Skip to main content

ตอนเด็กๆ ฉันเป็นเด็กที่น่ารังเกียจ ขี้โกรธ เอาแต่ใจตัวเอง สกปรก ชอบเกี่ยงงานให้พี่สาวทำงานหนักจนตัวแคระแกร็น ส่วนตัวชอบหนีเที่ยว ไปเก็บเห็ดบ้าง ไปตกปลาบ้าง ทั้งที่รู้ว่า กลับมาบ้านแม่จะตีฉันจนยับเยิน หากแต่ฉันไม่เคยนึกกลัว เจ็บแล้วหายวันรุ่งขึ้นไปใหม่

แม่แขวนไม้เรียวไว้ที่ประตูกลางบ้านเป็นไม้หวายใหญ่อย่างดี แม่บอกว่าลงคาถาอาคมไว้ ฉันมองว่าแม่เอาไว้ขู่พวกเราไมให้เถลไถลต่างหาก หากเวลากลับมาก็ยืนกอดอกรับโทษ แม่บอกให้เอาปลาไปปล่อยที่คลองน้ำใสหลังจากตีเสร็จแล้ว เวลาแม่ตี ฉันมองหน้าแม่ แม่ตีฉัน 8 ครั้งทุกทีไป แล้วบอกว่าใจแข็งนักไม่ร้องสักแอะ หากทุกคนทำผิด แม่จะให้พี่น้องเข้าแถวเรียงกัน แล้วตีพี่สาว 9 ที น้องสาวคนที่สาม เป็นคนช่างยิ้ม แม่นึกสงสารที่ยืนยิ้มให้แม่ทั้งที่แม่เงื้อไม้เรียวขึ้นสูง แม่ตีแทบไม่ไหวลดลงแบบเมตตา เอาแค่หกที แถมน้องสาวยกมือไหว้แม่หลังจากที่แม่ตีเสร็จ เธอช่างเหมือนนางฟ้า ตรงข้ามกับนางมารอย่างฉันจริงๆ

น้องสาวคนที่สี่ ถูกตี 6 ที ร้องไห้แบบไม่มีเสียง มีแต่น้ำตา เขาตัวเล็กที่สุดและน่าสงสารมากมาก ฉันอยากปลอบน้อง แต่พูดไม่ออก ได้แต่กล้ำกลืนคำปลอบต่างๆลงไป น้องสาวตัวเล็กเพราะเขาเป็นคนกินยากมากที่สุดในบ้าน แกงส้มไม่กินเพราะเปรี้ยว ฟังดูเหตุผลตลกที่สุด เงาะไม่กิน ผลไม้อะไรไม่รู้มีไม้อยู่ข้างใน กินแต่ปลาทอด ข้าวผัดและแกงคั่ว


เขาหน้าตาดีตั้งแต่เล็กๆ เหมือนนางฟ้า โตมาก็เป็นอย่างนั้นตลอด ฉันรักน้องคนนี้มาก เขามานอนที่แฟลต ฉันส่งน้องเรียนมัธยมที่โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา เขาต้องตื่นแต่เช้านั่งรถเมล์โพธิ์ทองไปเรียนทุกวัน ให้เงินเดือนน้องเดือนละ 8๐๐ บาท เขาเอาไปเรียนพิเศษเสียหมดจนตัวผอมบาง เขาชอบว่ายน้ำ ไปเรียนแล้วว่ายน้ำจนเก่ง เขาขยันเรียนมากๆ


น้องชายคนที่ห้า ถูกตี 3 ที แม่คงนึกสงสาร น้องร้องไห้เสียงดังจนฉันตกใจ ส่วนน้องคนที่หก ถูกตี 2 ที ร้องไห้โฮๆ ฉันนึกสงสารน้องจับจิต แม่คงเหนื่อยและเครียดน่าดูที่ต้องตีพวกเราทั้งหกคน หากฉันเป็นแม่ ฉันคงวางไม้เรียวแล้วนั่งร้องไห้แทน


กระนั้นฉันก็ไม่เคยนึกโกรธแม่ วันนี้ตี หลับตื่นมาแล้วลืม ไปใหม่ถูกตีใหม่ ไม่เคยเข็ด ไม้เรียวแตกคามือแม่ จนแม่ต้องตัดไม้หวายอันใหม่มาแขวนแทน


บางทีฉันนึกอยากเอาไม้เรียวไปซ่อน แต่ฉันสงสารแม่มากกว่าจึงไม่ทำ บางทีแม่ไม่อยากจะตีเราจริงๆก็ได้ แม่แค่ประท้วงที่เราเหลวไหลเท่านั้น แม่บอกว่ากลัวลูกจะเป็นอะไรไป แม่กลัว ไม่อยากให้ลูกห่างตาเท่านั้น ฉันรู้ แต่แม่จ๋าท้องทุ่งและป่าไพรมันเหมือนกวักมือเรียกให้เราไปหาตลอดเวลา เหมือนมีสิ่งลึกลับมหัศจรรย์รออยู่ มันช่างหอมหวนยวนใจ และไม้เรียวกลายเป็นแค่สิ่งไร้ความหมาย


ฉันเพิ่งสำนึกตัวว่าเป็นคนไม่ดี ตอนที่ฉันเป็นพยาบาล เด็กๆที่มาป่วย จิตใจใสเป็นกระจกเงาให้ฉันมองสะท้อนตัวเอง ฉันรู้สึกทันที ฉันอายเด็กๆพวกนั้น บางทีการที่จะสบตากับเด็กๆ ช่างยากเย็นเหลือเกิน ฉันจึงตั้งใจปรับปรุงตัวใหม่


ฉันเคยเลี้ยงเด็กที่ถูกแม่ทิ้ง จากคนที่มีนิสัยไม่ดี อดทนกับเด็กที่โยเยได้ หัวใจฉันละลายไปกับปอนปอน เจ้ากำพร้าน้อยของฉัน ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ฉันได้แต่ภาวนาให้เขาเติบโตและงดงามเท่านั้น


แล้วฉันก็มีลูกของตัวเอง เป็นนางฟ้า และเทวดาน้อย ทั้งสองคนเลี้ยงง่าย ไม่โยเยไม่มีปัญหา กินนอน หลับสนิท ฉันเสียอีกที่มีอาการเหมือนไม่เคยได้นอนตลอดเวลา ฉันลุกมานั่งสัปหงกกลางดึกบ่อยๆ นั่งเฝ้าลูก คอยดูเขาไว้ หกปีของการฟูมฟัก ขอบตาของฉันเขียวคล้ำถาวร โดยไม่ต้องไปทำที่ร้านเสริมสวย ขอเพียงมีลูกเท่านั้นเอง


แม้จะเหนื่อยยาก หากแต่รางวัลแห่งความเพียรที่ได้มันช่างยิ่งใหญ่นัก คับพองอยู่เต็มอก ลูกทั้งสองคน พูดเพราะ หน้าตางดงามทั้งคู่ เป็นที่รักของผู้ที่พบเห็นทุกคน


จนกระทั่งวันนั้นที่ฉันสูญเสียนางฟ้าของฉันไปเพราะอาการแพ้ยาเหมือนกัน วันที่ฉันอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนมาหาหมอ เพราะเขาดูเพลียๆ ไม่สบายมาสองสามวันแล้ว แต่ไม่ถึงกับนอนซม เขายังวิ่งเล่น ชวนฉันวาดรูป เหมือนปกติ ใครจะรู้ว่าหลังจากฉีดยาฆ่าเชื้อตัวนั้น เขาถึงกับเขียวไปหมดทั้งตัว หายใจไม่ออก และจากไปอย่างเจ็บปวด


ฉันมัวแต่เป็นลมที่เห็นลูกเป็นอย่างนั้น ไม่มีปัญญางัดวิชาพยาบาลที่เรียนมาช่วยลูกได้ เก้าโมงเช้าที่ไปถึงโรงพยาบาล กลับจากโรงพยาบาลเย็นห้าหกโมงพร้อมร่างกายที่ไร้วิญญาณของนางฟ้าของฉัน เราไปถึงวัดสวนดอกตอนนั้น แทนที่จะได้กลับบ้านเช่าที่แม่เหียะด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูก


โถ ลูกเอ๋ย แม่ขอโทษที่รักษาชีวิตเจ้าไว้ไม่ได้ แม่ช่างไร้ค่า หัวใจฉันสลาย เหมือนมีร่างกายแต่ไร้วิญญาณ นับจากวันนั้นฉันไม่หัวเราะ บ้านเรามีแต่เสียงร้องไห้ทุกวันและเทวดาน้อยก็เศร้าและหงอยเหงา เขาเที่ยวเปิดเลิกผ้าห่มแล้วร้องเรียกพี่สาว วา วา อยู่ตลอดเวลา เพราะเขาสองคนชอบเล่นกันอย่างนั้น เข้าไปอยู่ในโปงผ้าห่ม แล้วตามหากัน หัวเราะกันทั้งวัน


หากเห็นเด็กผู้หญิงเดินมา เขาจะวิ่งตามแล้วไปดูหน้าว่าใช่พี่สาวเขาหรือเปล่า ทำไมแม่และพ่อของเขาเอาแต่ร้องไห้ ไม่กิน ไม่นอน


กว่าชิวิตจะผ่านไปในแต่ละวันได้ช่างยากเย็น เหมือนบนโลกใบนี้ไม่มีที่ให้เราอยู่

เหมือนตกอยู่ในหลุมอวกาศ ถูกดูดให้หมุนวนตลอดเวลา หาทางออกไม่เจอ


พี่สาวใจบุญเห็นฉันและสามีทุกข์เศร้าแสนสาหัส อยากช่วยเหลือ เธอเปิดโรงเรียนอนุบาลหมีน้อย แล้วให้เทวดาน้อยของฉันเรียนฟรี ดูแลฟูมฟักเพราะสงสาร เทวดาน้อยของฉันเริ่มหัวเราะ ดูสดชื่นขึ้น ดูมีชีวิตชีวา


เพราะสองมือและหัวใจของพี่สาวใจบุญคนนั้น คนที่รอรับเราอยู่ที่วัด ตอนที่ฉันไปถึงพร้อมลูก เธอเป็นคนกอดฉันไว้ พร่ำบอกให้ฉันบอกลูกสาวว่าอย่าตกใจนะ ฉันรู้ว่าเธอจะไม่ไปไหน อยู่ข้างๆฉันตลอดเวลา


ที่อนุบาลหมีน้อยนี้เองที่เขาสองคนมาพบเจอกัน เขาคบกันมาตั้งแต่สองขวบ เจ้าเทวดาน้อยคูคูเพื่อนซี้ เป็นลูกครึ่งของแม่ปกากะญอและพ่อสวีเดน คูคูขี้อายกลัวคนแปลกหน้า ไม่ค่อยพูด เข้ากับคนได้ยาก แต่เขาสองคน กลับรักกันเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน

 


หกปีมาแล้วที่ต่างคนต่างผลัดกันไปหากันที่บ้าน ปีใหม่คูคูมานอนที่บ้านเรา จนพ่อมาตามให้กลับบ้านถึงยอมกลับ เทวดาน้อยของฉันก็เช่น หอบกระเป๋าเสื้อผ้าไปวันเสาร์บอกขอนอนบ้านคูคูสักหนึ่งคืน


จากเด็กขี้อาย คูคูเพื่อนซี้ก็สนิทกับฉันมากขึ้น เราต่างรู้ใจกันมีเรื่องตลกมาเล่าให้กันฟังได้ตลอดเวลา ถึงวันสงกรานต์ ฉัน สามีและแม่ของคูคู พาพวกเขาสองคนไปเล่นสาดน้ำที่คูเมือง เขาสองคนสนุกสนานเหลือเกิน ทั้งที่ฉันกลัวเชื้อโรคมาก แต่ฉันต้องหักใจทำลืมๆไป เมื่อกลับถึงบ้าน


ฉันฟอกสบู่ให้เขาสองคนจนสะอาดเอี่ยม เรื่องที่ตลกและทำให้ฉันกับสามีหัวเราะไปทั้งวันคือ เราสองคนกลับบ้านโดยไม่เปียก ไม่มีใครสาดน้ำเราเลย คงจะแก่เกินไปที่จะเล่นน้ำ

 


ปีนี้ คูคูมีปืนฉีดน้ำกระบอกใหม่ เวลาฉีด ท่อฉีดน้ำจะแยกออกเป็นสามแฉก คูคูยิงผู้คนที่ผ่านมาด้วยอารมณ์สนุกสุดขีด จนปืนประท้วงน้ำไม่ยอมออก ฉีดไม่ได้ เทวดาน้อยของฉันใจดี ยกปืนของตัวเองที่ฉันซื้อให้ตั้งแต่ปีที่แล้วให้ยิงแทน


ฉันสั่งเขาไว้ว่าให้เก็บของเล่นดีๆ เพราะฉันจะซื้อให้แค่ครั้งเดียว เขารักษาปืนอย่างดีตลอดมา หลังจากยิงกันจนเหนื่อย เทวดาของฉันก็สนุกสาดน้ำโดยใช้กระป๋องเล็กๆแทน


ได้เวลากลับบ้าน เราสี่คนอัดกันมาในรถ ปีนี้ ฉันและสามีเปียกตั้งหัวจดเท้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบไปถึงคูเมืองถูกสาดจนยับเยิน ขากลับแม้นั่งบนผ้ายางที่เตรียมมา ฉันยังรู้ว่ามีน้ำไหลโตรกผ่านเสื้อผ้าอยู่ตลอดเวลา


เจ้าเทวดาน้อยสองคนหัวเราะกันคิกคักตลอดเวลา เทวดาน้อยของฉันถามว่าทำไมต้องเล่นน้ำแล้วใส่หน้ากากด้วยครับแม่ ฉันตอบเขาพร้อมกับคูคูว่า เอ้า จะได้ไม่โดนฉีดตาไงหล่ะ


สองคนหัวเราะพร้อมกัน ฉันถามว่า เอ้า แล้วลูกสองคน ชอบยิงที่ตรงไหนของคนหล่ะ คูคูกระซิบข้างหูเทวดาน้อยแล้วหัวเราะคิกคัก เทวดาน้อยอ้ำอึ้ง ฉันบอกว่าบอกแม่สิ ชอบเล็งยิงเขาที่ไหน เจ้าเทวดาน้อยสบตาฉันแล้วพูดว่าที่นมครับแม่ เท่านั้นสองคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ฉันส่งเสียงโวยวาย เฮ้ย ทะลึ่งเกินไปแล้ว แม้จะรู้ว่าเขาสองคนกินและติดนมแม่อยู่นาน


วันที่เงินเดือนฉันออก ฉันชอบพาสองคนไปกินไอติม คูคูชอบวานิลาเปล่าๆสองลูก เทวดาน้อยของฉันเลือกช็อคโกแลต เขาสองคนจะบรรจงละเลียดกินแบบตักทีละคำ ค่อยๆเคี้ยว กลืนลงคออย่างมีความสุข ถ้าครั้งใดฉันรู้สึกหม่นหมอง ความทุกข์ฉันคลายด้วยการนั่งดูเขาสองคนกินไอติม มันช่างมีชีวิตชีวาและงดงามที่สุด


คูคูเมารถง่าย ยิ่งฉันขับรถไม่ค่อยคล่อง คูคูบอกว่าเวียนหัวตลอด ระหว่างทางไปกินไอติม เราจะทายปัญหาอะไรเอ่ยกัน แล้วหัวเราะกันสนุกสนาน คูคูเริ่มเงียบ หน้าซีด เทวดาน้อยของฉันบอก แม่ครับจอดก่อน คูคูอ้วกแล้ว คูคูกำลังอ้วกใส่เบาะหลังรถ ส่วนเจ้าเทวดาน้อยของฉันเผ่นออกจากหลังรถมานั่งคู่กับฉันแบบตัวปลิว บอกเหม็นอ้วกมากแล้วอยากอ้วกด้วยเลย


ฉันเอาคูคูนอนลงที่เบาะหลังเช็ดอ้วกให้ เช็ดรถแล้วปลอบเขา ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวก็หาย เอายาดมแม่ใส่รูจมูกเข้าไว้ เขาทำตามแล้วหน้าซีดๆของเขาค่อยแดงขึ้น


ถึงร้านไอติมเขาหายเป็นปลิดทิ้ง เหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย โล่งอก ฉันถอนหายใจเสียงดัง แถมกินไอติมอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม


ทั้งสองคนจบจากอนุบาลหมีน้อยด้วยกัน มาจับฉลากได้ที่โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัยทั้งคู่ ตอนนี้ปอสามแล้ว ทั้งที่อยู่กันคนละห้อง หากตอนเย็นที่ไปรับ จะเห็นเขาสองคนหัวชนกันอยู่ กระเป๋านักเรียนเกยทับกัน มีบางทีงอนกัน แต่ไม่นานเดี๋ยวคูคูก็มาง้อเทวดาน้อยของฉันเอง


ฉันรู้ว่าเขาสองคนคงหิวจัดในเวลาเลิกเรียน ฉันจะชวนเขาสองคนไปซื้อไอติมหลังห้องแล้วนั่งดูเขากิน คุยกันไปด้วย ฉันถามว่า คูคูมีเพื่อนซี้ในห้องกี่คน คูคูก้มหน้า เงียบไปนานก่อนจะตอบเบาๆ ไม่มีเลยครับแม่


โถ น่าสงสารจังลูก เทวดาน้อยของแม่หล่ะ หนุ่มน้อยบอกสี่คนครับแม่แล้วร่ายรายชื่อแบบเสียงดังและจริงใจที่สุด ฉันมองหน้าคูคูแล้วปลอบเขาว่า งั้นเทวดาน้อยของฉันก็ซี้ที่สุดของคูคูแล้วหล่ะสิ สองคนพยักหน้าพร้อมกัน


คูคูเรียนเปียโน ส่วนเทวดาน้อยของฉันเรียนไวโอลิน คูคูชอบเล่นเปียโนให้เทวดาน้อยฟัง ค่าไวโอลินห้าพันบาท ฉันหมุนเงินมาซื้อให้ลูกจนได้ เรียนได้เพียงสองสามวัน เจ้าเทวดาน้อยของฉันมากระซิบตอนอาบน้ำว่า แม่ครับ แม่รู้จักร้านซ่อมไวโอลินไหมครับ ฉันตกใจ ถามเขาว่าทำไมเหรอ พ่อคงรู้จักมั้ง เขาบอกไวโอลินมันเสียแน่ๆเลย สีแล้วมันไม่ดัง แล้วเพื่อนๆสีดังไหมลูก เขาตอบเบาๆ ก็มีดังบ้างไม่ดังบ้าง ฉันบอกงั้นวันนี้ ถามครูเลยนะ ให้ครูช่วยดูให้ แม่ว่าคงไม่เสียหรอก


เทวดาน้อยกลับมาบ้านตอนเย็นหน้าบานแล้วบอกว่า ดังแล้วแม่ ดังแล้ว ฉันหัวเราะ เฮ้อ โล่งอก แล้วเขาก็สีไวโอลินให้ฉันและสามีฟัง บางวันกลับมาบ้าน ขอซ้อมไวโอลินหน่อยครับแม่แล้วงัดเครื่องดนตรีสุดโปรดออกมาเล่นให้พ่อและแม่นั่งยิ้มหน้าบาน เขาบอกว่าไม่เรียนอย่างอื่นแล้วนะ รักไวโอลินที่สุดเลย ฉันฟังแล้วหัวใจพอง


ฉันจึงอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ได้เลี้ยงคูคูและเทวดาน้อยของฉันให้เติบโต ส่งให้เขาร่ำเรียนให้ถึงที่สุดเต็มกำลังและปัญญาของฉัน ฉันอยากเห็นเขาสองคนเติบโตมีครอบครัว อยากให้เขารักกันอย่างนี้ตลอดไป ฉันรู้ว่าคงไม่นานเกินรอหรอก ฉันจะอยู่ดูแลเขาสองคนต่อไป

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …