Skip to main content


น้ำในคลองวังหยีสีเขียวเข้ม ชื่อคลองวังหยีเพราะมีต้นหยีต้นใหญ่อยู่ริมฝั่ง เป็นคลองสายหลักที่ไหลผ่านทุ่งนากว้างใหญ่ของหมู่บ้าน น้ำจะไหลเชี่ยวและกัดเซาะทุกอย่างที่ขวางหน้า
ก่อนจะไหลข้ามสะพาน น้ำจะไหลเอื่อยลงไปในแอ่งลึกที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเรียกว่าวัง น้ำในวังจะสีเขียวเข้มกว่าส่วนอื่น เพราะความลึกของมัน แค่เพ่งมองฉันก็นึกกลัวขึ้นมา ยิ่งแว่วเสียงคนบอกเล่า มีผีพรายอยู่ในวังด้วยนะ ผีพรายเป็นผู้หญิงผมยาวที่เฝ้าอยู่ในวัง เวลาเล่นน้ำระวังเถิดมันจะมาดึงขาลากลงไปอยู่ในวังด้วยกัน ฉันกลัวจนตัวสั่น ทำให้ฉันต้องลืมตาทุกครั้งเวลาดำน้ำ

หลังไปช่วยแม่เก็บน้ำยางที่สวน เมื่อปั่นจักรยานผ่าน ฉันต้องหยุดอยู่ตรงหน้าวังหยีทุกครั้งไป หลังจอดจักรยานไว้ริมคลอง ฉันกระโดดตูมลงไปในวังหยี ดับความร้อนหลังใช้เรี่ยวแรงในการหมุนจักรทำยางแผ่น น้ำเย็นที่ไหลผ่านตัวทำให้สดชื่นเหลือเกิน ไม่รู้ว่าฉันว่ายน้ำได้อย่างไร แต่การถีบขาอยู่ในน้ำทำให้เราลอยอยู่ได้ นั่นกระมังเป็นหนทางทำให้ฉันว่ายน้ำอยู่ในวังหยีได้ไม่รู้เบื่อ

แม้ฉันจะกลัวผีพราย กลัวถูกลากขาลงไปในวังสักเพียงใด มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันหยุดเล่นน้ำ มีเด็กหลายคนมาสมทบ เราหาเกมเล็กๆมาเล่นกัน เกมนี้ชื่อ ปักกำ เป็นการดำน้ำลงไปในวังแล้วใช้กิ่งไม้เล็กๆที่เราหักมาจากริมคลองปักลงไปในดินกลางวัง มีคนปักลงไปหนึ่งคน คนที่เหลือมีหน้าที่ดำน้ำหา ถ้าใครพบกิ่งไม้ก่อนเป็นผู้ชนะ จะได้เป็นคนดำน้ำเอากิ่งไม้ไปปักต่อไป หลายคนเล่นน้ำจนเป็นนักดำน้ำชั้นเซียน บางทีกว่าจะหากิ่งไม้เจอเล่นเอาคนหากินน้ำไปหลายอึก

บางวันฉันลงไปเพลินอยู่ในน้ำตั้งแต่เที่ยงวันไปจนเย็นย่ำ หลังดำน้ำจนตาแดงไปหมด ฉันต้องวิ่งขึ้นจากน้ำเมื่อหันไปเห็นแม่มาถึงพร้อมไม้เรียว แม่จะปั่นจักรยานตามหลังฉัน ส่งเสียงบ่นว่ามาตลอดทาง

ถึงกระนั้น ฉันไม่เคยกลัวไม้เรียวของแม่ ฉันยังฮึกเหิมถึงกับปีนขึ้นไปบนราวสะพานกระโดดลงมาในคลองแล้วดำน้ำหายลงไปในวังอย่างไม่เคยนึกกลัวอะไรเลย ถ้าแม่มาเห็นว่าฉันทำอย่างนั้น แม่คงตีฉันไม่นับและห้ามฉันเล่นน้ำอีกเด็ดขาด

วันนั้น ฉันและภานา เพื่อนรุ่นน้องที่เฝ้าติดสอยห้อยตามฉันมาหลายวันเพื่อจะลงเล่นน้ำในวังให้ได้ ภานายังว่ายน้ำไม่เก่ง เธอตามฉันมาเพื่อหัดดำน้ำและว่ายน้ำในคลองวังหยี เธอบอกว่าหัดว่ายน้ำกับฉันเธอไม่รู้สึกกลัวเลย เราสองคนลงไปในคลองพร้อมกัน น้ำในวังหยีเต็มปริ่ม สีเขียวครึ้ม ฉันพาภานาว่ายลงไปในวัง แล้วอยู่ๆ เธอจมหายลงไปทันทีต่อหน้าฉัน เหมือนถูกผีพรายดึงลงไป

ฉันตกใจแทบสิ้นสติ ดำน้ำลงไปสุดแรง ไปตามทางที่ภานาจมลงไป หัวใจฉันเต้นแรงเหมือนจะทะลุอกออกมา ในตอนนั้นฉันจำได้ว่า ฉันพุ่งกระโจนลงไปหาเธออย่างไม่คิดชีวิต แล้วฉันก็เห็นเธอในน้ำ

เธอกำลังสำลักและดิ้นทุรนทุราย

ทันทีที่ฉันถึงตัวเธอ เธอกลับกอดมัดฉันแน่นเหมือนเธอเป็นงูเหลือม เราสองคนดิ่งลงไปในก้นวัง แก้วหูของฉันลั่นเปรี๊ยะ เท้าของฉันถีบสะเปะสะปะไปตามโคลนก้นวัง ฉันรู้สึกถึงความเหนียวนุ่มของมัน นึกถึงความตาย คิดถึงแม่ เราสองคนดิ้นรนอยู่ใต้น้ำ แล้วมือของฉันก็คว้าไปถูกสาหร่ายในคลอง ฉันจึงนึกถึงผีพราย ภาวนาให้เธอมาช่วยเราสองคนด้วย

ฉันสลัดภานาออกจนหลุดจากตัวในอึดสุดท้าย ตอนที่ฉันกำลังจะหมดแรงแล้ว ลมหายใจเริ่มติดขัด เธอหลุดกระเด็นออกจากตัวฉัน ฉันนึกถึงหนังสือที่ฉันเคยอ่าน บอกวิธีช่วยคนตกน้ำว่าให้จับส่วนปลายมือหรือเท้าก็ได้ลากขึ้นมา

ในสำนึกสุดท้าย ฉันจึงคว้าข้อมือเธอ ลากเธอมาบนฝั่งได้สำเร็จ

เราสองคนฟุบลงไปบนโคลน หายใจหอบแข่งกัน ภานาหายใจดังฟืดฟาดสลับกับเสียงไอ เนื้อตัวมอมแมม เธอสำลักน้ำ ไอจนเจ็บหน้าอกไปหมด ฉันเอามือเคาะหลังให้เธอ แล้วเราสองคนก็ร้องไห้กอดกันกลม

เมื่อลุกขึ้นมาจากริมตลิ่ง ฉันจึงเห็นว่าเรานอนอยู่ใต้ต้นหยีต้นใหญ่ ฉันลุกขึ้นกราบต้นหยีด้วยความขอบคุณที่เรารอดตาย แล้วเราสองคนก็ยืนมองสายน้ำของวังหยีด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป วังหยีทั้งลึกลับและน่ากลัวที่สุด เหมือนผีพรายวนเวียนอยู่ใต้ท้องน้ำจริงๆ แม้จะนึกไปว่าผีพรายให้โอกาสเรารอดชีวิตมาได้ก็ตาม

หลังจากล้างโคลนออกจากตัว ฉันจูงจักรยานขึ้นจากริมตลิ่ง เราสองคนเงียบลง ภานาซ้อนท้ายจักรยานฉันกลับบ้าน เราสัญญากันว่าจะไม่บอกใครถึงเรื่องนี้ เธอเอามือเช็ดน้ำตา บอกฉันว่า เธอจะไม่เล่นน้ำที่วังหยีอีกแล้ว

วันต่อมา ฉันหยุดลงที่ใต้ต้นหยี กอดเข่านั่งมองน้ำ วังหยีเงียบ สายน้ำสีเขียวเข้ม นิ่งสงบ ในใจฉันรู้สึกเศร้าหม่น เป็นวันแรกที่ฉันกลับบ้านโดยตัวไม่เปียก แม่มองฉันอย่างแปลกใจ

หลังจากวันนั้น ฉันไม่ลงเล่นน้ำที่วังหยีอีกเลย แต่ฉันยังไปนั่งอยู่ริมฝั่งทุกวัน

เมื่อฉันโตขึ้น ออกจากบ้านไปเรียนต่อ ห่างจากบ้านออกไปเรื่อยๆ โอกาสกลับบ้านน้อยลงตามระยะทาง ในใจฉันไม่เคยลืมวังหยี ทุกครั้งที่คิดถึงบ้าน ฉันนึกถึงความเย็นฉ่ำของสายน้ำ ความลึกลับ ผีพราย และความตายที่รออยู่ในก้นวัง

วันหนึ่ง หลังจากที่ฉันเรียนจบและทำงานแล้ว ฉันกลับไปหาวังหยีไม่เจอ คลองที่กว้างใหญ่หายไป มีทุ่งหญ้ามาแทนที่ ไม่มีร่องรอยของต้นหยีต้นใหญ่ที่เคยยืนตระหง่านอยู่อีกแล้ว ความรู้สึกเศร้าหม่นกลับมาในใจฉันอีกครั้ง

ฉันนึกถึงภานา และคิดว่าเธอจะคิดเหมือนฉันไหม

ในวันทำงาน ช่วงเวลาวิกฤติที่ต้องลากรถช่วยชีพฉุกเฉิน วิ่งกระโจนเข้าไปหาคนไข้ หลายครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์เศร้าของชีวิต การยอมรับความพ่ายแพ้ รับมือกับความตายตรงหน้า หัวใจเต้นรัว หวั่นไหวและร้องไห้ ฉันนึกถึงภานา นึกถึงวังหยี ผีพรายและสายน้ำ ทุกสิ่งได้ผ่านไปแล้ว มันไม่กลับคืน เหมือนไม่เคยมีอยู่จริง

ถึงกระนั้น ฉันยังหวังให้เราโชคดีเหมือนวันนั้น วันที่เรารอดชีวิตมา

วังหยีคืนชีวิตเราสองคนให้รอดพ้นจากความตาย แม้ว่าวินาทีดิ้นรนใต้น้ำนั้น มันยังเกิดขึ้นกับฉันตลอดมา แต่ฉันยังคงแน่วแน่เสมอ พุ่งตรงลงไปในสายน้ำของชีวิต ดึงมือและฉุดช่วยสุดชีวิต ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ความสิ้นหวังและความตายจะมารออยู่ตรงหน้า ฉันไม่เคยรีรอลังเล

วันนี้ ชีวิตเต็มไปด้วยบาดแผล ริ้วรอยและความเศร้า บางสิ่งหายไปไม่กลับคืน บางอย่างมาแทนที่ ฉันค้นพบความหมายของการมีชีวิตอยู่หลังความตายในคลองวังหยี บนเส้นทางของการทำงาน และภานายังอยู่ในฉันใจเสมอ

ฉันหวังให้เธอผ่านพ้น ฝ่าฟันข้ามไปในทุกสถานการณ์ชีวิต ดำรงชีวิตอย่างสงบสุข มีครอบครัวและคนที่รักเธอ ตลอดไป

ขอบคุณคลองวังหยี ภานาและเหตุการณ์ในวันนั้น ที่ผ่านมาทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปจนมีวันนี้ วันที่ได้นั่งลงเขียนถึง บอกเล่าเรื่องราวชีวิต

ขอบคุณ ภู เชียงดาว และเว็บไซต์ประชาไทที่ให้โอกาสการเขียนหนังสือจนเป็นงานชิ้นนี้ขึ้นมา
ขอบคุณนนท์ เพื่อนแท้ในชีวิตที่คอยดูแลทุกข์สุข ทุ่มเท ให้กำลังใจในงานเขียนเสมอมาอย่างไม่เคยท้อแท้ ทำให้ฉันเชื่อมั่นและกล้าก้าวเดินต่อไป
ขอบคุณ ครูนารี ครูภาษาไทยคนแรกของฉันที่สอนให้อ่านและเขียนตัวหนังสือได้
ขอบคุณพ่อและแม่ของฉันที่เข้มแข็ง ฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างในชีวิต เพื่อลูก จนฉันมีวันนี้ได้

เหนืออื่นใด ขอบคุณวิชาชีพพยาบาลเส้นทางสีขาวที่สร้างชีวิตฉันขึ้นมาจากความว่างเปล่า พี่น้องร่วมเส้นทางที่มากด้วยความรักความเมตตาและน้ำใจเอื้อเฟื้อ คนไข้ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในทุกเหตุการณ์ ชีวิตจริงที่ดูราวการแสดง ให้ฉันได้เรียนรู้มุมใหม่ๆ ของโลก รู้จักข้างในของตัวเอง ค้นพบกฏของการมีชีวิตอยู่นิรันดร์

สุดท้าย ขอบคุณพี่อ้อมสำหรับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นและคนอ่านทุกคนที่ผ่านเข้ามาให้กำลังใจ ขอให้มีความสุขในโลกของการอ่าน

 

ด้วยรักและมิตรภาพ
มาลำ
หน้าฝนในซอยวัดอุโมงค์ พฤษภาคม
2551 เชียงใหม่

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง