Skip to main content

หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์ วันนี้ฉันเดินเลยเตียงนั้นมาถึงห้องพิเศษ
1205 เปิดประตู วันนี้พ่อนอนพักในห้องพิเศษ ฉันมีห้องเล็กๆ ที่จะได้นอนมองพ่อทั้งคืนแล้ว


ฉันใช้ชีวิตเป็นคนโรงพยาบาลเต็มตัว กลิ่นยาในโรงพยาบาลที่ฉันคุ้นเคย กลิ่นกับข้าว กลิ่นขนมหวาน กลิ่นเหม็นคาวเลือด กลิ่นห้องน้ำ คละคลุ้งอยู่ในจมูกฉัน รอยยิ้มของคนข้างๆเตียงพ่อ เสียงทักทายพูดคุยของพยาบาล เสียงเปิดปิดประตู เสียงฝีเท้าของหมอ เสียงญาติคนไข้ เสียงโวยวาย เสียงครวญครางเจ็บปวด เสียงล้างเครื่องมือ เสียงลากรถ เสียงล้อหมุนของเปล เสียงเดินของเข็มนาฬิกา เสียงกระทบกันของถาดฃ้าว เสียงเปิดปิดก็อกน้ำ เสียงร้องไห้ขอความช่วยเหลือ จนกระทั่งเสียงความเงียบในตอนกลางคืน เสียงเหล่านี้หมุนวนอยู่รอบตัวฉัน มันหมุนวนอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน


บางเสียงแค่ได้ยิน ฉันก็นึกภาพออกตั้งแต่ต้นจนจบ


ฉันเดินออกมายืนมองสวนหย่อมที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ใครๆได้พักสายตา เพื่อให้วันที่หนักหน่วงนั้นเบาลงไปบ้าง หลังจากที่พ่อหลับ ในตอนเช้ามืด ฉันย่องออกมาสูดอากาศ ยืนมองต้นไม้สีเขียว ดอกไม้สวยๆที่วางเรียงเป็นแถวสวยงาม เหมือนทหารตั้งแถวยืนรับแดดอ่อน ฉันหวลนึกถึงเสียงร้องเพลงดังแว่วมาในหู เพลงจีบพยาบาลในตอนเช้ามืดจากค่ายทหารที่อยู่ติดกับโรงพยาบาลที่ฉันอยู่ ฉันยืนอมยิ้ม โน่นเสียงที่ทหารตะเบ็ง ดังมาอย่างนั้น ฉีดยาให้ฉันตายไปเถิดหมอ คำว่าหมอนั้นดังกระหึ่ม เหมือนคนร้องตั้งใจเปล่งเสียงให้ดังมาถึงโรงพยาบาลให้ได้ ฉันขำจนต้องหัวเราะออกมา นับเป็นเรื่องผ่อนคลายของเช้าวันโชคร้ายของชีวิต


เดินลงไปที่โรงอาหาร หยิบหนังสือพิมพ์มาฝากพ่อ ในร้านหนังสือที่มีอยู่ร้านเดียวในมุมสุดด้านขวา แวะซื้อกาแฟให้ตัวเอง ผลไม้ของพ่อ แล้วเดินย้อนกลับทางเก่า สายลมยามเช้าพัดผ่านเนื้อตัว เสียงเพลงเงียบไปแล้วตามแสงแดดที่จ้าขึ้น สรรพเสียงความวุ่นวายเริ่มมาถึง แวะยืนมองสวนหย่อมอีกครั้ง สูดอากาศสดชื่นเข้าไปเต็มปอด มองเข้าไปในพุ่มไม้เห็นนกตัวเล็กๆบินไปมา ก่อนหิ้วของเดินเข้าไปในห้องพ่อ


พ่อตื่นแล้ว ลุกมานั่งข้างเตียงแล้วยิ้มให้ฉัน หลังจากนั้นพ่อออกเดินกับฉัน ออกจากห้องไปถึงระเบียงตึกที่มีสวนหย่อมสีเขียวครึ้มสบายตา นับว่าเป็นครั้งแรกของพ่อที่ออกจากตึกที่มานอนอยู่เป็นเดือน พ่อนั่งมองแปลงดอกไม้ยืนแถวสีเจิดจ้า ฉันจัดที่ให้พ่อนั่งบนเก้าอี้ พ่อนั่งมองต้นไม้แล้วเปิดหนังสือพิมพ์อ่าน


มึนหัวไหมพ่อ ฉันคอยถาม พ่อบอกว่านิดหน่อยลูก เหมือนคนที่ติดคุกถูกขังในห้องมืดมานาน หลังถูกปล่อยออกมาเจอแสงสว่างเลยทำตัวไม่ถูกเอาทีเดียว


พ่อกับฉันนั่งอยู่นานจนหมอของพ่อเดินผ่านมา หมอทักเราว่า มาไกลได้อย่างนี้สงสัยจะได้กลับบ้านแล้วหละ เราสองคนจึงพยุงกันมาเข้าห้อง หมอทำแผลแล้วบอกว่า แผลพ่อดีขึ้นมาก วันมะรืนจะให้กลับได้แล้ว เอายาไปกินต่อที่บ้าน เมื่อฉันถามถึงตาขวาของพ่อ หมอบอกว่า อย่างน้อยอีกหกเดือนกว่าที่จะดีขึ้นหรือหลับตาได้ แต่ก็ไม่แน่นะ อาจไม่เหมือนเดิมก็ได้ พ่อหน้าเศร้า ฉันกอดพ่อพลางพูดว่า ถึงอย่างไรมันก็ยังมองเห็นนะพ่อจ๋า แม้ว่ามันจะปิดไม่ลง


ดีกว่าที่จะมองไม่เห็นมากมายนัก หกเดือนเท่านั้นเอง


ฉันนึกย้อนไปวันแรกที่พ่อเกิดอุบัติเหตุ ฉันอ่านผลเอกซเรย์สมองของพ่อไม่รู้เรื่อง ตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษนั้นหมายความว่าอย่างไร สมองฉันมันไม่ยอมแปล มันมึนตื้อเหมือนคนโง่ที่ไม่เคยเรียนหนังสือมา เฝ้าคอยแต่เช็ดน้ำตาตัวเองแล้วยืนถือแผ่นกระดาษผลเอกซเรย์อยู่อย่างนั้น จนฉันนึกถึงหมอสมองที่ฉันทำงานอยู่ได้ ฉันกดโทรศัพท์ถึงหมอคนนั้น หมอกำลังอยู่ในห้องผ่าตัด เสียงฉันคงสั่นเครือและร้องไห้ หมอฟังฉันแล้วรู้ว่า ฉันคงแย่มาก


ฉันเล่าอาการพ่อให้หมอฟังคร่าวๆ เอามาเลยพี่ มาโรงพยาบาลเราก็ได้นะ เสียงหมอบอกฉัน โธ่หมอ ฉันตอบหมอไปว่ามันไกลกันเสียขนาดนี้ หมอที่นี่เขาไม่ยอมให้คนไข้เขาไปหรอก นอกจากจะเซ็นต์ไม่สมัครใจอยู่โรงพยาบาลเท่านั้น แต่ฉันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ฉันไม่มีหัวใจที่จะทำอย่างนั้นได้เลย


หมอฟังฉันแล้วเงียบก่อนที่จะถามถึงผลเอกซเรย์สมอง มันอยู่ในมือฉัน ฉันมัวแต่ป้ำเป๋อจนลืมอ่านให้หมอฟัง พอฉันอ่านให้หมอฟัง หมอเลยตอบฉันว่า โอ่พี่ มันเป็นไม่เยอะนะพี่ มีเลือดออกแล้วสมองบวมนิดหน่อย ไม่มีอะไรน่ากลัว อีกหกเดือนก็หายดีได้ ตาขวามันไม่ปิดคะหมอ ฉันบอกหมอด้วยเสียงสั่นเครือ หมอบอกว่าต้องดูกันต่อไป เดี๋ยวมันคงปิดเอง อย่าห่วงเลย ถ้าก้อนเลือดในสมองมันสลายไปแล้ว ตาขวาคงปิดได้ พี่อย่ากลัวไปเลย ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก


ฉันวางหูโทรศัพท์หลังขอบคุณหมอคนนั้น ฉันยืนร้องไห้ น้ำตาหยดลงมาเป็นทาง จนฉันต้องก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาผู้คนที่เดินผ่าน หมอช่างมีน้ำใจงดงามเหลือเกิน เป็นทางสว่างให้ฉันในวันที่มืดมิด เป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจให้ในวันที่ไม่กล้าก้าว ในวันที่หวาดกลัวกับชีวิต ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครดี ถ้อยคำของหมอทำให้ฉันเดินกลับมายืนข้างเตียงพ่อ กล้าสบตาข้างขวาของพ่อแล้วบอกว่า หมอว่าพ่อไม่เป็นไรมาก อีกหกเดือนคงหายดี


ฉันนึกถึงหมอคนนี้ตลอดมา ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองหมอตลอดไป ให้ชีวิตเขาพบเจอแต่สิ่งดีๆ เป็นหมอที่ดีที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้อีกหนึ่งคน ในคืนวันที่ผ่านไป ฉันรู้ว่าเขาอยู่ในใจฉันตลอดไป ทุกครั้งที่เห็นตาขวาของพ่อ ฉันนึกถึงเขา หมอที่เป็นดวงตาให้ฉันในวันที่ฉันมืดบอดและหลงทาง นี่คงเป็นสายใยอย่างเดียวของมนุษย์ที่เหนียวแน่นติดตรึงผูกพัน โชคดีของฉันที่ยังมีมิตรในยามยาก แม้ว่ามันจะมาถึงในวันที่เราโชคร้ายมาแล้วเสมอ

ไม่มีอะไรมีอยู่อย่างเดียวหรอกนะ ฉันบอกกับตัวเองอย่างนั้น

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …