Skip to main content
ศรีตรังคลี่กลีบสีม่วงสวยออกมาแย้มยิ้ม  ทักทายสายลมร้อน เฉลา อินทนิล โบกกลีบ มาถึงแล้วสีม่วงสุดสวย ละมุนละไม
แดดร้อนตอนเที่ยงวัน เนื้อตัวเหมือนแสบไหม้ ไอร้อนจากถนนโชยมา ฉันก้มหน้าก้มตาเดิน หาต้นไม้ในหัวใจสักต้น โน่นไง ฉันก้าวเท้าเข้าไปหา ไฮเดรนเยียสีโปรดของฉัน สีม่วงครามกำลังบาน

บ่ายแล้ว ผู้หญิงหน้าตาไหม้เกรียมกำลังหอบต้นไม้ออกดอกสีม่วงขึ้นรถมุ่งตรงไปวัด
\\/--break--\>


เข้ามานั่งใกล้สิๆ อาพูดกับฉัน หลังจากที่ฉันเดินเข้าไปในห้องทำงานของอา เสียงอาพูด หลังอาป่วยต้องไปฟอกไตมาตลอด หลายปีแล้วไตของอาเล็กลงฝ่อไปจนเหลือเพียงเท่าเมล็ดถั่ว แล้วหมอก็ให้อาไปทำอัลตร้าซาวด์ หมออุทานว่าไตทำไมมันใหญ่ขึ้น อธิบายให้ฟังหน่อยว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน

ฉันยิ้มให้อาหลังจากนั่งลงที่พื้นห้อง  จำได้ว่า ฉันเงยหน้าขึ้นตอบอา ก็อาเขียนหนังสือ ทุกถ้อยคำของอาที่เขียนออกมามันเป็นความสุขล้ำลึก มีสารความสุขที่ชื่อเอนโดรฟินหลั่งออกมาจากการที่เราทำสิ่งที่เกิดสุข สารนั้นก่อให้เกิดความมหัศจรรย์เสมอ

อย่างเช่นที่ไตของอาใหญ่ขึ้นจากที่ฝ่อไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเสมอในคนทำงานศิลปะ  
อายิ้มกว้างให้ฉัน  นั่นนะสิคนทำงานศิลป์หน้าตาไม่แก่ ทันสมัยฉับไวเสมอ คงเป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง อาพูด

หลายปีก่อน ฉันเคยได้เทียวไปเทียวมาสวนทูนอิน หอบลูกสาวตัวเล็ก ไปวัดความดัน ไปดูแลอา เพราะฉันเป็นพยาบาล  ฉันจึงได้มีโอกาสไปถึงตัวอา  นอนฟังเสียงฝนในชายคาบ้านของอาจนดึกดื่น ดอกไม้กลางคืนส่งกลิ่นหอม อาบอกว่าอยู่ทางซ้ายของบ้านนะเดินออกไปดูสิ  ดงดอกไม้ของสวนทูนอิน หอมลึกล้ำติดตรึงใจ แวะมุมไหนก็สวยไปทุกมุม

 

ดวงตาของอานั้นคงมองกว้างไปรอบตัว คิดและทำงานตลอดเวลาเหมือนนายช่างศิลป์ อายังเป็นนักเขียนที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาที่ฉันสัมผัสได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นใครตัวเล็กแค่ไหน อาให้ความสำคัญถามไถ่พูดคุยเสมอ ฉันเห็นภาพเหล่านั้นเสมอมา บางคราวที่ฉันนั่งๆนอนๆอยู่บนสวนทูนอิน ฉันเคยนึกแปลกใจว่า มาทำอะไรอยู่บ้านนักเขียนใหญ่หนอ  มีวาสนาดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ฉันออกมาเดินชมสวนในตอนกลางคืน ดอกไม้ที่บานในความมืดสลัว สวยซึ้ง เดินไปดมดอกโน้นดอกนี้จนดึกดื่น ก่อนจะขับรถกลับบ้าน มีเด็กหญิงหลับพับอยู่หลังรถ

แต่ฉันคงเป็นพยาบาลที่แย่มาก อาอาการแย่ลงจนต้องถึงขั้นไปฟอกไต ฉันเหมือนคนมืดบอดหนทาง บางคราวได้ไปนั่งคอยให้อาตื่นหลังฟอกไตที่เครื่อง  แม้หัวใจฉันจะหดหู่ที่เห็นอาในสภาพอย่างนั้น แอบเช็ดน้ำตาตัวเองที่เห็นอาหลับเหมือนไม่หายใจ  หัวใจหวาดหวั่นเหมือนว่าหวาดกลัวอาจะไม่ตื่น แต่อาก็ตื่นมาทุกครั้ง ลืมตามาแล้วถามว่า มานานหรือยังเสมอ ฉันแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก วันนี้ของอาผ่านไปอีกหนึ่งวัน

หลังอาฟอกไตได้สองปี เด็กหญิงของฉันหายไปจากอ้อมกอด  เอาล่ะที่นี้ฉันก็รู้แล้วว่า ฉันเป็นพยาบาลที่ไม่ได้ความที่สุด เพราะลูกสาวของฉัน ฉันยังดูแลเขาไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะอาเท่านั้นแล้ว ฉันกลายเป็นคนป่วย  ระยะทางระหว่างบ้านฉันและสวนทูนอินไกลขึ้น ถึงกระนั้น อามักจะให้พี่ติ๋มโทรมาหา มาพูดคุยด้วยเป็นเวลานานๆ บางคราวอาบ่นด้วยความห่วงใย มาหากันบ้างสิโว้ย คิดถึง

แม้เราจะห่างกันขึ้นตามระยะทางความเศร้าในหัวใจ ถึงกระนั้น 20 พฤษภาวันเกิดของอา ก็ยังเป็นวันบูชาครูสำหรับฉันเสมอ แม้หัวใจของฉันจะเศร้าอย่างไร ป่วยหนักแค่ไหนฉันจะหอบสังขารหน้าตาหม่นทุกข์ไปถึงบ้านอา ไปนั่งใกล้ๆ ฟังอาถามไถ่ พูดคุย อาบอกว่าทำไมอาจะไม่เข้าใจว่าเสียลูกปวดร้าวอย่างไร อาเคยเสียลูกสาวตัวเล็ก อาเข้าใจ น่าแปลกที่เพียงแค่เราสบตากัน อาก็รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่  วันนี้แกงอะไรมาล่ะ อาถาม น้ำยาปักษ์ใต้ อาไม่ได้กินแล้วล่ะ แกงคั่วทักษิณรสที่ใครๆชอบก็เช่นกัน กินอะไรได้นิดๆหน่อยแล้ว อาผอมลงนะ ผอมมาก

อายังบอกดอกแก้วมังกร ออกดอกอีกแล้วนะ เดินไปดูสิ แม้จะลุกเดินช้าๆไป ตามองหาดอกไม้ดอกโน้นดอกนี้ตามที่อาบอก หัวใจฉันก็ยังเรียกหาเด็กหญิงในอ้อมแขน ปรารถนาที่จะเห็นเขาอีกสักครั้งในร่องรอยที่เราเคยเดินมาด้วยกันหลายปีที่นี่ คำพูดหลายคำที่เขาเคยถามหล่นเรียงรายตามทางเดินกลายเป็นหยดน้ำ ราดรดกิ่งก้านใบในเงาสลัว  เหมือนหัวใจถูกฉีกออกจากอก เจ็บร้าวจนต้องเอามือมากุมไว้ เดินไปได้ไม่ไกลต้องนั่งลงแล้วเดินกลับ   

แม้จะเห็นอาดูเหนื่อยที่ต้องนั่งใส่สายออกซิเจน พูดคุยกับใครต่อใคร แต่ทุกปีของฉันคืออานั่งอยู่ตรงนั้น ที่ที่มีดอกไม้บานและหอมหวน มีหมู่กวีคนทำงานศิลปะห้อมล้อม

บ้างเมามาย ร้องรำ ร่ายบทกวี บ้างขับกล่อมบทเพลงแว่ว  พลบค่ำแสงไฟรถจึงค่อยไต่ลงมาจากความสูง แม้บางคนไม่ยอมกลับอยู่ต่อที่นั่นอีกหลายวัน แต่เมื่อมองไปตรงภูเขาสูงตรงนั้น ฉันเห็นอา  เห็นรอยยิ้มของอาเสมอ

ปีนี้ ฉันมีอีกหนึ่งเรื่องที่ตั้งใจ หนังสือชื่อบันทึกคนเสื้อขาวที่ฉันเขียน ฉันตั้งใจเอาไปฝากอาพร้อมแกงที่หอบหิ้วขึ้น   อยากเห็นรอยยิ้มจากอาที่อาส่งมาให้ฉันสม่ำเสมอ อาอาจจะแปลกใจ  ถามฉันว่าไปแอบเขียนหนังสือตั้งแต่เมื่อไร เออเขียนดีๆนะ แล้วอาจะตั้งใจอ่าน แล้วมาคุยกันนะว่าเป็นอย่างไร เขียนให้อาอ่านมั่วไม่ได้นะ เอาดีๆตั้งใจเขียนต่อนะ ฉันคิดเอาว่าอาคงพูดอย่างนั้นกับฉัน

ดอกไม้กลีบสีม่วงที่ฉันชอบโผล่กลีบมารอรับสายลมร้อน ในเช้าวันนี้ ดอกปลิวไสวล้อลมหลังใบของมันร่วงจนหมดต้น สีม่วงครามสลับสีขาวอ่อนโพลนเต็มต้น  สวยเหมือนภาพวาดลึกล้ำ น่าแปลกที่ฉันยืนมองมันแล้วคิดถึงถ้อยคำของอา ดอกไม้สวยเหมือนกับผู้หญิงสวย กลีบและเกสรของหล่อนไม่เคยอ้างว้าง

ฉันเดินเข้ามาในวัด บอกอาในใจ อาคะ ฉันหอบดอกสีม่วงครามที่ฉันชอบมาฝาก ใบของมันแผ่กว้างสีเขียวสด เมื่อฉันวางมันลงตรงหน้าน้องที่ลงทะเบียน น้องมองตาม ชื่อดอกอะไรคะ ลงทะเบียนเลยนะว่ามาจากใคร

ฉันนึกถึงค่ำนั้นที่ฉันนอนไม่หลับหลังได้ยินข่าวว่าอา เข้าโรงพยาบาลในตอนบ่าย คนข้างตัวไปบอกลาอาด้วย ฉันนึกไปว่า อาจจะเป็นวันของอาแล้วก็ได้  ฝากบอกลาอาด้วย กระซิบข้างหูนะ รับรองอาได้ยินเสียงแน่ๆ

แม้จะบอกตัวเองว่าถึงเวลาแล้ว ในทันทีที่รู้ข่าวอาในเย็นวันรุ่งขึ้น   แม้จะรู้ว่า อาคงไม่ทรมาน ไม่เจ็บปวดอีกแล้ว อาคงสบาย โล่งและสงบเหมือนที่ฉันเคยดับไปหลังผ่าตัดครั้งสุดท้ายที่ผ่านมา  อาสบายไปแล้ว อาคงไม่ทุกข์ ไม่ต้องกิน ไม่หิว ไม่ง่วง สบายจริงนะอา

แม้ว่าฉันจะท่องไว้อย่างนั้น ท่องไว้ให้ขึ้นใจ แม้ตอนที่ฉันหอบกระถางดอกไม้นี้มา ฉันก็ยังท่องมันไว้ อาสบายไปแล้ว และฉันกำลังเอาดอกไม้มาบูชาครู

แต่ทันทีที่สบตาอาในรูป หัวใจก็ตกวูบลงมาที่ปลายเท้า ความจริงที่ฉันตระหนัก เหมือนมีดวิ่งมาเสียบหัวใจ อาไม่อยู่แล้วใช่ไหม ฉันจะไม่ได้ยินเสียงอา ไม่ได้ยินน้ำเสียงเมตตาปราณีอย่างนั้นอีกแล้วใช่ไหม อาไม่อยู่แล้ว นั่นคือความจริง  ฉันนั่งลงร้องไห้อยู่ตรงนั้น เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เหมือนเด็กหญิงตัวเล็กของฉันที่หายไปในค่ำนั้น เหมือนอาในค่ำนี้

อาคะลาก่อน ผู้หญิงหน้าตาดำๆ ใส่หมวก ที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงรูปอานั่นใช่ฉันเอง อาค่ะ ลาก่อนจนกว่าเราจะพบกัน เมื่อถึงเวลาของฉัน เราคงได้เจอกัน   เด็กหญิงตัวเล็กของฉันคงเดินออกมาจูงอาไว้ รอเดินไปด้วยกัน

กวีหนุ่มกนกพงศ์คงออกมายืนรอ  น้าต้อมสองวัย คนทำงานศิลปะ คนเขียนหนังสือหลายคน คงออกมารอท่า อาคงไม่เหงาและมีความสุขไม่แพ้วันที่ผ่านมา

อาคะ สวัสดีค่ะ  ขอบคุณเหลือเกินในเมตตาของอาที่ผ่านมา ขอบคุณในสิ่งที่อาทำให้กับเด็กรุ่นหลัง ขอบคุณที่อาเห็นพวกเราเป็นญาติน้ำหมึกที่อาให้เกียรติ ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตดังฝุ่นธุลีของฉันดูดีมีราคา มีค่าขึ้นมาได้มีโอกาสดูแลอา    

ลาก่อนค่ะ อาลาก่อน จนกว่าเราจะพบกัน

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
โป้ง น้องรัก พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน หนุ่มน้อยของพี่ ครบหนึ่งปีของการจากไปอยู่ที่แห่งใหม่ของเธอแล้ว โลกใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง หลังการดับลงของลมหายใจ พี่รู้ว่าเธอออกเดินทางต่อ เธอผู้ไม่เคยเบื่อที่จะออกเดินทาง เป็นหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะเราคุยกันผ่านความเงียบ จากที่เราเคยได้ยินเสียงของกัน กลับกลายเป็นพี่คุยกับเธอผ่านสมุดบันทึก บางเรื่องที่พี่คิด สิ่งที่พี่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธอยังอยู่ บางคำถามของพี่ เธอจะตอบพี่ว่าอย่างไรหนอ
มาลำ
แม่ชงยาสมุนไพรทองพันชั่งมาให้ฉัน กินในตอนเช้าและตอนเย็น แม่บอกว่ามันช่วยฆ่าฤทธิ์ยาที่ฉันแพ้ แม่ยังเอาใบย่านางผงที่ฉันซื้อติดบ้านไว้ตลอดมา ชงให้ฉันกินด้วย ส่วนเธอก็ต้มใบรางจืดที่งอกงามอยู่ในรั้วบ้านของเราตรงกอไม้ไผ่ให้ฉันกินแทนน้ำ เธอบอกมันคงช่วยเรื่องดับพิษ ทำให้อาการเจ็บที่หัวใจตลอดเวลาของฉันลดลง
มาลำ
เช้าแล้ว วันนี้ ฉันนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน สิบกว่าวันแล้วที่ฉันนอนไม่หลับ ทั้งที่พยายามข่มตานอน ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะนอนไม่หลับได้เป็นเวลานาน ฉันนึกถึงคนไข้โรคจิตที่ฉันเคยพบ บางคนต้องกินยานอนหลับตลอดเวลาเพราะอาการที่ไม่นอน ฉันรู้สึกเหมือนออกเดินไปกลางทะเลทรายที่แห้งผากและร้อนระอุ เนื้อตัวหน้าตาฉันเต็มไปด้วยรอยแผลสีคล้ำ อาการเจ็บที่หัวใจแปลบปลาบตลอดเวลา ฉันได้แต่สมเพชสังขารอันน่าเวทนาของฉัน
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลครบสิบวันแล้ว แม่ยังเป็นคนทำอาหารเจให้ฉันกินทุกวัน กลางวันแม่จะเป็นคนที่อยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล เธอจะกลับบ้านไปทำงานหลังส่งเทวดาน้อยไปโรงเรียนแล้ว ตกเย็นหลังไปรับเทวดาน้อยจากโรงเรียนแล้ว เธอจะไปส่งแม่ที่บ้านเพื่อให้แม่นอนเป็นเพื่อนหลานสาวของฉัน กิจกรรมของเธอวนเวียนอย่างนี้ตลอดทั้งสิบวันที่ผ่านมา
มาลำ
ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มองหน้าเธอที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง แม่กลับไปบ้านเพื่อทำกับข้าวมาให้ฉันที่โรงพยาบาล แผลพุพองที่หัวและ หน้าของฉันเริ่มแห้งลง อาการเจ็บหน้าอกยังแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ฉันบอกหมอว่า ฉันไม่อยากได้น้ำเกลือ ฉันจะพยายามกินน้ำ กินข้าวเอง ปากที่พองเจ่อของฉันยังเต็มไปด้วยเลือด ฉันจึงกลืนอะไรได้ลำบาก
มาลำ
เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น
มาลำ
หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ
มาลำ
เธอหายไปนาน จนวันหนึ่งเสียงเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มา ไปเที่ยวเกาะกันไหม เธอถามฉัน ฉันหัวเราะ ถามเธอกลับไป จะหลอกฉันไปปล่อยเกาะหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่หลอกนะ เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่เคยคิดที่จะหลอกฉัน เธอจะไปเขียนหนังสือที่เกาะ ไปส่งเธอหน่อยนะ รุ่นพี่จากปัตตานีเป็นหัวหน้าอุทยานอยู่ที่นั่น มีบ้านพักว่างอยู่หนึ่งหลัง เป็นเกาะในจังหวัดระยอง ชื่อเกาะมันใน อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ไปดูกันไหม
มาลำ
เธอกลายเป็นนักเขียนเต็มตัว เธอลาออกจากงานหนังสือเสียงภูเขาเพื่อเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว ยอมรับความลำบากทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความยากไร้ ความอดอยาก ความปวดร้าวจากแรงบีบคั้นจากครอบครัวด้วยเธอเป็นลูกชายคนโตที่เลือกทางทุกข์ หนทางก้าวเดินมืดมน ว้าเหว่โดดเดี่ยว เดียวดาย
มาลำ
เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
มาลำ
ฉันเรียนจบจากที่นี่อย่างมีความสุข เพื่อนฉันกลายเป็นนักพูดดีเด่นไปจริงๆ เพื่อนบอกว่า ค้นเจอแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตคืออะไร เพื่อนไปพูดตามที่ต่างๆอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข
มาลำ
หอพักมีทั้งหมดสิบชั้น ห้องสมุดอยู่ชั้นล่างสุด เปิดจนถึงสี่ทุ่ม ที่นั่นเป็นที่หมกตัวของฉันเช่นเคย ฉันอ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มที่มีในห้องสมุด วนเวียนอ่านซ้ำไปซ้ำมาในบางเล่ม อาจารย์ที่ดูแลหอพักใจดีจะเปิดหอให้พาใครมาก็ได้มาร่วมปาร์ตี้ในคืนไฟรไนท์ หรือคืนวันศุกร์ของก่อนปิดเทอม จำได้ว่า มีวงดนตรีมาเล่นชื่อวงดิอินโนเซนท์ เล่นเพลงสนุกและเพราะพริ้งให้พวกเราเต้นกันทั้งคืนจนเกือบสว่าง