Skip to main content

ฝนตกพรำๆ เจ้าหลานสาวอายุสิบหกของฉัน ที่แม่น้องสาวฝากให้ดูแล ส่งเล่าเรียนตั้งแต่ชั้นมอสี่ยังไม่เข้าบ้าน  นาฬิกาข้างฝาบอกเวลายี่สิบสองนาฬิกา เกิดอะไรขึ้นกับเธอหนอ ในอกของฉันเหมือนถูกไฟโลกันต์แผดเผา โทรหาอย่างไรเธอก็ไม่รับสายเหมือนเธอล่องหน

ไปไหนหนอ เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง เธอทำอะไร อยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่เข้าบ้าน ออกไปตามที่ไหนดี และถ้าอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเธอ ใครหนอจะช่วยเธอได้

แล้วฉันจะเอาเรี่ยวแรงจากที่ไหน ลุกออกไปตามหาเธอ เพราะฉันต้องนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล หน้าตาเนื้อตัวพุพองจากการแพ้ยาแก้ปวดหลัง ที่หมอสั่งให้และฉันพลั้งเผลอกินมันเข้าไป โดยที่ไม่ได้หวาดระแวงว่าจะแพ้ยาเหมือนที่ฉันเคยกลัวมาตลอดที่เป็นพยาบาล ฉันเคยเห็นคนที่พุพองหมดทั้งตัวแล้วคนไข้ก็จากไปด้วยความทุกข์ทรมาน

ฉันกำลังจะเป็นอย่างนั้น ดีที่อาการแพ้มาแค่ครึ่งตัว ถึงกระนั้นฉันยังทุกข์ทรมานแสนสาหัส มันปวดแสบที่หน้ามีน้ำไหลออกมา  ปากเจ่อพุพองไปหมดทั้งปาก แสบในอก ในท้อง เลือดออกในหู  ตามัว เคืองเหมือนไม่มีน้ำตาออกมาหล่อเลี้ยง ตรงหน้าแข้งของฉันมันยังมีจ้ำๆเหมือนถูกทุบ  ในจมูกก็มีเลือดออก  ผมร่วงจนหมดหัวและมีแผลเต็มหัวไปหมด

เราสามคน พ่อ แม่ลูกต้องมานอนรับมือกับความทุกข์ในเตียงของคนไข้แบบไร้เรี่ยวแรง โดยเฉพาะฉันเหมือนถูกชก หมัดเดียว นอนยกธงขาวบอกยอมแพ้   เหมือนนักมวยที่แม้กรรมการนับถึงร้อย ฉันก็ยังเหยียดยาวไม่ยอมลุกไปไหน

แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  แม่หลานสาวของฉันส่งเสียงดังมาตามสาย บอกว่าทำโทรศัพท์หล่นหายระหว่างทาง   มีคนใจดีเก็บเอามาคืนตามที่เธอโทรไปอ้อนวอนขอร้อง แล้วทุกอย่างก็เงียบสงบลง เธอเข้าบ้านแล้ว คงนอนหลับแล้ว

ฉันยังไม่ได้หลับ นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงคนไข้  อาการทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนถูกเผาทั้งเป็น ฉันกำลังตกนรก ถูกไฟโลกันตร์แผดเผา ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงคนไข้ตามลำพัง ฉันพยายามสวดมนต์แผ่เมตตา ทำสมาธิ แต่มันไม่ดีขึ้นเลยเหมือนกำลังจะตายแต่ไม่ยอมตาย มันเจ็บปวดทุกข์ ทรมานในสังขารที่น่าสมเพชของฉัน

สี่วันมาแล้วที่ฉันนอนรับมือกับความตาย ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน ฉันน่าจะได้ทำอะไรมากมาย  เจ้าลูกชายของฉัน หน้าเศร้าไปโรงเรียนตอนเช้า  บอกฉันว่า ถ้าแม่หายเจ็บปากแล้ว คุยกับเขาบ้างนะ ฉันนึกสงสารลูกจับใจ  อย่ากลัวแม่นะลูก เจ้าลูกชายบอกไม่กลัวหรอก

แม่มาถึงตอนห้าโมงเย็น  แม่เพิ่งเผาศพย่าแล้วบินมาเหมือนนางฟ้าเหาะมาช่วยลูกทันเวลาพอดี  แม่พระของลูก มาทำอาหารเจให้ มานั่งสวดมนต์อยู่ใกล้ๆหู ได้คุยกับแม่ หัวใจมันชุ่มชื่นขึ้น  ไม่ทุรนทุรายมาก  ตั้งแต่ฉันจำความได้ แม่จะต้องไปหาลูกเสมอ ถ้าลูกคนไหนป่วย แม่จะเฝ้าดูแลเอาอกเอาใจตลอดมา แม่น่ารักที่จะช่างเอาใจลูกและพ่อ  พวกเราทุกคนพี่สาว ฉัน น้องสาว น้องชาย เลยติดนิสัยช่างเอาใจมาจากแม่  

แม่เล่าให้ฉันฟังว่า แม่ชอบการเรียนมาก แม่อยากเรียนหนังสือในชั้นสูงๆ ครูลงทุนมาอ้อนวอนยาย ขอตัวแม่ไปเรียนเพราะหัวดีเรียนเก่งมาก ยายและตาไม่ให้เรียน  แถมบอกว่าเดี๋ยวก็  แต่งงานแล้ว เรียนไปทำไม   แม่เลยได้เรียนแค่ปอสี่ แม่ฟังยายกับตาบอกอย่างนั้น แม่บอกฉันว่านอนร้องไห้อยู่หลายคืน แล้วตั้งปณิธานไว้ว่า ถ้าแต่งงาน มีลูกจะส่งให้ลูกเรียนจนจบปริญญาทุกคน

แล้วแม่ก็ทำอย่างนั้น อย่างที่แม่ตั้งปณิธานไว้
แม่ชอบอ่านหนังสือขวัญเรือน สกุลไทย แล้วเอาเคล็ดลับในหนังสือมาเล่าให้ลูกๆฟัง

แม่เป็นแม่คนเดียวที่ซื้อปากกาหมึกซึมให้ลูกๆใช้เมื่อต้องใช้ปากกาเขียน แม่อ่านจากหนังสือและนำประโยชน์มาใช้ แม่บอกว่าจะทำให้ลายมือสวยและฝึกใจให้เย็น มีสมาธิเพราะต้องรอให้หมึกแต่ละตัวแห้งแล้วเขียนตัวใหม่ได้ น้องสาวคนที่สี่ติดปากกาหมึกซึมจนทำงานแล้วยังเขียนด้วยปากกาหมึกซึมเช่นเดิม  

ความสุขของแม่ฉันไม่เคยเห็น เห็นแต่ความสุขของลูก แม่ยอมทำทุกอย่างเพื่อพวกเราทุกคนเสมอมา ยอมอย่างสุดจิตสุดใจ  บางทีที่พวกเราออกฤทธิ์ดื้อดึง แม่ก็ยังอดทนทุ่มเทความรักให้อย่างไม่เคยท้อถอย   แม่เป็นตัวอย่างของ คนที่มีความเพียรเป็นเลิศ

แม่บอกฉันว่า แม่มีคาถาที่จะทำให้ลูกๆเรียนเก่งและความจำดี เป็นอุบายให้ลูกตื่นเช้าด้วย  แม่เล่าให้ฉันฟังว่า  แม่จะกวาดลานใต้ต้นมะพร้าวไว้ทุกเย็น ใช้กาบมะพร้าววางไว้เพื่อรองรับดอกมะพร้าวที่จะหล่นลงมาทั้งคืน  แล้วบอกพวกเราว่าให้ไปเก็บดอกมะพร้าวตั้งแต่เช้ามืดมา  อย่าให้ทันอีกาบินข้าม  เอามาแล้วแม่จะเสกดอกมะพร้าวให้กิน แม่มีคาถาจากตาที่เป็นทั้งหมอสมุนไพรที่เชี่ยวชาญในการรักษาและมีคาถามากมายที่ตาถ่ายทอดให้และแม่จำได้ขึ้นใจ

คาถาของแม่ บอกว่า
พระพุทธให้จำ  พระธรรมให้แจ้ง ให้ถ้วนทุกแห่ง แจ้งในฉายา
สิ่งใดหาไม่ พระธรรมให้มา พุทธังเจ้าข้า ธรรมมังเจ้าข้า สังฆังเจ้าข้า
ให้ดวงจิตข้าสว่างรุ่งเรือง

ฉันฟังแล้วรู้สึกเลยว่าถ้อยคำมันเพราะที่สุด แล้วแม่ก็เสกดอกมะพร้าวให้พวกเราทุกคนกินทุกเช้า
ดอกมะพร้าวหอมหวาน กินตอนเช้าแล้วสดชื่นจริงๆ ดอกมะพร้าวกลายเป็นความฉลาดและหลักแหลมอยู่ในตัวเรา

ความสุขในตอนเด็กผุดพรายมาบนเตียงคนไข้ สองคนแม่ลูกนั่งนอนคุยกันทั้งวัน   จำได้ว่าแม่ทำงานหนักมากเพื่อหาเงินมาให้พวกเราเรียนหนังสือทั้งหกคน

แม่ต้องประหยัดไปด้วย ทั้งใช้วิชาความรู้รอบตัวให้ได้ประโยชน์ที่สุด เพื่อลูก วันนั้น แม่ พี่สาว ฉัน เราสามคนต้องไปเอาไม้ใหญ่ในสวนยางมาเผาถ่านเพื่อเก็บไว้ใช้เอง  ไม้ใหญ่ในสวนยางที่พ่อตัดทิ้งไว้ เราช่วยกันยกใส่รถเข็นไม้คันยาวของพ่อ ไม้หนักเหลือเกิน แม้เราสามคนจะช่วยกันยกสุดแรง ฉันยังขาเป๋ไปเป๋มา

เมื่อได้ไม้จนเต็มคันรถ  ฉันมีเชือกยาวที่ผูกติดกับหน้ารถไว้ลาก  เพราะฉันตัวโตที่สุดในบ้านตอนนั้น พี่สาวและแม่เข็นตามหลัง  เราสามคนเดินโซซัดโซเซ เพราะมันทั้งหนักและเหนื่อย เมื่อมาถึงทางลงเนิน ทั้งสามคนต้องคอยประคองรถไว้ให้ลงมาช้าๆ  แต่ความที่รถมันหนักมาก เราดึงรถไว้แทบจะไม่อยู่

แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ล้อหลังของรถมีลูกโป่งโผล่ออกมา มันเป็นยางในล้อที่ทนแรงเสียดทานไม่ไหว มันกลายเป็นลูกโป่งขนาดใหญ่ที่เราสามคนพากันทิ้งรถแล้ววิ่งไปแสนไกล จำได้ว่าฉันวิ่งไปสุดแรงเกิดเพราะกลัวเสียงมันจะระเบิดออกมา แต่มันไม่เกิดสิ่งที่เรากลัว กลายเป็นว่าลูกโป่งมันแฟบลงจนเป็นปกติเมื่อจอดรถทิ้งไว้

แล้วเราทั้งสามก็ทิ้งตัวลงบนถนน หัวเราะกันจนน้ำตาไหล มันช่างเป็นตลกที่มาตรงเวลา หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เราช่วยกันพยุงรถจนมาถึงบ้านจนได้ ทุกครั้งที่มองหน้ากันเราจะหัวเราะกันตลอดทาง

ถึงบ้าน ฉันต้องช่วยแม่ขุดหลุมใหญ่หน้าบ้าน รองก้นหลุมด้วยแกลบแล้วเอาไม้วางเรียงลงไปเป็นรูปตาข่าย เทแกลบที่ฉันเอารถคันเดิมไปขนมาจากโรงสีข้างบ้าน แล้วแม่จะจุดไฟเผาถ่านทิ้งไว้สามวัน ฉันมีหน้าที่ใช้ไม้คีบถ่านแดงๆออกจากหลุมแล้วเอาน้ำรดให้ถ่านดับ หลุมถ่านแดงๆนั้นหลังจากคีบถ่านออกจนหมดแล้วน่ากลัวมาก เด็กๆอย่างพวกเราชอบเดินลงไปแล้วเท้าพองต้องทำแผลที่อนามัยทุกวัน ฉัน พี่สาว น้องสาวเคยโดนมาทั้งสามคน  เข็ดหลาบจำหลุมถ่านไม่กล้าเดินลงไปอีกเลย   

สิ่งที่ฉันผ่านมามันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น  เมื่อพูดถึงตอนนี้ แม่และฉันก็หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง แล้วจะให้ฉันหวาดกลัวอะไรกับความเจ็บปวดเล่า ฉันไม่ยอมแพ้เจ้าหรอก ความทุกข์ทรมานทั้งหลายนั้น เจ้าทำอะไรฉันไม่ได้ วันนี้ฉันลุกขึ้นมาแล้วด้วยสองมือของแม่ที่พยุงฉันขึ้นมาแล้ว

ความเข้มแข็งที่แม่เพียรฝึกใจให้พวกเรานั้นเองที่ออกฤทธิ์ ต่อสู้ความเจ็บปวดในกายอย่างกล้าหาญ  แม้จะปวดร้าวไปทั้งกายแต่ฉันยังลุกออกเดินฝืนความเจ็บปวด   ฉันไม่กลัวเจ้าเลยความทุกข์  ฉันจะผ่านวันนี้ไปให้ได้  ฉันไม่ยอมล้มหรอก ดูตาของฉันสิ มันมีประกายของความเชื่อมั่น

ฉันเชื่อว่า  ฉันจะหาย และลุกขึ้นมาหัวเราะเยาะเย้ยเจ้าแทน พอทีความทุกข์ ลาก่อน

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง