แม้ผลการตัดสินคดียึดทรัพย์เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้อยู่แล้ว แต่คนเสื้อแดงหลายคนยังรู้สึกเจ็บปวด บางคนถึงขั้นหลั่งน้ำตาทั้งที่เงินนั้นไม่ใช่เงินของตนเอง พวกอำมาตย์ พรรคประชาธิปัตย์และคนเสื้อเหลืองไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าที่คนเสื้อแดงหลั่งน้ำตานั้นไม่ใช่เพราะเสียดายเงินของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกยึดไปอย่างไม่เป็นธรรม แต่เป็นเพราะรู้สึกเจ็บปวดที่ตนเองทำอะไรไม่ได้เมื่อเห็นความอยุติธรรมบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาครั้งแล้วครั้งเล่า
สมมติเราเห็นเด็กหญิงถูกรุมโทรมโดยแก๊งขี้ยาต่อหน้าต่อตาเราโดยที่เราช่วยอะไรไม่ได้เลย เราจะรู้สึกอย่างไร?
บางคนอาจบอกว่าเฉย ๆ
แล้วถ้าสมมติว่าเด็กหญิงที่ถูกรุมโทรมนั้นเป็นลูกสาวของเราเอง เราจะรู้สึกอย่างไร ?
ทำนองเดียวกันอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กำลังถูกรุมโทรม(เราอาจจะเรียกว่ารุมกินโต๊ะก็ได้) หากจิตใจเราไม่บอดใบ้จนเกินไป หากความเป็นมนุษย์ของเราอยู่ครบ แม้จะไม่ถึงกับเจ็บแค้นแต่อย่างน้อยที่สุดเราคงรู้สึกแย่ สะเทือนใจ ไม่เห็นด้วย แม้แต่คนที่ไม่ชอบคนเสื้อแดงหลายคนยังรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้
เราอาจเฉย ๆ กับเงินของคนอื่น เราอาจเฉย ๆ ถ้ามันเป็นเรื่องของคนอื่นจริง ๆ โดยที่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรา แต่นี่ไม่ใช่
การยึดอำนาจรัฐบาลเลือกตั้งเมื่อกันยายนปี 49 การยุบพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุดถึงสองครั้งอย่างไร้เหตุผล การโฆษณาชวนเชื่อใส่ร้ายคนเสื้อแดงทางสื่อต่าง ๆ การหลอกกันซึ่งหน้าในหลายกรณี เหล่านี้จะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับเราเลยคงไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดมันขัดแยังกับสำนึกพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ซึ่งรู้จักคำว่าเหตุผลและความถูกต้อง
การกระทำทางการเมืองของฝ่ายอำมาตย์ที่มีต่อประชาชนและตัวแทนประชาชนในระยะเกือบครึ่งทศวรรษที่ผ่านมานั้น มากเกินจะรับได้แล้วจริง ๆ การปะทุออกของความแค้นซึ่งอาจแปรเป็นความรุนแรงจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และเข้าใจได้ซึ่งถ้าว่าไปแล้วดูเหมือนเป็นหนทางเดียวเท่านั้นในการเอาคืนฝ่ายอำมาตย์ที่แม้นจะใช้ความรุนแรงกำราบประชาชนเสมอ แต่อำมาตย์จะหวาดแสยงต่อความรุนแรงที่จะเกิดกับตัวเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ผมลองคิดคำนึงถึงวิธีที่เป็นไปได้ต่าง ๆ ที่จะทำให้ตนเองสามารถดำรงอยู่ในสังคมนี้ได้แม้จะไม่ค่อยสุขใจมากนัก แต่ก็ไม่ทุกข์จนถึงขั้นทำให้คลั่งหรือหมดความอดทนขนาดขับรถแท็กซี่ชนรถถังแบบคุณนวมทอง ไพรวัลย์ หรือปราศรัยในที่สาธารณะโดยไม่แคร์หน้าอินทร์หน้าพรหมแบบคุณดา ตอร์ปิโด ฯลฯ
วิธีการในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่อับจนปัญญาเพราะถูกครอบงำด้วยปีกแห่งเงามืดของเหล่าอำมาตย์ มีดังนี้
วิธีที่ 1 ปล่อยวาง!
ใช้หลักศาสนาเข้าข่มจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นไตรลักษณ์, ขันธ์ 5, อริยสัจ 4 ให้คิดเสียว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม คนทำดีย่อมได้ดี เพียงแต่ว่าในบางกรณีผลกรรมดีอาจเดินทางมาถึงช้าทั้งนี้เป็นเพราะกรรมชั่วเก่าก่อนที่เคยทำไว้ ชดใช้กรรมชั่วหมดแล้ว สิ่งดี ๆ จะมาหาเอง ส่วนคนที่ทำชั่วย่อมหนีผลชั่วไปไม่พ้น
วิธีที่ 2 ให้ความสำคัญกับการเมืองน้อยลง
คือทำเป็นเฉย ๆ กับเรื่องราวทางการเมือง ให้คิดเสียว่าแม้การเมืองจะเกี่ยวข้องกับชีวิตแต่ไม่ทั้งหมด ชีวิตยังมีมิติด้านอื่น ๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน ติดตามข่าวการเมืองให้น้อยลง อ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ให้น้อยลง พบปะเพื่อนฝูงที่เป็นคอการเมืองให้น้อยลงเช่นกัน ไม่เฉียดเข้าไปใกล้วงกาแฟ เดินหนีเมื่อมีใครชวนคุยการเมือง หลีกเลี่ยงการฟังการสัมมนาทางการเมือง ตัดใจไม่เข้าไปในเวบไซต์การเมืองที่เคยเข้าไปประจำ
วิธีที่ 3 เบี่ยงเบนความสนใจ
มองหาสิ่งที่จะมาทดแทนความสนใจในเรื่องการเมือง คิดเสียว่าโลกและชีวิตมีสิ่งสวยงามและความบันเทิงเริงรมย์มากมายให้ลิ้มลองสัมผัส เดินทางท่องเที่ยว ชื่นชมธรรมชาติอันสวยงาม ไปในที่ที่ไม่เคยไป ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เอาการเอางานในเรื่องเซ็กส์ให้มากขึ้นหรือไม่ก็คิดอะไรที่เป็นนามธรรมมาก ๆ อาจทำตัวเป็นนักปรัชญาที่หลุดลอยจากโลกจริงก็ได้
วิธีที่ 4 วางตัวเป็นนักวิชาการ
วิธีนี้สามารถติดตามเรื่องราวทางการเมืองได้เหมือนเดิม เพียงแต่ยกระดับการวิเคราะห์วิจารณ์ปรากฏการณ์ทางการเมืองโดยไม่เอาความรู้สึกหรือความเห็นของตนเองเข้าไปเกี่ยวข้อง มองการเมืองอย่างเป็นหลักวิชา ต้องไม่แสดงจุดยืนให้เป็นที่ปรากฏ เมื่อมีใครถามก็ให้บอกว่าตนเองเป็นกลาง วิธีนี้ดัดจริตที่สุดแต่ก็ใช้ได้ผล คนที่ผมเคยรู้จักหลายคนเป็นแบบนี้
วิธีที่ 5 จะไปยากอะไร
ประกาศว่าตนเองเป็นคนเสื้อแดงให้รู้แล้ว รู้รอด เข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ ต่อสู้กับพวกอำมาตย์อย่างถึงที่สุด อาจระบายความอัดอั้นโกรธแค้นด้วยการปาขี้ใส่รูปนายกรัฐมนตรีหรือใช้วิธีการใด ๆ ก็สุดแท้แต่จะคิดค้นกันขึ้นมา ให้ท่องในใจว่า “กูไม่กลัวมึง! พวกอำมาตย์!”
เมธัส บัวชุม
ท่ามกลางเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จากนักวิชาการสายพันธมิตร, สื่อสายพันธมิตร, 40 สว. ลากตั้งสายพันธมิตร, พรรคการเมืองสายพันธมิตร, นักสิทธิมนุษยชนสายพันธมิตร, คนกลางสายพันธมิตร, คนดีสายพันธมิตร, ตุลาการสายพันธมิตร และอะไรต่อมิอะไรสายพันธมิตรนั้น เราพอจะได้ยินได้อ่านอะไรที่แตกต่างสร้างสรรค์ เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ได้ยินแล้วสบายใจอยู่บ้างแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ควรค่าแก่การจดจำตอกย้ำหรือเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง เป็นเสียงแห่งความกล้าหาญที่ช่วยดึงรั้งไม่ให้สังคมเตลิดไปกับความหลงผิด เป็นเสียงแห่งเหตุผลและความถูกต้อง เชื่อว่าหลายคนคงผ่านหู ผ่านตามาแล้ว แต่ขอนำเสนอซ้ำอีกครั้งหนึ่ง 1.…
เมธัส บัวชุม
พวกกบโง่....เห็นนกกระยาง....เป็นนางฟ้า...สมน้ำหน้า....หลงบูชา....ดุจนางแถน...นางประแดะ.....แสร้งเมตตา...อย่างแกนๆฝูงกบแสน....ดีใจ....ได้นายดี......๚ะ๛ ๏..ตรังนิสิงเห...๚ะ๛( http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=733477 )========================================= ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ละเลงเลือดแผ่นดินเดือด ถ่อยเถื่อน สะเทือนไหมเหล่าแกนนำ อำมหิต คงสะใจประเทศไทย ใกล้พังยับ นับวันรอพันธมิตร ป่วนเมือง ระส่ำสุดเตรียมอาวุธ รบกับใคร กระไรหนอกองทัพธรรม กำมีดพร้า ฆ่าให้พอทำเพื่อ "พ่อ" สนธิลิ้ม และจำลอง ละอองดาว ( http://www.prachatai.com/05web/th/home/comment.php?mod=mod_ptcms&ContentID=13977&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai ) พอฝุ่นควันจากเหตุการณ์สลายหายไป ภาพปรากฏก็เริ่มชัดเจนขึ้น ข้อเท็จจริงค่อย ๆ แสดงตัวออกมาทีละส่วน ๆ ก่อนจะกลายเป็นภาพรวมใหญ่ ทำให้การใส่ความและการโฆษณาชวนเชื่อของแกนนำพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
นายแพทย์ประเวศ วะสี ผู้ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปภายใต้โลโก้ “ราษฎรอาวุโส” เป็น “ผู้ใหญ่” ที่ใครต่อใครรู้จักกันดี เพราะคำพูดคำอ่านหรือแนวคิดของท่าน ตกเป็นข่าวพาดหัวอยู่เสมอทางหน้าหนังสือพิมพ์และได้รับการขานรับจากกลุ่มคนน้อยใหญ่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม แม้กระทั่งข้าราชการ บทบาทของนายแพทย์ประเวศ วะสี ในหลาย ๆ วาระและโอกาส มีความสำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยอย่างสูง จนคว้ารางวัลต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น บุคคลดีเด่นของชาติ รางวัลแมกไซไซ รางวัลจากยูเนสโก เหรียญเชิดชูเกียรติจาก WHO เป็นที่ยอมรับโดยไม่มีข้อกังขาว่า…
เมธัส บัวชุม
นอกจากจะรู้จักใช้ “สี” ให้เป็นประโยชน์แล้ว ลัทธิพันธมิตรยังมีความสามารถพิเศษในการ ”เปลี่ยนสี” ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือ “เลือกสี” ให้เหมาะกับกาละเทศะ เพราะจะใช้ “สีเดียว” ทุกเวลาและสถานที่คงไม่ได้ การรู้จัก “เปลี่ยนสี” นี้เป็นการปรับตัวเช่นเดียวกับที่เราได้เห็นในสัตว์หลายชนิดที่สามารถสร้างสีให้เกิดความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมหรือสื่อสารกับสัตว์ตัวอื่นๆ ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า หรือจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีหรือไม่มีกระดูกสันหลังต่างก็มีความสามารถในการเปลี่ยนสีด้วยกันทั้งนั้น
เมธัส บัวชุม
ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 49 กระทั่งปัจจุบัน อันธพาล-ลัทธิพันธมิตร ได้ผลิต ตอกย้ำนำเสนอ วาทกรรมทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนมาก ผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่กว้างขวางและร่วมด้วยช่วยกันกับองค์กรอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา บุคคลที่มีชื่อเสียง สว. ลากตั้ง ดารา ฯลฯ ทั้งที่เป็นวาทกรรมเพื่อมุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามและใช้ในการยกยอปอปั้นลัทธิตนเอง วาทกรรมบางอย่าง ลัทธิพันธมิตรประดิษฐ์ขึ้นโดยตรงสำหรับการกรรโชกข่มขู่รัฐบาลและสังคม แต่บางวาทกรรมไม่ได้คิดขึ้นเองหากแต่นำมาจากประธานองคมนตรี นักวิชาการ ราษฎรอาวุโส สื่อมวลชน และจากบรรดาบุคคลที่เทิดทูนระบอบอมาตยาธิปไตยไว้เหนือหัว…
เมธัส บัวชุม
กลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียเป็นปัญหาเสมอมาสำหรับการสถาปนากติกาการปกครองและระเบียบการเมือง ทั้งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่กฎหมายและการจัดระเบียบทางสังคมไม่สามารถควบคุมจัดการได้ คุกคามต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ปกติของคนโดยทั่วไปเพราะกลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วยการขู่เข็ญกรรโชกกระทั่งใช้กำลัง หรือใช้กฎหมู่เพื่อให้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ นอกจากจะไม่ผลิตอะไรออกมาแล้ว กลุ่มอันธพาลการเมืองยังคอยรีดไถเงินจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับการข่มขู่รีดไถหรือล็อบบี้อย่างชาญฉลาดของกลุ่มอันธพาลการเมืองที่เรียกตนเองว่าพันธมิตรอย่างสมบูรณ์แบบที่กลุ่มพันธมิตร…
เมธัส บัวชุม
ไม่ต้องเป็นผู้ฉลาดหลังเหตุการณ์เราก็จินตนาการได้ไม่ยากว่าการชุมนุมก่อน 19 กันยายน 2549 ของกลุ่มพันธมิตร ฯ นั้นเป็นการออกบัตรเชิญให้ทหารทำรัฐประหารแม้ว่าบางคนอาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การชุมนุมของพันธมิตร ฯ หลังพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนเดิมคือการออกบัตรเชิญให้ทหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกคำรบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพลังประชาชนได้บทเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ และได้รู้ว่าความผิดพลาดในรายละเอียดเพียงนิดเดียวอาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การยึดอำนาจรอบสองได้ รัฐบาลจึงระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการกับม็อบพันธมิตร ฯ แต่โอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นก็ใช่ว่าจะไม่มี…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้วพยายามจะให้ความหมายของ “กวีเกรียน” ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วเมื่อลองมาวิเคราะห์ พิจารณา สามารถสรุปรวบยอดได้ว่า กวีเกรียน นั้นเดินทางล้าหลัง อยู่ถึง 3 ก้าวด้วยกัน ก้าวที่ 1 คือ ขาดการทบทวนอดีต ไม่สามารถนำอดีตมาเป็นบทเรียนได้ ไม่สามารถสกัดเก็บซับเอาข้อดี ข้อเสียในอดีตมาเป็นฐานคิดในการวิเคราะห์สังคมการเมือง จะว่าไปบทเรียนในอดีตของสังคมไทยก็มีให้ศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง 2475, การต่อสู้ของเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการในอดีตหรือกระทั่งการต่อสู้อยู่ในป่าของพคท.ฯลฯ…
เมธัส บัวชุม
ตอนแรกตั้งใจจะตั้งชื่อบทความว่า “กวีพันธมิตร ฯ” แต่เห็นชื่อที่โดนใจวัยรุ่นกว่าในเวบบอร์ด “ฟ้าเดียวกัน” ว่า “กวีเกรียน” โดยคุณ Homo erectus (ซึ่งเคยเข้ามาวิพากษ์เชิงด่าผมอยู่เป็นประจำจนเลิกไปเอง) จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เข้ากับสมัยนิยม “กวีเกรียน” ในความหมายของผมคือกวีที่ล้าหลัง คิดอ่านไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่อ่อนต่อโลก วิเคราะห์สังคมไม่ออกเพราะไม่มีหลักคิดที่มั่นคง อ่านการเมืองไม่เป็นเพราะมัวแต่คิดว่านักการเมืองชั่วร้ายเลวทรามในขณะที่ประชาชนและข้าราชการ และพวกอภิสิทธิชนนั้นมีคุณธรรม จริยธรรม หรืออย่างน้อยก็มีมากกว่านักการเมือง…
เมธัส บัวชุม
-1- พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตัวละครการเมืองที่ไม่ยอมลงจากเวที กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "ภาษาไทย พ.ศ.พอเพียง" เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ 26 กรกฎาคม ที่จัดขึ้นโดย ราชบัณฑิตยสถาน มูลนิธิรัฐบุรุษฯ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า "ภาษาไทยทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ สื่อสารที่ดีต่อกัน ทำให้คนเข้าใจกัน ทำให้คนรักกัน โกรธ หรือเกลียดกัน ทำลายกันก็ได้ พวกเราคนไทยจึงต้องตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย ต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ฟุ้งเฟื้อจนเกินไป ต้องรักษาและพัฒนาให้ลูกหลานอย่างพอเหมาะ" (มติชน, 27 ก.ค. 51, หน้า 13) จากคำกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์…
เมธัส บัวชุม
ดา ตอร์ปิโด เขย่ารากฐานความศรัทธาของคนไทยอีกคำรบหนึ่งด้วยการพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 18 กรกฎาคม อย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จากข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อแขนงต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าการปราศรัยของเธอนั้นเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง ต้องยอมรับว่า ดา ตอปิโดร์ เป็นคนกล้าและแกร่งอย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในแง่ที่ว่ากล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดโดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ทราบจากที่เป็นข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาเล่าซ้ำออกอากาศผ่าน ASTV ไปทั่วประเทศ คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด…