กๆพวกนั้น บางทีการที่จะสบตากับเด็กๆ ช่างยากเย็นเหลือเกิน ฉันจึงตั้งใจปรับปรุงตัวใหม่


ฉันเคยเลี้ยงเด็กที่ถูกแม่ทิ้ง จากคนที่มีนิสัยไม่ดี อดทนกับเด็กที่โยเยได้ หัวใจฉันละลายไปกับปอนปอน เจ้ากำพร้าน้อยของฉัน ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ฉันได้แต่ภาวนาให้เขาเติบโตและงดงามเท่านั้น


แล้วฉันก็มีลูกของตัวเอง เป็นนางฟ้า และเทวดาน้อย ทั้งสองคนเลี้ยงง่าย ไม่โยเยไม่มีปัญหา กินนอน หลับสนิท ฉันเสียอีกที่มีอาการเหมือนไม่เคยได้นอนตลอดเวลา ฉันลุกมานั่งสัปหงกกลางดึกบ่อยๆ นั่งเฝ้าลูก คอยดูเขาไว้ หกปีของการฟูมฟัก ขอบตาของฉันเขียวคล้ำถาวร โดยไม่ต้องไปทำที่ร้านเสริมสวย ขอเพียงมีลูกเท่านั้นเอง


แม้จะเหนื่อยยาก หากแต่รางวัลแห่งความเพียรที่ได้มันช่างยิ่งใหญ่นัก คับพองอยู่เต็มอก ลูกทั้งสองคน พูดเพราะ หน้าตางดงามทั้งคู่ เป็นที่รักของผู้ที่พบเห็นทุกคน


จนกระทั่งวันนั้นที่ฉันสูญเสียนางฟ้าของฉันไปเพราะอาการแพ้ยาเหมือนกัน วันที่ฉันอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนมาหาหมอ เพราะเขาดูเพลียๆ ไม่สบายมาสองสามวันแล้ว แต่ไม่ถึงกับนอนซม เขายังวิ่งเล่น ชวนฉันวาดรูป เหมือนปกติ ใครจะรู้ว่าหลังจากฉีดยาฆ่าเชื้อตัวนั้น เขาถึงกับเขียวไปหมดทั้งตัว หายใจไม่ออก และจากไปอย่างเจ็บปวด


ฉันมัวแต่เป็นลมที่เห็นลูกเป็นอย่างนั้น ไม่มีปัญญางัดวิชาพยาบาลที่เรียนมาช่วยลูกได้ เก้าโมงเช้าที่ไปถึงโรงพยาบาล กลับจากโรงพยาบาลเย็นห้าหกโมงพร้อมร่างกายที่ไร้วิญญาณของนางฟ้าของฉัน เราไปถึงวัดสวนดอกตอนนั้น แทนที่จะได้กลับบ้านเช่าที่แม่เหียะด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูก


โถ ลูกเอ๋ย แม่ขอโทษที่รักษาชีวิตเจ้าไว้ไม่ได้ แม่ช่างไร้ค่า หัวใจฉันสลาย เหมือนมีร่างกายแต่ไร้วิญญาณ นับจากวันนั้นฉันไม่หัวเราะ บ้านเรามีแต่เสียงร้องไห้ทุกวันและเทวดาน้อยก็เศร้าและหงอยเหงา เขาเที่ยวเปิดเลิกผ้าห่มแล้วร้องเรียกพี่สาว วา วา อยู่ตลอดเวลา เพราะเขาสองคนชอบเล่นกันอย่างนั้น เข้าไปอยู่ในโปงผ้าห่ม แล้วตามหากัน หัวเราะกันทั้งวัน


หากเห็นเด็กผู้หญิงเดินมา เขาจะวิ่งตามแล้วไปดูหน้าว่าใช่พี่สาวเขาหรือเปล่า ทำไมแม่และพ่อของเขาเอาแต่ร้องไห้ ไม่กิน ไม่นอน


กว่าชิวิตจะผ่านไปในแต่ละวันได้ช่างยากเย็น เหมือนบนโลกใบนี้ไม่มีที่ให้เราอยู่

เหมือนตกอยู่ในหลุมอวกาศ ถูกดูดให้หมุนวนตลอดเวลา หาทางออกไม่เจอ


พี่สาวใจบุญเห็นฉันและสามีทุกข์เศร้าแสนสาหัส อยากช่วยเหลือ เธอเปิดโรงเรียนอนุบาลหมีน้อย แล้วให้เทวดาน้อยของฉันเรียนฟรี ดูแลฟูมฟักเพราะสงสาร เทวดาน้อยของฉันเริ่มหัวเราะ ดูสดชื่นขึ้น ดูมีชีวิตชีวา


เพราะสองมือและหัวใจของพี่สาวใจบุญคนนั้น คนที่รอรับเราอยู่ที่วัด ตอนที่ฉันไปถึงพร้อมลูก เธอเป็นคนกอดฉันไว้ พร่ำบอกให้ฉันบอกลูกสาวว่าอย่าตกใจนะ ฉันรู้ว่าเธอจะไม่ไปไหน อยู่ข้างๆฉันตลอดเวลา


ที่อนุบาลหมีน้อยนี้เองที่เขาสองคนมาพบเจอกัน เขาคบกันมาตั้งแต่สองขวบ เจ้าเทวดาน้อยคูคูเพื่อนซี้ เป็นลูกครึ่งของแม่ปกากะญอและพ่อสวีเดน คูคูขี้อายกลัวคนแปลกหน้า ไม่ค่อยพูด เข้ากับคนได้ยาก แต่เขาสองคน กลับรักกันเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน

 


หกปีมาแล้วที่ต่างคนต่างผลัดกันไปหากันที่บ้าน ปีใหม่คูคูมานอนที่บ้านเรา จนพ่อมาตามให้กลับบ้านถึงยอมกลับ เทวดาน้อยของฉันก็เช่น หอบกระเป๋าเสื้อผ้าไปวันเสาร์บอกขอนอนบ้านคูคูสักหนึ่งคืน


จากเด็กขี้อาย คูคูเพื่อนซี้ก็สนิทกับฉันมากขึ้น เราต่างรู้ใจกันมีเรื่องตลกมาเล่าให้กันฟังได้ตลอดเวลา ถึงวันสงกรานต์ ฉัน สามีและแม่ของคูคู พาพวกเขาสองคนไปเล่นสาดน้ำที่คูเมือง เขาสองคนสนุกสนานเหลือเกิน ทั้งที่ฉันกลัวเชื้อโรคมาก แต่ฉันต้องหักใจทำลืมๆไป เมื่อกลับถึงบ้าน


ฉันฟอกสบู่ให้เขาสองคนจนสะอาดเอี่ยม เรื่องที่ตลกและทำให้ฉันกับสามีหัวเราะไปทั้งวันคือ เราสองคนกลับบ้านโดยไม่เปียก ไม่มีใครสาดน้ำเราเลย คงจะแก่เกินไปที่จะเล่นน้ำ

 


ปีนี้ คูคูมีปืนฉีดน้ำกระบอกใหม่ เวลาฉีด ท่อฉีดน้ำจะแยกออกเป็นสามแฉก คูคูยิงผู้คนที่ผ่านมาด้วยอารมณ์สนุกสุดขีด จนปืนประท้วงน้ำไม่ยอมออก ฉีดไม่ได้ เทวดาน้อยของฉันใจดี ยกปืนของตัวเองที่ฉันซื้อให้ตั้งแต่ปีที่แล้วให้ยิงแทน


ฉันสั่งเขาไว้ว่าให้เก็บของเล่นดีๆ เพราะฉันจะซื้อให้แค่ครั้งเดียว เขารักษาปืนอย่างดีตลอดมา หลังจากยิงกันจนเหนื่อย เทวดาของฉันก็สนุกสาดน้ำโดยใช้กระป๋องเล็กๆแทน


ได้เวลากลับบ้าน เราสี่คนอัดกันมาในรถ ปีนี้ ฉันและสามีเปียกตั้งหัวจดเท้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบไปถึงคูเมืองถูกสาดจนยับเยิน ขากลับแม้นั่งบนผ้ายางที่เตรียมมา ฉันยังรู้ว่ามีน้ำไหลโตรกผ่านเสื้อผ้าอยู่ตลอดเวลา


เจ้าเทวดาน้อยสองคนหัวเราะกันคิกคักตลอดเวลา เทวดาน้อยของฉันถามว่าทำไมต้องเล่นน้ำแล้วใส่หน้ากากด้วยครับแม่ ฉันตอบเขาพร้อมกับคูคูว่า เอ้า จะได้ไม่โดนฉีดตาไงหล่ะ


สองคนหัวเราะพร้อมกัน ฉันถามว่า เอ้า แล้วลูกสองคน ชอบยิงที่ตรงไหนของคนหล่ะ คูคูกระซิบข้างหูเทวดาน้อยแล้วหัวเราะคิกคัก เทวดาน้อยอ้ำอึ้ง ฉันบอกว่าบอกแม่สิ ชอบเล็งยิงเขาที่ไหน เจ้าเทวดาน้อยสบตาฉันแล้วพูดว่าที่นมครับแม่ เท่านั้นสองคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ฉันส่งเสียงโวยวาย เฮ้ย ทะลึ่งเกินไปแล้ว แม้จะรู้ว่าเขาสองคนกินและติดนมแม่อยู่นาน


วันที่เงินเดือนฉันออก ฉันชอบพาสองคนไปกินไอติม คูคูชอบวานิลาเปล่าๆสองลูก เทวดาน้อยของฉันเลือกช็อคโกแลต เขาสองคนจะบรรจงละเลียดกินแบบตักทีละคำ ค่อยๆเคี้ยว กลืนลงคออย่างมีความสุข ถ้าครั้งใดฉันรู้สึกหม่นหมอง ความทุกข์ฉันคลายด้วยการนั่งดูเขาสองคนกินไอติม มันช่างมีชีวิตชีวาและงดงามที่สุด


คูคูเมารถง่าย ยิ่งฉันขับรถไม่ค่อยคล่อง คูคูบอกว่าเวียนหัวตลอด ระหว่างทางไปกินไอติม เราจะทายปัญหาอะไรเอ่ยกัน แล้วหัวเราะกันสนุกสนาน คูคูเริ่มเงียบ หน้าซีด เทวดาน้อยของฉันบอก แม่ครับจอดก่อน คูคูอ้วกแล้ว คูคูกำลังอ้วกใส่เบาะหลังรถ ส่วนเจ้าเทวดาน้อยของฉันเผ่นออกจากหลังรถมานั่งคู่กับฉันแบบตัวปลิว บอกเหม็นอ้วกมากแล้วอยากอ้วกด้วยเลย


ฉันเอาคูคูนอนลงที่เบาะหลังเช็ดอ้วกให้ เช็ดรถแล้วปลอบเขา ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวก็หาย เอายาดมแม่ใส่รูจมูกเข้าไว้ เขาทำตามแล้วหน้าซีดๆของเขาค่อยแดงขึ้น


ถึงร้านไอติมเขาหายเป็นปลิดทิ้ง เหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย โล่งอก ฉันถอนหายใจเสียงดัง แถมกินไอติมอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม


ทั้งสองคนจบจากอนุบาลหมีน้อยด้วยกัน มาจับฉลากได้ที่โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัยทั้งคู่ ตอนนี้ปอสามแล้ว ทั้งที่อยู่กันคนละห้อง หากตอนเย็นที่ไปรับ จะเห็นเขาสองคนหัวชนกันอยู่ กระเป๋านักเรียนเกยทับกัน มีบางทีงอนกัน แต่ไม่นานเดี๋ยวคูคูก็มาง้อเทวดาน้อยของฉันเอง


ฉันรู้ว่าเขาสองคนคงหิวจัดในเวลาเลิกเรียน ฉันจะชวนเขาสองคนไปซื้อไอติมหลังห้องแล้วนั่งดูเขากิน คุยกันไปด้วย ฉันถามว่า คูคูมีเพื่อนซี้ในห้องกี่คน คูคูก้มหน้า เงียบไปนานก่อนจะตอบเบาๆ ไม่มีเลยครับแม่


โถ น่าสงสารจังลูก เทวดาน้อยของแม่หล่ะ หนุ่มน้อยบอกสี่คนครับแม่แล้วร่ายรายชื่อแบบเสียงดังและจริงใจที่สุด ฉันมองหน้าคูคูแล้วปลอบเขาว่า งั้นเทวดาน้อยของฉันก็ซี้ที่สุดของคูคูแล้วหล่ะสิ สองคนพยักหน้าพร้อมกัน


คูคูเรียนเปียโน ส่วนเทวดาน้อยของฉันเรียนไวโอลิน คูคูชอบเล่นเปียโนให้เทวดาน้อยฟัง ค่าไวโอลินห้าพันบาท ฉันหมุนเงินมาซื้อให้ลูกจนได้ เรียนได้เพียงสองสามวัน เจ้าเทวดาน้อยของฉันมากระซิบตอนอาบน้ำว่า แม่ครับ แม่รู้จักร้านซ่อมไวโอลินไหมครับ ฉันตกใจ ถามเขาว่าทำไมเหรอ พ่อคงรู้จักมั้ง เขาบอกไวโอลินมันเสียแน่ๆเลย สีแล้วมันไม่ดัง แล้วเพื่อนๆสีดังไหมลูก เขาตอบเบาๆ ก็มีดังบ้างไม่ดังบ้าง ฉันบอกงั้นวันนี้ ถามครูเลยนะ ให้ครูช่วยดูให้ แม่ว่าคงไม่เสียหรอก


เทวดาน้อยกลับมาบ้านตอนเย็นหน้าบานแล้วบอกว่า ดังแล้วแม่ ดังแล้ว ฉันหัวเราะ เฮ้อ โล่งอก แล้วเขาก็สีไวโอลินให้ฉันและสามีฟัง บางวันกลับมาบ้าน ขอซ้อมไวโอลินหน่อยครับแม่แล้วงัดเครื่องดนตรีสุดโปรดออกมาเล่นให้พ่อและแม่นั่งยิ้มหน้าบาน เขาบอกว่าไม่เรียนอย่างอื่นแล้วนะ รักไวโอลินที่สุดเลย ฉันฟังแล้วหัวใจพอง


ฉันจึงอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ได้เลี้ยงคูคูและเทวดาน้อยของฉันให้เติบโต ส่งให้เขาร่ำเรียนให้ถึงที่สุดเต็มกำลังและปัญญาของฉัน ฉันอยากเห็นเขาสองคนเติบโตมีครอบครัว อยากให้เขารักกันอย่างนี้ตลอดไป ฉันรู้ว่าคงไม่นานเกินรอหรอก ฉันจะอยู่ดูแลเขาสองคนต่อไป

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอเป็นเพื่อนฉัน เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมนั่นแล้ว แม้ว่าฉันจะเป็นเด็กเรียนที่นั่งโต๊ะตัวแรกกลางห้องของ แถวที่สามจากโต๊ะทั้งหมดห้าแถว ครูจะมายืนที่หน้าโต๊ะของฉันทุกคน เวลาครูสอน น้ำลายจากปากครูจะกระเด็นลงบนหัวฉัน ฉันต้องคอยเอาสมุดปิดหัวไว้และสระผมทุกวัน ทุกครั้งที่สอบฉันจะได้ตำแหน่งที่หนึ่งหรือที่สองของห้องเสมอ เธอนั่งอยู่โต๊ะรองสุดท้ายของแถวที่ห้าของห้อง
มาลำ
พี่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งบนโลกใบนี้ แม้พี่จะเป็นนักเขียนที่ฉันหลงรักตั้งแต่หัดอ่านหนังสือ แต่ก็เพียงชื่นชอบอยู่ไกลๆ เราพบกันที่ร้านเล่าเสมอ เวลามีกิจกรรมต่างๆ พี่จะมากันทั้งครอบครัวพ่อ แม่ ลูกสาว ลูกชาย ฉันมักแอบมองพี่แล้วทึ่งในถ้อยคำที่พี่เขียน มันออกมาจากส่วนไหนของพี่หนอ ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน มันต้องเป็นที่หัวใจแน่ๆเลย เพราะพี่ดูเป็นคนดีเหลือเกิน
มาลำ
ตอนเด็กๆ ฉันเป็นเด็กที่น่ารังเกียจ ขี้โกรธ เอาแต่ใจตัวเอง สกปรก ชอบเกี่ยงงานให้พี่สาวทำงานหนักจนตัวแคระแกร็น ส่วนตัวชอบหนีเที่ยว ไปเก็บเห็ดบ้าง ไปตกปลาบ้าง ทั้งที่รู้ว่า กลับมาบ้านแม่จะตีฉันจนยับเยิน หากแต่ฉันไม่เคยนึกกลัว เจ็บแล้วหายวันรุ่งขึ้นไปใหม่
มาลำ
ฝนตกพรำๆ เจ้าหลานสาวอายุสิบหกของฉัน ที่แม่น้องสาวฝากให้ดูแล ส่งเล่าเรียนตั้งแต่ชั้นมอสี่ยังไม่เข้าบ้าน  นาฬิกาข้างฝาบอกเวลายี่สิบสองนาฬิกา เกิดอะไรขึ้นกับเธอหนอ ในอกของฉันเหมือนถูกไฟโลกันต์แผดเผา โทรหาอย่างไรเธอก็ไม่รับสายเหมือนเธอล่องหน ไปไหนหนอ เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง เธอทำอะไร อยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่เข้าบ้าน ออกไปตามที่ไหนดี และถ้าอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเธอ ใครหนอจะช่วยเธอได้
มาลำ
ศรีตรังคลี่กลีบสีม่วงสวยออกมาแย้มยิ้ม  ทักทายสายลมร้อน เฉลา อินทนิล โบกกลีบ มาถึงแล้วสีม่วงสุดสวย ละมุนละไม แดดร้อนตอนเที่ยงวัน เนื้อตัวเหมือนแสบไหม้ ไอร้อนจากถนนโชยมา ฉันก้มหน้าก้มตาเดิน หาต้นไม้ในหัวใจสักต้น โน่นไง ฉันก้าวเท้าเข้าไปหา ไฮเดรนเยียสีโปรดของฉัน สีม่วงครามกำลังบาน บ่ายแล้ว ผู้หญิงหน้าตาไหม้เกรียมกำลังหอบต้นไม้ออกดอกสีม่วงขึ้นรถมุ่งตรงไปวัด
มาลำ
บ้านของย่าอยู่ริมฝั่งคลอง เป็นบ้านไม้ยกสูง เวลาเดินแผ่นไม้ในบ้านส่งเสียงดังตามจังหวะการเดิน ย่าคอยบอก เดินค่อยๆนะลูก ย่องๆเดินนะทำเป็นไหม จะได้ไม่มีเสียงดัง ย่าชอบทำขนม ที่บ้านย่าจึงมีหลานๆเต็มบ้าน  ลูกๆของน้าชาย น้าสาวและพี่น้องของฉันอีกหกคน หนึ่งในเด็กหลายคนนั้น มีอยู่คนเดียวที่เป็นเหตุผลของการขอแม่ไปนอนบ้านย่าของฉัน เขาเป็นลูกของน้าสาว อายุเท่าฉัน ตัวโต ผิวคล้ำ ดวงตาเขาเศร้า ท่าทีเงียบขรึม   เขาว่ายน้ำเก่ง จับปลาได้คล่องแคล่ว   ไม่มีท่าทีรำคาญที่พี่สาวอย่างฉัน คอยเดินตามเขา คอยถามโน่นถามนี่ตลอดเวลา ฉันติดเขาแจจนย่าออกปาก ระวังนะ เหาบนหัวจะกระโดดมาหากัน…
มาลำ
น้ำในคลองวังหยีสีเขียวเข้ม ชื่อคลองวังหยีเพราะมีต้นหยีต้นใหญ่อยู่ริมฝั่ง เป็นคลองสายหลักที่ไหลผ่านทุ่งนากว้างใหญ่ของหมู่บ้าน น้ำจะไหลเชี่ยวและกัดเซาะทุกอย่างที่ขวางหน้า ก่อนจะไหลข้ามสะพาน น้ำจะไหลเอื่อยลงไปในแอ่งลึกที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเรียกว่าวัง น้ำในวังจะสีเขียวเข้มกว่าส่วนอื่น เพราะความลึกของมัน แค่เพ่งมองฉันก็นึกกลัวขึ้นมา ยิ่งแว่วเสียงคนบอกเล่า มีผีพรายอยู่ในวังด้วยนะ ผีพรายเป็นผู้หญิงผมยาวที่เฝ้าอยู่ในวัง เวลาเล่นน้ำระวังเถิดมันจะมาดึงขาลากลงไปอยู่ในวังด้วยกัน ฉันกลัวจนตัวสั่น ทำให้ฉันต้องลืมตาทุกครั้งเวลาดำน้ำ หลังไปช่วยแม่เก็บน้ำยางที่สวน…
มาลำ
  หนังสือชื่อ ผมเป็นมะเร็งอายุ 5 ขวบ วางอยู่บนโต๊ะของฉันมานาน ฉันทำได้แค่มองผ่าน ทั้งที่อยากจะเปิดอ่านเหลือเกิน ฉันชอบอ่านหนังสือเพราะโลกของฉันมันแสนเศร้า เวลาที่ปวดร้าวฉันต้องนั่งลงเปิดหนังสือแล้วทุ่มตัวลงอ่าน อ่านเหมือนคนที่ไม่เคยได้อ่านมาตลอดชีวิต นึกถึงคำของแม่เวลาที่ฉันช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว ฉันช่วยแม่ตำน้ำพริก แม่จะโวยวายใส่ฉันทุกครั้งที่ฉันวางหนังสือไว้ข้างตัว แม่บอกว่าเลิกอ่านก่อน ทำงานให้แม่เสร็จก่อน ฉันหัวเราะแล้วหยิบเอากระดาษห่อของยกขึ้นมาอ่าน ตำน้ำพริกไปด้วยสำหรับหนังสือเล่มนี้ของฉัน แค่มองเห็นหน้าเด็กชายคนนี้ที่นอนชูสองนิ้วยิ้มหวานปากแดงแล้วบอกว่า…
มาลำ
  น้องรัก ไปสู่ความสงบที่สุดนะ เวลาของเธอมาถึง  เธอผ่านพ้นความทรมานแล้ว  แม้เรายังไม่ได้พบกัน เสียงเพลงของเธอยังดังกังวานให้ฉันได้ยิน ถ้อยคำที่เธอพูดยังดังแว่วอยู่ในหู เสียงเธอที่สดใสหลังฟังเพลงด้วยกันยังดังอยู่ แม้มือของฉันเอื้อมไปไม่ถึงเธอ  เราจากกันเสียแล้ว    ทำไมหนอชีวิตได้โหดร้ายนัก เธออายุสี่สิบปีเท่านั้นเอง ...........................                                     …
มาลำ
เสียงเธอดังแว่วแผ่วมาตามสาย อยู่โรงพยาบาลครับพี่ ท้องบวมแล้วเหนื่อยมาก หมอให้นอนให้น้ำเกลือ เหนื่อยครับเหนื่อยจัง เธอพูดเหมือนเพ้อ ฟังไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน บางตอนเหมือนคนไข้ที่กำลังแย่แล้วเสียงหอบหายใจแรงดังเข้ามาในสาย ฉันตกใจ ละล้าละลัง ฟังเธอพูดแล้วนึกอยากไปให้ถึงตัวเธอในเดี๋ยวนั้น เธอยื่นหูโทรศัพท์ไปให้แม่ของเธอที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง หลังจากที่เธอพูดสลับหอบให้ฉันฟังอยู่นาน ฉันจึงได้รู้ว่าอาการของเธอไม่ค่อยดี แม่บอกว่าหมอจำหน่ายแล้ว ฉันฟังแล้วไม่เข้าใจ ถามกลับแม่ไปว่า แล้วเธอจะกลับบ้านได้อย่างไรหล่ะแม่ เธอเหนื่อยออกจะแย่อย่างนั้น แค่ลุกจากเตียง เธอยังลุกไม่ไหวใช่ไหม…
มาลำ
เสียงของเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มาในค่ำวันหนึ่ง ผมจะบวชกลางเดือนนี้ครับ โทรมาให้พี่อโหสิกรรมให้ด้วย ฉันถามเธอว่า บวชนานแค่ไหนเล่า เธอตอบว่า หนึ่งเดือนครับ ฉันบอกเธอว่าดีมากเลยที่ได้มีเวลาอย่างนี้ อย่างน้อยเป็นการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งขึ้น หลังจากที่เราต้องเผชิญกับเรื่องราวหนักหน่วงของชีวิต ฉันอนุโมทนาด้วย ขอให้ใช้วันเวลาในผ้าเหลืองอย่างเป็นสุข หลังจากวันนั้นเสียงเธอหายไป ฉันนึกถึงวันผ่านที่เราเคยโบกรถไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุด ฉันและเพื่อนห้าคนรวมทั้งเธอผู้อาสาเป็นคนนำทาง เราเล่นน้ำในน้ำตกมวกเหล็ก ก่อนจะนั่งรถต่อไปดูฟาร์มโคนม วังตะไคร้ สายลมผ่านเนื้อตัวเย็นชื่น…
มาลำ
ใครจะนึกว่าเธอต้องเดินเข้าไปในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ โรงพยาบาลนี้ เธอเคยเดินมาตั้งแต่ยังเล็ก เป็นเด็กในโรงพยาบาลที่คุ้นเคยกับทุกคน เป็นโรงพยาบาลที่ฉันเคยไปฝึกงาน ได้รู้จักกับเธอในครั้งแรกเธอเดินเข้าไปตรวจ เป็นอะไรไม่รู้ครับ มันแน่นๆท้อง กินอะไรไม่ค่อยลง หมอที่ตรวจก็เป็นหมอรู้จักกัน กดท้องของเธอแล้วบอกเบาๆว่าตับโตมาก เธอกินเหล้ามากเกินไปหรือเปล่า สูบบุหรี่ด้วยใช่ไหม ลดลงบ้างนะ หมอบอกเธอกี่ปีแล้วนะที่ใช้ชีวิตอย่างนี้ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เธอรำพึงหลังปั่นจักรยานกลับบ้าน คำพูดหมอดังแว่วมา สงสัยเป็นตับแข็งนะ ต้องทำอัลตราซาวด์ดูแล้ว วันคืนของเธอกำลังสั้นลงแล้ว…