Skip to main content


น้ำในคลองวังหยีสีเขียวเข้ม ชื่อคลองวังหยีเพราะมีต้นหยีต้นใหญ่อยู่ริมฝั่ง เป็นคลองสายหลักที่ไหลผ่านทุ่งนากว้างใหญ่ของหมู่บ้าน น้ำจะไหลเชี่ยวและกัดเซาะทุกอย่างที่ขวางหน้า
ก่อนจะไหลข้ามสะพาน น้ำจะไหลเอื่อยลงไปในแอ่งลึกที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเรียกว่าวัง น้ำในวังจะสีเขียวเข้มกว่าส่วนอื่น เพราะความลึกของมัน แค่เพ่งมองฉันก็นึกกลัวขึ้นมา ยิ่งแว่วเสียงคนบอกเล่า มีผีพรายอยู่ในวังด้วยนะ ผีพรายเป็นผู้หญิงผมยาวที่เฝ้าอยู่ในวัง เวลาเล่นน้ำระวังเถิดมันจะมาดึงขาลากลงไปอยู่ในวังด้วยกัน ฉันกลัวจนตัวสั่น ทำให้ฉันต้องลืมตาทุกครั้งเวลาดำน้ำ

หลังไปช่วยแม่เก็บน้ำยางที่สวน เมื่อปั่นจักรยานผ่าน ฉันต้องหยุดอยู่ตรงหน้าวังหยีทุกครั้งไป หลังจอดจักรยานไว้ริมคลอง ฉันกระโดดตูมลงไปในวังหยี ดับความร้อนหลังใช้เรี่ยวแรงในการหมุนจักรทำยางแผ่น น้ำเย็นที่ไหลผ่านตัวทำให้สดชื่นเหลือเกิน ไม่รู้ว่าฉันว่ายน้ำได้อย่างไร แต่การถีบขาอยู่ในน้ำทำให้เราลอยอยู่ได้ นั่นกระมังเป็นหนทางทำให้ฉันว่ายน้ำอยู่ในวังหยีได้ไม่รู้เบื่อ

แม้ฉันจะกลัวผีพราย กลัวถูกลากขาลงไปในวังสักเพียงใด มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันหยุดเล่นน้ำ มีเด็กหลายคนมาสมทบ เราหาเกมเล็กๆมาเล่นกัน เกมนี้ชื่อ ปักกำ เป็นการดำน้ำลงไปในวังแล้วใช้กิ่งไม้เล็กๆที่เราหักมาจากริมคลองปักลงไปในดินกลางวัง มีคนปักลงไปหนึ่งคน คนที่เหลือมีหน้าที่ดำน้ำหา ถ้าใครพบกิ่งไม้ก่อนเป็นผู้ชนะ จะได้เป็นคนดำน้ำเอากิ่งไม้ไปปักต่อไป หลายคนเล่นน้ำจนเป็นนักดำน้ำชั้นเซียน บางทีกว่าจะหากิ่งไม้เจอเล่นเอาคนหากินน้ำไปหลายอึก

บางวันฉันลงไปเพลินอยู่ในน้ำตั้งแต่เที่ยงวันไปจนเย็นย่ำ หลังดำน้ำจนตาแดงไปหมด ฉันต้องวิ่งขึ้นจากน้ำเมื่อหันไปเห็นแม่มาถึงพร้อมไม้เรียว แม่จะปั่นจักรยานตามหลังฉัน ส่งเสียงบ่นว่ามาตลอดทาง

ถึงกระนั้น ฉันไม่เคยกลัวไม้เรียวของแม่ ฉันยังฮึกเหิมถึงกับปีนขึ้นไปบนราวสะพานกระโดดลงมาในคลองแล้วดำน้ำหายลงไปในวังอย่างไม่เคยนึกกลัวอะไรเลย ถ้าแม่มาเห็นว่าฉันทำอย่างนั้น แม่คงตีฉันไม่นับและห้ามฉันเล่นน้ำอีกเด็ดขาด

วันนั้น ฉันและภานา เพื่อนรุ่นน้องที่เฝ้าติดสอยห้อยตามฉันมาหลายวันเพื่อจะลงเล่นน้ำในวังให้ได้ ภานายังว่ายน้ำไม่เก่ง เธอตามฉันมาเพื่อหัดดำน้ำและว่ายน้ำในคลองวังหยี เธอบอกว่าหัดว่ายน้ำกับฉันเธอไม่รู้สึกกลัวเลย เราสองคนลงไปในคลองพร้อมกัน น้ำในวังหยีเต็มปริ่ม สีเขียวครึ้ม ฉันพาภานาว่ายลงไปในวัง แล้วอยู่ๆ เธอจมหายลงไปทันทีต่อหน้าฉัน เหมือนถูกผีพรายดึงลงไป

ฉันตกใจแทบสิ้นสติ ดำน้ำลงไปสุดแรง ไปตามทางที่ภานาจมลงไป หัวใจฉันเต้นแรงเหมือนจะทะลุอกออกมา ในตอนนั้นฉันจำได้ว่า ฉันพุ่งกระโจนลงไปหาเธออย่างไม่คิดชีวิต แล้วฉันก็เห็นเธอในน้ำ

เธอกำลังสำลักและดิ้นทุรนทุราย

ทันทีที่ฉันถึงตัวเธอ เธอกลับกอดมัดฉันแน่นเหมือนเธอเป็นงูเหลือม เราสองคนดิ่งลงไปในก้นวัง แก้วหูของฉันลั่นเปรี๊ยะ เท้าของฉันถีบสะเปะสะปะไปตามโคลนก้นวัง ฉันรู้สึกถึงความเหนียวนุ่มของมัน นึกถึงความตาย คิดถึงแม่ เราสองคนดิ้นรนอยู่ใต้น้ำ แล้วมือของฉันก็คว้าไปถูกสาหร่ายในคลอง ฉันจึงนึกถึงผีพราย ภาวนาให้เธอมาช่วยเราสองคนด้วย

ฉันสลัดภานาออกจนหลุดจากตัวในอึดสุดท้าย ตอนที่ฉันกำลังจะหมดแรงแล้ว ลมหายใจเริ่มติดขัด เธอหลุดกระเด็นออกจากตัวฉัน ฉันนึกถึงหนังสือที่ฉันเคยอ่าน บอกวิธีช่วยคนตกน้ำว่าให้จับส่วนปลายมือหรือเท้าก็ได้ลากขึ้นมา

ในสำนึกสุดท้าย ฉันจึงคว้าข้อมือเธอ ลากเธอมาบนฝั่งได้สำเร็จ

เราสองคนฟุบลงไปบนโคลน หายใจหอบแข่งกัน ภานาหายใจดังฟืดฟาดสลับกับเสียงไอ เนื้อตัวมอมแมม เธอสำลักน้ำ ไอจนเจ็บหน้าอกไปหมด ฉันเอามือเคาะหลังให้เธอ แล้วเราสองคนก็ร้องไห้กอดกันกลม

เมื่อลุกขึ้นมาจากริมตลิ่ง ฉันจึงเห็นว่าเรานอนอยู่ใต้ต้นหยีต้นใหญ่ ฉันลุกขึ้นกราบต้นหยีด้วยความขอบคุณที่เรารอดตาย แล้วเราสองคนก็ยืนมองสายน้ำของวังหยีด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป วังหยีทั้งลึกลับและน่ากลัวที่สุด เหมือนผีพรายวนเวียนอยู่ใต้ท้องน้ำจริงๆ แม้จะนึกไปว่าผีพรายให้โอกาสเรารอดชีวิตมาได้ก็ตาม

หลังจากล้างโคลนออกจากตัว ฉันจูงจักรยานขึ้นจากริมตลิ่ง เราสองคนเงียบลง ภานาซ้อนท้ายจักรยานฉันกลับบ้าน เราสัญญากันว่าจะไม่บอกใครถึงเรื่องนี้ เธอเอามือเช็ดน้ำตา บอกฉันว่า เธอจะไม่เล่นน้ำที่วังหยีอีกแล้ว

วันต่อมา ฉันหยุดลงที่ใต้ต้นหยี กอดเข่านั่งมองน้ำ วังหยีเงียบ สายน้ำสีเขียวเข้ม นิ่งสงบ ในใจฉันรู้สึกเศร้าหม่น เป็นวันแรกที่ฉันกลับบ้านโดยตัวไม่เปียก แม่มองฉันอย่างแปลกใจ

หลังจากวันนั้น ฉันไม่ลงเล่นน้ำที่วังหยีอีกเลย แต่ฉันยังไปนั่งอยู่ริมฝั่งทุกวัน

เมื่อฉันโตขึ้น ออกจากบ้านไปเรียนต่อ ห่างจากบ้านออกไปเรื่อยๆ โอกาสกลับบ้านน้อยลงตามระยะทาง ในใจฉันไม่เคยลืมวังหยี ทุกครั้งที่คิดถึงบ้าน ฉันนึกถึงความเย็นฉ่ำของสายน้ำ ความลึกลับ ผีพราย และความตายที่รออยู่ในก้นวัง

วันหนึ่ง หลังจากที่ฉันเรียนจบและทำงานแล้ว ฉันกลับไปหาวังหยีไม่เจอ คลองที่กว้างใหญ่หายไป มีทุ่งหญ้ามาแทนที่ ไม่มีร่องรอยของต้นหยีต้นใหญ่ที่เคยยืนตระหง่านอยู่อีกแล้ว ความรู้สึกเศร้าหม่นกลับมาในใจฉันอีกครั้ง

ฉันนึกถึงภานา และคิดว่าเธอจะคิดเหมือนฉันไหม

ในวันทำงาน ช่วงเวลาวิกฤติที่ต้องลากรถช่วยชีพฉุกเฉิน วิ่งกระโจนเข้าไปหาคนไข้ หลายครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์เศร้าของชีวิต การยอมรับความพ่ายแพ้ รับมือกับความตายตรงหน้า หัวใจเต้นรัว หวั่นไหวและร้องไห้ ฉันนึกถึงภานา นึกถึงวังหยี ผีพรายและสายน้ำ ทุกสิ่งได้ผ่านไปแล้ว มันไม่กลับคืน เหมือนไม่เคยมีอยู่จริง

ถึงกระนั้น ฉันยังหวังให้เราโชคดีเหมือนวันนั้น วันที่เรารอดชีวิตมา

วังหยีคืนชีวิตเราสองคนให้รอดพ้นจากความตาย แม้ว่าวินาทีดิ้นรนใต้น้ำนั้น มันยังเกิดขึ้นกับฉันตลอดมา แต่ฉันยังคงแน่วแน่เสมอ พุ่งตรงลงไปในสายน้ำของชีวิต ดึงมือและฉุดช่วยสุดชีวิต ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ความสิ้นหวังและความตายจะมารออยู่ตรงหน้า ฉันไม่เคยรีรอลังเล

วันนี้ ชีวิตเต็มไปด้วยบาดแผล ริ้วรอยและความเศร้า บางสิ่งหายไปไม่กลับคืน บางอย่างมาแทนที่ ฉันค้นพบความหมายของการมีชีวิตอยู่หลังความตายในคลองวังหยี บนเส้นทางของการทำงาน และภานายังอยู่ในฉันใจเสมอ

ฉันหวังให้เธอผ่านพ้น ฝ่าฟันข้ามไปในทุกสถานการณ์ชีวิต ดำรงชีวิตอย่างสงบสุข มีครอบครัวและคนที่รักเธอ ตลอดไป

ขอบคุณคลองวังหยี ภานาและเหตุการณ์ในวันนั้น ที่ผ่านมาทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปจนมีวันนี้ วันที่ได้นั่งลงเขียนถึง บอกเล่าเรื่องราวชีวิต

ขอบคุณ ภู เชียงดาว และเว็บไซต์ประชาไทที่ให้โอกาสการเขียนหนังสือจนเป็นงานชิ้นนี้ขึ้นมา
ขอบคุณนนท์ เพื่อนแท้ในชีวิตที่คอยดูแลทุกข์สุข ทุ่มเท ให้กำลังใจในงานเขียนเสมอมาอย่างไม่เคยท้อแท้ ทำให้ฉันเชื่อมั่นและกล้าก้าวเดินต่อไป
ขอบคุณ ครูนารี ครูภาษาไทยคนแรกของฉันที่สอนให้อ่านและเขียนตัวหนังสือได้
ขอบคุณพ่อและแม่ของฉันที่เข้มแข็ง ฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างในชีวิต เพื่อลูก จนฉันมีวันนี้ได้

เหนืออื่นใด ขอบคุณวิชาชีพพยาบาลเส้นทางสีขาวที่สร้างชีวิตฉันขึ้นมาจากความว่างเปล่า พี่น้องร่วมเส้นทางที่มากด้วยความรักความเมตตาและน้ำใจเอื้อเฟื้อ คนไข้ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในทุกเหตุการณ์ ชีวิตจริงที่ดูราวการแสดง ให้ฉันได้เรียนรู้มุมใหม่ๆ ของโลก รู้จักข้างในของตัวเอง ค้นพบกฏของการมีชีวิตอยู่นิรันดร์

สุดท้าย ขอบคุณพี่อ้อมสำหรับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นและคนอ่านทุกคนที่ผ่านเข้ามาให้กำลังใจ ขอให้มีความสุขในโลกของการอ่าน

 

ด้วยรักและมิตรภาพ
มาลำ
หน้าฝนในซอยวัดอุโมงค์ พฤษภาคม
2551 เชียงใหม่

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …