Skip to main content

หลังฉันกลับจากเกาะ แม่มาหาฉันที่แฟลต แม่บอกว่ามีเรื่องมาปรึกษาฉัน ฉันนอนมองหน้าแม่อยู่บนเตียงหลังลงเวรดึกมา ฉันนอนฟัง แม่เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังแล้วบอกฉันว่า มีผู้ชายส่งแม่ของเขามาสู่ขอฉัน เป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก ถ้าฉันตอบตกลง เขาจะจัดงานแต่งงานเลย ฉันลุกขึ้นมานั่งอย่างอัตโนมัติด้วยความตกใจ มีคนอย่างนี้ในโลกหรือแม่ คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้เรียนรู้กันต้องมาอยู่ด้วยกัน แม่หัวเราะ ก็แม่ไงลูก ตอนที่ย่ามาขอแม่ให้พ่อนั้น แม่และพ่อเคยเห็นกันเพียงครั้งเดียว แม่รู้แต่ว่าพ่อหน้าตาเหมือนเด็กดื้อๆ แล้วแม่ก็แต่งงานกับพ่อ

โถแม่จ๋า นั่นมันเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว แต่พ่อและแม่ก็รักกันและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม่บอกฉัน ฉันหัวเราะแล้วบอกว่าใช่จริงๆด้วย แต่สำหรับฉัน ไม่มีทางที่ฉันจะมีความสุขได้ แม่ลองคิดดูเถอะ ลองเขาไม่กล้ามาถามฉันด้วยตัวเองว่าอยากอยู่กับเขาหรือเปล่า ฉันไม่มีวันเลือกเขาเป็นคู่หรอกแม่จ๋า ฉันเลือกอยู่คนเดียวดีกว่า แล้วฉันก็เล่าให้แม่ฟังเรื่องของเพื่อนผู้หญิงในชั้นมอศอที่ยืนร้องไห้หน้าเวทีเหมือนคนหัวใจสลายเมื่อต้องพรากจากคนที่รักแล้วได้อยู่กับคนที่ไม่รัก ทั้งๆที่มีลูกสองคนแล้ว แม่จ๋า ความรักสำคัญที่สุดแม่คงเข้าใจ บอกเขาไปเถอะแม่ว่าฉันไม่มีวันตอบตกลง ให้เขาไปหาผู้หญิงอื่นที่ไม่เรื่องมากแบบฉัน


แม่หัวเราะแล้วมองหน้าฉัน หรือลูกพบคนที่รักแล้ว ฉันสบตาแม่ ยังไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า แม่ถามฉันว่าเป็นเธอใช่ไหม เธอที่มาเดินหอบดอกไม้ให้ในวันรับปริญญาของฉัน เธอที่ส่งแววตาเต็มเปี่ยมมาให้ฉัน แม่รู้นะ ฉันยิ้มแล้วก้มหน้าเงียบ ได้ยินเสียงแม่พูดต่อ ลูกมีคนที่ลูกรักและเลือกแล้วใช่ไหม ฉันเงยหน้าขึ้นมาตอบแม่ แม่จ๋า วันข้างหน้ายังอยู่อีกยาวไกล ลูกเพียงรู้สึกว่า เธอกำลังฝ่าฟันและถางทางฝันของตัวเอง เธอต้องการเพื่อน ต้องการกำลังใจ เราสองคนจึงเป็นเพื่อนกัน ฝ่าฟันกันในโลกทุกข์ ใบนี้ แม่ถามฉันว่า แล้วเธอทำงานอะไร ฉันบอกแม่ว่า เธอเป็นนักเขียน


แม่ยิ้มแล้วบอกว่า เป็นนักเขียนไส้แห้งนะลูก ฉันยิ้มตอบแม่แล้วกอดแม่ไว้ บอกแม่ว่า มันไม่ได้แห้งเฉพาะไส้หรอกแม่จ๋า มันแห้งทั้งชีวิตนั่นเลย หากแต่มันเป็นหนทางของคนที่ไม่ยอมแพ้ต่างหากเล่าแม่ คนที่สู้ทั้งที่รู้ว่าไม่มีหนทางแห่งความชนะเหลืออยู่เลย คนที่เมื่อเลือกแล้วไม่หวั่นไหวต่อความทุกข์ยากนั่นไงที่หัวใจลูกซาบซึ้ง เธอลำบากเหลือเกิน แม่จ๋าลูกขอเป็นเพื่อนกับคนอย่างนี้ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่า หนทางข้างหน้าของเราจะเป็นอย่างไร แต่แม่เชื่อลูกนะว่า ลูกทำในสิ่งที่ดีงามและหัวใจลูกบอกว่าใช่ ลูกเป็นสุขและไม่หวั่นไหวต่อความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวล


แม่ก้มลงไปหยิบตะกร้าหวายข้างตัวที่หิ้วมาแล้วบอกว่า งั้นแม่กลับบ้านแล้วนะ แม่มีคำตอบไปบอกเขาแล้ว ฉันลุกขึ้นมาแต่งตัว แล้วบอกแม่ว่า จะเดินไปส่งแม่ที่ท่ารถ เราเดินคุยกันไป ก่อนขึ้นรถแม่หันมาส่งยิ้มให้ฉัน ฉันกอดแม่แล้วยกมือไหว้ ฝากกอดพ่อด้วยแม่จ๋า แม่มองหน้าฉันแล้ว บอกว่า แม่อวยพรลูกก็แล้วกันให้วันคืนข้างหน้าเป็นวันที่ดีของลูกเสมอ พ่อส่งแม่มาหาลูก เพราะพ่อเชื่อและรู้จักลูกดี พ่อรู้ว่า ลูกไม่มีวันยอม ลูกเลือกหัวใจเสมอ พ่อรู้และบอกคำตอบแม่มาอย่างนั้น ฉันมองหน้าแม่อย่างซาบซึ้ง โชคดีจังที่เกิดเป็นลูกพ่อและแม่ ฉันบอกแม่อย่างนั้น ขอบคุณพ่อและแม่ที่เมตตาลูกเสมอ


ฉันเขียนจดหมายเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง เธอบอกฉันว่า ชีวิตของฉันหากเลือกเขาเป็นคู่ คงเป็นสุขและร่ำรวย เพราะผู้ชายคนนั้นเป็นเศรษฐีสวนยาง จบปริญญาโทด้านเกษตรอีกต่างหาก ฉันน่าจะเลือกเขานะ ฉันตอบเธอกลับไปว่า สิ่งพวกนั้นฉันสร้างได้ ฉันรู้ว่า ฉันหาเงินได้ เป็นเศรษฐีได้ในวันข้างหน้า


หากแต่มันไม่ใช่หนทางสำหรับฉัน สิ่งที่ฉันเลือกต่างหากเล่าที่สำคัญ หัวใจและความสุขของชีวิตต่างหากที่อยู่เหนือทุกสิ่ง แล้วเรื่องสำคัญของชีวิตอย่างนี้ เขาปล่อยให้เป็นแม่ทำหน้าที่แทน เขาก็ตกกระป๋องสำหรับฉันแล้ว เพราะเธอและฉันต่างเลือกหนทางยากเสมอมา สิ่งใดเล่าจะได้มาอย่างง่ายดายเพียงแค่เอ่ยปาก คุณค่าของมนุษย์หายไปไหน ความภาคภูมิใจของชีวิตไปอยู่เสียที่ไหนเล่า


แล้วเธอก็บอกฉันว่า ให้หนทางข้างหน้าเป็นหนทางที่ดีของฉันก็แล้วกันนะเธอเอาใจช่วย ฉันบอกเธอว่าให้คืนวันที่ผ่านทุกข์ของเธอก็เช่นกันให้ความขมของชีวิต เคี่ยวกรำจนหอมหวาน ให้เธอผ่านทุกข์ด้วยความเพียร พบหนทางที่ดีเช่นกันนะ


เธอหายไปนานจนวันหนึ่งเธอโทรมาหาแล้วบอกฉันว่า เธอคุยกับแม่ของเธอแล้ว ให้แม่เธอไปหาแม่ฉัน ฉันบอกว่าไปทำไมเล่า ไปขอฉันให้เธอหน่อย ฉันตกใจ ถามเธอกลับไปว่าพูดจริงหรือ เธอบอกฉันว่า ใช่ แม่เธอถามเธอว่า แล้วฉันเลือกเธอหรือเปล่าเล่า ฉันเลือกผู้ชายอย่างเธอเป็นคนข้างตัวจริงหรือเปล่า เธอเลยโทรมาหาฉัน


ฉันเงียบไปนาน เธอบอกว่า ฉันลังเลไม่แน่ใจหรือเปล่า ฉันบอกเธอว่า ฉันชอบชีวิตที่ไม่ต้องผูกพันกับใคร ไปไหนตามลำพัง ตัดสินใจไม่ต้องให้ใครมาออกความเห็น เหมือนเป็นเจ้าชีวิตของตัวเอง ชีวิตอย่างนั้นเป็นความสุข เธอบอกฉันว่า เรามาเป็นเพื่อนกันตลอดไปเถอะนะ เธอไม่รู้หนทางข้างหน้าหรอก แต่เธอไม่ยอมแพ้ต่างหากเล่า เธอสู้ทั้งที่ติดลบต่างหาก และเธอเลือกฉันมาเดินข้างๆเธอ เธอบอกแม่เธอว่า ฉันเป็นเพื่อนแท้ที่เธอมีและรู้ว่า ฉันไม่มีวันทอดทิ้งเธอ


แล้วแม่เธอก็มาหาแม่ฉัน นัดหมายวันแต่งงานของเราสองคนอย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว แม่ทั้งสองของเรา คงอยากให้เรามีความสุข ฉันและเธอต่างตกใจที่รู้ว่า เราทั้งสองต้องแต่งงานกันในสองเดือนข้างหน้า


มันเร็วไปแล้ว แม่จ๋า แม่หัวเราะแล้วตอบว่า เร็วอะไรกันลูก เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นมอศอ ลูกอายุยี่สิบเก้าแล้ว ควรเริ่มต้นชีวิตได้แล้ว


งานแต่งงานของเราจึงมีขึ้นที่บ้านของเราสองคน ในวันที่ยี่สิบสาม เดือนตุลาคม ปีสองพันห้าร้อยสามสิบเจ็ด แม่บอกว่าไปหาฤกษ์แต่งงานให้ฉัน โดยให้ลุงของฉันที่เป็นคนหาฤกษ์ยามที่แม่นที่สุดและดีที่สุดเท่าที่แม่รู้จักมาตลอดชีวิต ลุงบอกแม่ว่า เราทั้งสองคน ดวงแรงมาก แต่งวันไหนไม่ได้เลยต้องเป็นวันปิยะมหาราชวันเดียวเป็นวันอาทิตย์เท่านั้น สองคนนี้มันเป็นเนื้อคู่กันมาก่อน


ฉันไม่รู้ความหมาย สัญญาณบอกอะไรเลยที่ต้องแต่งงานวันปิยะมหาราช ฉันตอบตกลงแม่ไป ฉันมารู้ความหมายนั้นเมื่อชีวิตผ่านไปถึงสิบสี่ปี


พี่สาวคนเดียวของฉัน เป็นครูจบคหกรรมศาสตร์ ลงมือเย็บชุดแต่งงานให้ฉันสองชุด เย็บด้วยมือ ตลอดทั้งวันและคืน มันเสร็จลงในวันก่อนฉันแต่งเพียงสามวัน มันสวยจนฉันตกตะลึง ตอนที่ลองชุดแต่งงานนั้น ฉันกอดพี่สาวไว้แน่น ชุดที่ฉันใส่มันสวยเหลือเกิน


เหมือนชุดจากสวรรค์ พอดีกับตัวฉันทั้งสองชุด สีน้ำเงินและสีงาช้าง เป็นชุดไทยที่ใส่วันรดน้ำสังข์และชุดในงานเลี้ยง สวยติดตาติดใจ พี่สาวเป็นคนออกแบบ ออกเงินและตัดเย็บเองทั้งหมด ด้วยความที่รักน้องเหลือเกิน ฉันโชคดีที่สุดแล้ว ในตอนนั้น ฉันไม่เคยคิดคำนึงถึงเรื่องนี้ ไม่เคยซาบซึ้งหัวใจว่า พี่สาวรักฉันมากมายแค่ไหน เวลาผ่านไปถึงสิบสี่ปี ฉันจึงได้ตื่นขึ้นมาสำนึกในความรักของพี่สาว จนถึงตอนนี้ ฉันจึงรู้ว่า ฉันเป็นน้องสาวคนเดียวที่ได้ใส่ชุดที่พี่เย็บให้เองในวันแต่งงาน เพราะน้องสาวอีกสองคนของฉันนั้น แต่งงานและชุดเป็นชุดแต่งงานที่ต้องหามาเอง


ก่อนวันแต่งงานของฉันสามวัน เราหกคนพี่น้องได้อยู่ร่วมกัน ได้กอดกัน เราหาเพลงมาเปิด น้องสาวตัวเล็กของฉันที่ตอนนั้น เรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พกไวน์แดงมาด้วย น้องสาวเปิดไวน์ เทใส่แก้วแจกทุกคน เราร้องเพลงเต้นรำกันอย่างมีความสุขในห้องนอนฉันเหมือนที่เราเคยทำกันมาเมื่อตอนเด็กๆทุกคนมาบอกฉันว่า ดีใจกับวันข้างหน้าของฉัน เรามีความสุขและหลับไปด้วยกัน ฉันไม่รู้ว่าเธอมาเดินวนเวียนอยู่ข้างบ้าน เห็นไฟเปิด ได้ยินเสียงเพลง เธอนั่งรออยู่หน้าบ้านพักใหญ่แล้วกลับบ้านไป บ้านเราห่างกันแค่หกกิโลเมตร


แม่มาร่วมจิบไวน์อย่างมีความสุข พวกเราหัวเราะกันที่เห็นแม่หน้าแดงเหมือนสาวๆ แม่บอกเป็นครั้งแรกที่แม่จิบแอลกอฮอล์ เมื่อเพลงจบลง พวกเราต่างนอนคุยกันต่อในห้องนั้น


เธอลงมาจากเชียงใหม่ก่อนแต่งงานเพียงหนึ่งสัปดาห์ พกชุดแต่งงานสีงาช้างมาด้วย เป็นชุดที่พี่สาวภรรยานักดนตรีวงแบนโจแมน ตั้งใจเย็บด้วยมือให้ด้วยผ้าใยกรรชง น่าแปลกใจที่เมื่อผ้าที่ซื้อนั้นเป็นผ้าสีงาช้าง สีเดียวกับชุดที่พี่สาวฉันเย็บให้ ช่างเป็นความบังเอิญที่น่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน เธอมาหาฉันที่บ้านวันรุ่งขึ้น ท่าทางเธอดีใจและเป็นสุข แววตาเธอระยิบระยับ


งานแต่งงานของเรา มีทั้งพี่น้องของเธอและฉัน พี่น้องที่ทำงานของฉัน พี่น้องและเพื่อนของเธอจากเชียงใหม่ที่เหมารถตู้ลงไปร่วมงาน เพื่อนร่วมรุ่นของเรา ญาติๆของเราทั้งสองคน ผู้คนล้นงาน


เพื่อนเก่าสมัยมอศอของเราก็มา บางคนดีใจมากที่เห็นเราสองคนแต่งงานกัน เหมือนประสบความสำเร็จในรุ่นนี้ ต่างพากันถามว่า ไปแอบรักกันตอนไหน บอกมานะ ต้องเป็นตอนที่ลอกการบ้านกันแน่เลย เสียงฮาลั่นโต๊ะกินเลี้ยง ไม่เคยเห็นแพร่งพรายบอกเพื่อน แน่จริงๆเลยนะทั้งสองคน เธอและฉันได้แต่อมยิ้ม

 

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …