Skip to main content
ศรีตรังคลี่กลีบสีม่วงสวยออกมาแย้มยิ้ม  ทักทายสายลมร้อน เฉลา อินทนิล โบกกลีบ มาถึงแล้วสีม่วงสุดสวย ละมุนละไม
แดดร้อนตอนเที่ยงวัน เนื้อตัวเหมือนแสบไหม้ ไอร้อนจากถนนโชยมา ฉันก้มหน้าก้มตาเดิน หาต้นไม้ในหัวใจสักต้น โน่นไง ฉันก้าวเท้าเข้าไปหา ไฮเดรนเยียสีโปรดของฉัน สีม่วงครามกำลังบาน

บ่ายแล้ว ผู้หญิงหน้าตาไหม้เกรียมกำลังหอบต้นไม้ออกดอกสีม่วงขึ้นรถมุ่งตรงไปวัด
\\/--break--\>


เข้ามานั่งใกล้สิๆ อาพูดกับฉัน หลังจากที่ฉันเดินเข้าไปในห้องทำงานของอา เสียงอาพูด หลังอาป่วยต้องไปฟอกไตมาตลอด หลายปีแล้วไตของอาเล็กลงฝ่อไปจนเหลือเพียงเท่าเมล็ดถั่ว แล้วหมอก็ให้อาไปทำอัลตร้าซาวด์ หมออุทานว่าไตทำไมมันใหญ่ขึ้น อธิบายให้ฟังหน่อยว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน

ฉันยิ้มให้อาหลังจากนั่งลงที่พื้นห้อง  จำได้ว่า ฉันเงยหน้าขึ้นตอบอา ก็อาเขียนหนังสือ ทุกถ้อยคำของอาที่เขียนออกมามันเป็นความสุขล้ำลึก มีสารความสุขที่ชื่อเอนโดรฟินหลั่งออกมาจากการที่เราทำสิ่งที่เกิดสุข สารนั้นก่อให้เกิดความมหัศจรรย์เสมอ

อย่างเช่นที่ไตของอาใหญ่ขึ้นจากที่ฝ่อไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเสมอในคนทำงานศิลปะ  
อายิ้มกว้างให้ฉัน  นั่นนะสิคนทำงานศิลป์หน้าตาไม่แก่ ทันสมัยฉับไวเสมอ คงเป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง อาพูด

หลายปีก่อน ฉันเคยได้เทียวไปเทียวมาสวนทูนอิน หอบลูกสาวตัวเล็ก ไปวัดความดัน ไปดูแลอา เพราะฉันเป็นพยาบาล  ฉันจึงได้มีโอกาสไปถึงตัวอา  นอนฟังเสียงฝนในชายคาบ้านของอาจนดึกดื่น ดอกไม้กลางคืนส่งกลิ่นหอม อาบอกว่าอยู่ทางซ้ายของบ้านนะเดินออกไปดูสิ  ดงดอกไม้ของสวนทูนอิน หอมลึกล้ำติดตรึงใจ แวะมุมไหนก็สวยไปทุกมุม

 

ดวงตาของอานั้นคงมองกว้างไปรอบตัว คิดและทำงานตลอดเวลาเหมือนนายช่างศิลป์ อายังเป็นนักเขียนที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาที่ฉันสัมผัสได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นใครตัวเล็กแค่ไหน อาให้ความสำคัญถามไถ่พูดคุยเสมอ ฉันเห็นภาพเหล่านั้นเสมอมา บางคราวที่ฉันนั่งๆนอนๆอยู่บนสวนทูนอิน ฉันเคยนึกแปลกใจว่า มาทำอะไรอยู่บ้านนักเขียนใหญ่หนอ  มีวาสนาดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ฉันออกมาเดินชมสวนในตอนกลางคืน ดอกไม้ที่บานในความมืดสลัว สวยซึ้ง เดินไปดมดอกโน้นดอกนี้จนดึกดื่น ก่อนจะขับรถกลับบ้าน มีเด็กหญิงหลับพับอยู่หลังรถ

แต่ฉันคงเป็นพยาบาลที่แย่มาก อาอาการแย่ลงจนต้องถึงขั้นไปฟอกไต ฉันเหมือนคนมืดบอดหนทาง บางคราวได้ไปนั่งคอยให้อาตื่นหลังฟอกไตที่เครื่อง  แม้หัวใจฉันจะหดหู่ที่เห็นอาในสภาพอย่างนั้น แอบเช็ดน้ำตาตัวเองที่เห็นอาหลับเหมือนไม่หายใจ  หัวใจหวาดหวั่นเหมือนว่าหวาดกลัวอาจะไม่ตื่น แต่อาก็ตื่นมาทุกครั้ง ลืมตามาแล้วถามว่า มานานหรือยังเสมอ ฉันแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก วันนี้ของอาผ่านไปอีกหนึ่งวัน

หลังอาฟอกไตได้สองปี เด็กหญิงของฉันหายไปจากอ้อมกอด  เอาล่ะที่นี้ฉันก็รู้แล้วว่า ฉันเป็นพยาบาลที่ไม่ได้ความที่สุด เพราะลูกสาวของฉัน ฉันยังดูแลเขาไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะอาเท่านั้นแล้ว ฉันกลายเป็นคนป่วย  ระยะทางระหว่างบ้านฉันและสวนทูนอินไกลขึ้น ถึงกระนั้น อามักจะให้พี่ติ๋มโทรมาหา มาพูดคุยด้วยเป็นเวลานานๆ บางคราวอาบ่นด้วยความห่วงใย มาหากันบ้างสิโว้ย คิดถึง

แม้เราจะห่างกันขึ้นตามระยะทางความเศร้าในหัวใจ ถึงกระนั้น 20 พฤษภาวันเกิดของอา ก็ยังเป็นวันบูชาครูสำหรับฉันเสมอ แม้หัวใจของฉันจะเศร้าอย่างไร ป่วยหนักแค่ไหนฉันจะหอบสังขารหน้าตาหม่นทุกข์ไปถึงบ้านอา ไปนั่งใกล้ๆ ฟังอาถามไถ่ พูดคุย อาบอกว่าทำไมอาจะไม่เข้าใจว่าเสียลูกปวดร้าวอย่างไร อาเคยเสียลูกสาวตัวเล็ก อาเข้าใจ น่าแปลกที่เพียงแค่เราสบตากัน อาก็รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่  วันนี้แกงอะไรมาล่ะ อาถาม น้ำยาปักษ์ใต้ อาไม่ได้กินแล้วล่ะ แกงคั่วทักษิณรสที่ใครๆชอบก็เช่นกัน กินอะไรได้นิดๆหน่อยแล้ว อาผอมลงนะ ผอมมาก

อายังบอกดอกแก้วมังกร ออกดอกอีกแล้วนะ เดินไปดูสิ แม้จะลุกเดินช้าๆไป ตามองหาดอกไม้ดอกโน้นดอกนี้ตามที่อาบอก หัวใจฉันก็ยังเรียกหาเด็กหญิงในอ้อมแขน ปรารถนาที่จะเห็นเขาอีกสักครั้งในร่องรอยที่เราเคยเดินมาด้วยกันหลายปีที่นี่ คำพูดหลายคำที่เขาเคยถามหล่นเรียงรายตามทางเดินกลายเป็นหยดน้ำ ราดรดกิ่งก้านใบในเงาสลัว  เหมือนหัวใจถูกฉีกออกจากอก เจ็บร้าวจนต้องเอามือมากุมไว้ เดินไปได้ไม่ไกลต้องนั่งลงแล้วเดินกลับ   

แม้จะเห็นอาดูเหนื่อยที่ต้องนั่งใส่สายออกซิเจน พูดคุยกับใครต่อใคร แต่ทุกปีของฉันคืออานั่งอยู่ตรงนั้น ที่ที่มีดอกไม้บานและหอมหวน มีหมู่กวีคนทำงานศิลปะห้อมล้อม

บ้างเมามาย ร้องรำ ร่ายบทกวี บ้างขับกล่อมบทเพลงแว่ว  พลบค่ำแสงไฟรถจึงค่อยไต่ลงมาจากความสูง แม้บางคนไม่ยอมกลับอยู่ต่อที่นั่นอีกหลายวัน แต่เมื่อมองไปตรงภูเขาสูงตรงนั้น ฉันเห็นอา  เห็นรอยยิ้มของอาเสมอ

ปีนี้ ฉันมีอีกหนึ่งเรื่องที่ตั้งใจ หนังสือชื่อบันทึกคนเสื้อขาวที่ฉันเขียน ฉันตั้งใจเอาไปฝากอาพร้อมแกงที่หอบหิ้วขึ้น   อยากเห็นรอยยิ้มจากอาที่อาส่งมาให้ฉันสม่ำเสมอ อาอาจจะแปลกใจ  ถามฉันว่าไปแอบเขียนหนังสือตั้งแต่เมื่อไร เออเขียนดีๆนะ แล้วอาจะตั้งใจอ่าน แล้วมาคุยกันนะว่าเป็นอย่างไร เขียนให้อาอ่านมั่วไม่ได้นะ เอาดีๆตั้งใจเขียนต่อนะ ฉันคิดเอาว่าอาคงพูดอย่างนั้นกับฉัน

ดอกไม้กลีบสีม่วงที่ฉันชอบโผล่กลีบมารอรับสายลมร้อน ในเช้าวันนี้ ดอกปลิวไสวล้อลมหลังใบของมันร่วงจนหมดต้น สีม่วงครามสลับสีขาวอ่อนโพลนเต็มต้น  สวยเหมือนภาพวาดลึกล้ำ น่าแปลกที่ฉันยืนมองมันแล้วคิดถึงถ้อยคำของอา ดอกไม้สวยเหมือนกับผู้หญิงสวย กลีบและเกสรของหล่อนไม่เคยอ้างว้าง

ฉันเดินเข้ามาในวัด บอกอาในใจ อาคะ ฉันหอบดอกสีม่วงครามที่ฉันชอบมาฝาก ใบของมันแผ่กว้างสีเขียวสด เมื่อฉันวางมันลงตรงหน้าน้องที่ลงทะเบียน น้องมองตาม ชื่อดอกอะไรคะ ลงทะเบียนเลยนะว่ามาจากใคร

ฉันนึกถึงค่ำนั้นที่ฉันนอนไม่หลับหลังได้ยินข่าวว่าอา เข้าโรงพยาบาลในตอนบ่าย คนข้างตัวไปบอกลาอาด้วย ฉันนึกไปว่า อาจจะเป็นวันของอาแล้วก็ได้  ฝากบอกลาอาด้วย กระซิบข้างหูนะ รับรองอาได้ยินเสียงแน่ๆ

แม้จะบอกตัวเองว่าถึงเวลาแล้ว ในทันทีที่รู้ข่าวอาในเย็นวันรุ่งขึ้น   แม้จะรู้ว่า อาคงไม่ทรมาน ไม่เจ็บปวดอีกแล้ว อาคงสบาย โล่งและสงบเหมือนที่ฉันเคยดับไปหลังผ่าตัดครั้งสุดท้ายที่ผ่านมา  อาสบายไปแล้ว อาคงไม่ทุกข์ ไม่ต้องกิน ไม่หิว ไม่ง่วง สบายจริงนะอา

แม้ว่าฉันจะท่องไว้อย่างนั้น ท่องไว้ให้ขึ้นใจ แม้ตอนที่ฉันหอบกระถางดอกไม้นี้มา ฉันก็ยังท่องมันไว้ อาสบายไปแล้ว และฉันกำลังเอาดอกไม้มาบูชาครู

แต่ทันทีที่สบตาอาในรูป หัวใจก็ตกวูบลงมาที่ปลายเท้า ความจริงที่ฉันตระหนัก เหมือนมีดวิ่งมาเสียบหัวใจ อาไม่อยู่แล้วใช่ไหม ฉันจะไม่ได้ยินเสียงอา ไม่ได้ยินน้ำเสียงเมตตาปราณีอย่างนั้นอีกแล้วใช่ไหม อาไม่อยู่แล้ว นั่นคือความจริง  ฉันนั่งลงร้องไห้อยู่ตรงนั้น เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เหมือนเด็กหญิงตัวเล็กของฉันที่หายไปในค่ำนั้น เหมือนอาในค่ำนี้

อาคะลาก่อน ผู้หญิงหน้าตาดำๆ ใส่หมวก ที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงรูปอานั่นใช่ฉันเอง อาค่ะ ลาก่อนจนกว่าเราจะพบกัน เมื่อถึงเวลาของฉัน เราคงได้เจอกัน   เด็กหญิงตัวเล็กของฉันคงเดินออกมาจูงอาไว้ รอเดินไปด้วยกัน

กวีหนุ่มกนกพงศ์คงออกมายืนรอ  น้าต้อมสองวัย คนทำงานศิลปะ คนเขียนหนังสือหลายคน คงออกมารอท่า อาคงไม่เหงาและมีความสุขไม่แพ้วันที่ผ่านมา

อาคะ สวัสดีค่ะ  ขอบคุณเหลือเกินในเมตตาของอาที่ผ่านมา ขอบคุณในสิ่งที่อาทำให้กับเด็กรุ่นหลัง ขอบคุณที่อาเห็นพวกเราเป็นญาติน้ำหมึกที่อาให้เกียรติ ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตดังฝุ่นธุลีของฉันดูดีมีราคา มีค่าขึ้นมาได้มีโอกาสดูแลอา    

ลาก่อนค่ะ อาลาก่อน จนกว่าเราจะพบกัน

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …