Skip to main content

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ ชัย ราชวัตร แสดงความหยาบของตัวเองผ่านการ์ตูนชุด “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ที่เขียนให้กับหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ไทยรัฐ ชัดเจนอย่างยิ่งตั้งแต่ช่วงวิกฤติการเมืองสมัยทักษิณ ชินวัตร จนกระทั่งถึงปัจจุบัน


ชัย ราชวัตร เอาการเอางานอย่างมากในการใช้ตัวการ์ตูนโจมตีฝ่ายที่ตนเองไม่ชอบ บางครั้งเขาออกอาการก้าวร้าวผิดปกติเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองแหลมคม เป็นผลให้การ์ตูนของเขาแตกต่างจากการ์ตูนของคนอื่น ๆ คือเป็นการ์ตูนที่เด็ก ๆ อ่านไม่รู้เรื่องเพราะอ้างอิงกับข้อมูลและความเป็นไปในสถานการณ์ปัจจุบัน


อันที่จริงความน่าสนใจของหนังสือการ์ตูนโดยทั่วไปนั้นอยู่ที่การใช้ “ภาพ” เป็นตัวเล่าเรื่อง สีหน้าท่าทางของตัวการ์ตูนสื่อความหมายได้อย่างดีหรืออาจโจ่งแจ้งเกินจริงด้วยซ้ำ ผู้อ่านสามารถเข้าใจเรื่องราวได้โดยแทบไม่ต้องอ่านคำพูดหรือบทสนทนาของตัวการ์ตูนเลยก็ได้ ดังนั้นหนังสือการ์ตูนจึงสามารถเปิดดูผ่าน ๆ ได้อย่างรวดเร็ว สามารถยืนอ่านที่ร้านหนังสือรวดเดียวจบโดยไม่ต้องซื้อให้เปลืองเงิน


แต่การ์ตูนของชัย ราชวัตร ต่างออกไปตรงที่เน้นการใช้ “คำพูด” ในการเล่าเรื่องและเรื่องที่เล่าก็มักเป็นแง่มุมเกี่ยวกับการเมือง หรือข่าวสังคมที่กำลังเป็นกระแสความสนใจบวกกับทัศนคติล้าหลังของตัวเขาเอง


ชัย ราชวัตร ง้างปากตัวการ์ตูนให้พูดในสิ่งที่เขาต้องการซึ่งยอมรับว่าหลายครั้งการ์ตูนของเขาจบลงด้วยการใช้คำพูดหักมุมให้ทึ่งและประหลาดใจจนน่าติดตาม บางครั้งก่อให้เกิดอารมณ์ขันกับความสะใจระคนกัน


ท่านทูตสหรัฐคนที่แล้วก็ยอมรับว่าเขาชอบอ่านการ์ตูนของชัย ราชวัตร เพราะช่วยให้เห็นแง่คิดและทัศนคติทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่ง


อย่างไรก็ตาม การ์ตูนของชัย ราชวัตร ในคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ที่ผมยกมาเป็นตัวอย่าง เป็นตอนที่อ่านแล้วหัวเราะไม่ออกเพราะคาดไม่ถึงว่า ชัย ราชวัตร จะสามารถ “หยาบ” ได้ถึงเพียงนี้ แต่อย่างที่กล่าวตั้งแต่ต้นก็คือ ชัย ราชวัตร แสดงความ “หยาบ” ผ่านตัวการ์ตูนหลายครั้งหลายหนแล้ว


ในการ์ตูน ลูกสาวตัวน้อยอยู่ในชุดนักเรียนท่าทางไร้เดียงสา ถามแม่ที่กำลังตากผ้าอยู่ด้วยถ้อยคำที่ดูเหมือนไร้เดียงสาว่า

แม่จ๋า ถ้าหนูเรียนพยาบาล หนูจะได้เป็นรัฐมนตรีคลังไหมคะ”

แม่ตอบว่า

ถ้าแกเรียนพยาบาล แกจะเป็นอะไรก็ได้ แต่แกต้องหาผัวเป็นนักการเมืองให้ได้ก่อน”

(ไทยรัฐ, 14 กุมภาพันธ์, 51)


รู้โดยไม่ต้องวิเคราะห์ว่าบทสนทนาข้างต้นเชื่อมโยงกับการจัดคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของคุณสมัคร สุนทรเวช คนที่มีข้อมูลอยู่บ้างก็จะรู้ได้ว่าหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้คือคุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี มีอาชีพเป็นพยาบาลและเป็นภรรยาของคุณไพโรจน์ สุวรรณฉวี ซึ่งเป็นนักการเมือง


คุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังท่ามกลางคำครหาว่า “ขี้เหร่” แต่ด้วยความที่สามีเป็นนักการเมืองในพรรคเพื่อแผ่นดินและมีอิทธิพลไม่น้อย คุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี จึงขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้


คุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ให้ทัศนะในเรื่องนี้ไว้ว่า

เรื่องนี้ถือเป็นมุมมองของแต่ละคน เพราะต่างคนก็ต่างมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างในต่างประเทศแถบยุโรปถ้าเป็นตำแหน่ง ส.. ก็จะเป็นกันทั้งตระกูล เป็นมรดกตกทอด ดิฉันคิดว่าการที่เรามาอาสาทำงานทางการเมืองโดยที่เรามีความพร้อม ไม่ทราบว่าเป็นที่น่ารังเกียจหรือมันผิดตรงไหน ในเมื่อประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกเราเข้ามาทำงานในตรงนี้แล้วจะทำงานให้ดีที่สุดให้สมกับที่ชาวบ้านเลือกเข้ามา การที่ใครจะมองดิฉันไปในทิศทางใดก็ไม่เป็นไร ขอน้อมรับทั้งหมด”


ไม่ว่าคุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี จะ “ขี้เหร่” จริงหรือไม่ก็ตาม การวิพากษ์วิจารณ์ของ ชัย ราชวัตร ในครั้งนี้ถือว่า “ไม่เข้าท่า” อย่างแรง


ที่เห็นชัดเจนอย่างมากเป็นอันดับแรกก็คือการดูถูกผู้หญิง อันดับต่อมาก็คือการดูถูกอาชีพพยาบาล แฝงด้วยความเหยียดหยันนักการเมืองตามสไตล์ของเขา


ตามเนื้อหาในการ์ตูนของเขา ผู้หญิงที่เป็นพยาบาลจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ก็ด้วยความสามารถในการหาสามีที่เป็นนักการเมือง ไม่ใช่เพราะความขยันขันแข็งในอาชีพพยาบาลของตนเอง!


คุณระนองรักษ์ สุวรรณฉวี พูดถึงอาชีพพยาบาลของตนเองว่า

อาชีพพยาบาลไม่ใช่อาชีพที่น่ารังเกียจ เป็นอาชีพที่สังคมยอมรับ ความจริงแล้วตอนที่เริ่มต้นเรียนพยาบาล คุณแม่ไม่ค่อยสบายและอยากจะให้เรียน จึงตัดสินใจสอบเข้าเรียนพยาบาล เริ่มจากวิทยาลัยพยาบาลกอง ทัพบก รุ่นที่ 10 หลังจากนั้นไปเรียนต่อพยาบาลศาสตร์ มหิดล และเรียนต่อปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต ที่มหา วิทยาลัยเกริก เริ่มต้นทำงานพยาบาลจริงๆเพียง 3 ปี จากนั้นจะทำงานด้านวิชาการและด้านการบริหารเสียส่วนใหญ่ ไม่ทราบเหมือนกันว่าอาชีพพยาบาลไม่ดีตรงไหน”


ชัย ราชวัตร อาจไม่ตั้งใจ แต่ความไม่ตั้งใจนี่แหละที่สะท้อนให้เห็น “สันดาน” ของเขา สันดานในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นอย่างขาดความรับผิดชอบ ไม่คำนึงถึงความเหมาะสมในฐานะที่เป็นสื่อสารมวลชน


หากมองในแง่ศิลปะ การ์ตูนของ ชัย ราชวัตรก็ล้มเหลว หลายครั้งที่ตัวละครการ์ตูนของเขารู้มากเกินไป บุคลิกลักษณะของตัวละครกับสิ่งที่ตัวละครพูด ไปด้วยกันไม่ได้เลย บางทีอ่านการ์ตูนของเขาแล้วก็นึกถึงการโฆษณาชวนเชื่อของสนธิ ลิ้มทองกุล


อย่าปล่อยให้นักเขียนการ์ตูนแบบนี้ลอยนวล ช่วยกันประณาม เพราะหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ใช่เวทีสำหรับแสดงสันดานหยาบ

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ท่ามกลางเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จากนักวิชาการสายพันธมิตร, สื่อสายพันธมิตร, 40 สว. ลากตั้งสายพันธมิตร, พรรคการเมืองสายพันธมิตร, นักสิทธิมนุษยชนสายพันธมิตร, คนกลางสายพันธมิตร, คนดีสายพันธมิตร, ตุลาการสายพันธมิตร และอะไรต่อมิอะไรสายพันธมิตรนั้น เราพอจะได้ยินได้อ่านอะไรที่แตกต่างสร้างสรรค์ เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ได้ยินแล้วสบายใจอยู่บ้างแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ควรค่าแก่การจดจำตอกย้ำหรือเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง เป็นเสียงแห่งความกล้าหาญที่ช่วยดึงรั้งไม่ให้สังคมเตลิดไปกับความหลงผิด เป็นเสียงแห่งเหตุผลและความถูกต้อง เชื่อว่าหลายคนคงผ่านหู ผ่านตามาแล้ว แต่ขอนำเสนอซ้ำอีกครั้งหนึ่ง 1.…
เมธัส บัวชุม
พวกกบโง่....เห็นนกกระยาง....เป็นนางฟ้า...สมน้ำหน้า....หลงบูชา....ดุจนางแถน...นางประแดะ.....แสร้งเมตตา...อย่างแกนๆฝูงกบแสน....ดีใจ....ได้นายดี......๚ะ๛                                                ๏..ตรังนิสิงเห...๚ะ๛( http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=733477 )========================================= ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ละเลงเลือดแผ่นดินเดือด ถ่อยเถื่อน สะเทือนไหมเหล่าแกนนำ อำมหิต คงสะใจประเทศไทย ใกล้พังยับ นับวันรอพันธมิตร ป่วนเมือง ระส่ำสุดเตรียมอาวุธ รบกับใคร กระไรหนอกองทัพธรรม กำมีดพร้า ฆ่าให้พอทำเพื่อ "พ่อ" สนธิลิ้ม และจำลอง ละอองดาว ( http://www.prachatai.com/05web/th/home/comment.php?mod=mod_ptcms&ContentID=13977&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai ) พอฝุ่นควันจากเหตุการณ์สลายหายไป ภาพปรากฏก็เริ่มชัดเจนขึ้น ข้อเท็จจริงค่อย ๆ แสดงตัวออกมาทีละส่วน ๆ ก่อนจะกลายเป็นภาพรวมใหญ่ ทำให้การใส่ความและการโฆษณาชวนเชื่อของแกนนำพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
นายแพทย์ประเวศ วะสี ผู้ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปภายใต้โลโก้ “ราษฎรอาวุโส” เป็น “ผู้ใหญ่” ที่ใครต่อใครรู้จักกันดี เพราะคำพูดคำอ่านหรือแนวคิดของท่าน ตกเป็นข่าวพาดหัวอยู่เสมอทางหน้าหนังสือพิมพ์และได้รับการขานรับจากกลุ่มคนน้อยใหญ่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม แม้กระทั่งข้าราชการ บทบาทของนายแพทย์ประเวศ วะสี ในหลาย ๆ วาระและโอกาส มีความสำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยอย่างสูง จนคว้ารางวัลต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น บุคคลดีเด่นของชาติ รางวัลแมกไซไซ รางวัลจากยูเนสโก เหรียญเชิดชูเกียรติจาก WHO เป็นที่ยอมรับโดยไม่มีข้อกังขาว่า…
เมธัส บัวชุม
นอกจากจะรู้จักใช้ “สี” ให้เป็นประโยชน์แล้ว ลัทธิพันธมิตรยังมีความสามารถพิเศษในการ ”เปลี่ยนสี” ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือ “เลือกสี” ให้เหมาะกับกาละเทศะ เพราะจะใช้ “สีเดียว” ทุกเวลาและสถานที่คงไม่ได้ การรู้จัก “เปลี่ยนสี” นี้เป็นการปรับตัวเช่นเดียวกับที่เราได้เห็นในสัตว์หลายชนิดที่สามารถสร้างสีให้เกิดความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมหรือสื่อสารกับสัตว์ตัวอื่นๆ ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า หรือจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีหรือไม่มีกระดูกสันหลังต่างก็มีความสามารถในการเปลี่ยนสีด้วยกันทั้งนั้น
เมธัส บัวชุม
ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 49 กระทั่งปัจจุบัน  อันธพาล-ลัทธิพันธมิตร ได้ผลิต ตอกย้ำนำเสนอ วาทกรรมทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนมาก ผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่กว้างขวางและร่วมด้วยช่วยกันกับองค์กรอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา บุคคลที่มีชื่อเสียง สว. ลากตั้ง ดารา ฯลฯ  ทั้งที่เป็นวาทกรรมเพื่อมุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามและใช้ในการยกยอปอปั้นลัทธิตนเอง วาทกรรมบางอย่าง ลัทธิพันธมิตรประดิษฐ์ขึ้นโดยตรงสำหรับการกรรโชกข่มขู่รัฐบาลและสังคม แต่บางวาทกรรมไม่ได้คิดขึ้นเองหากแต่นำมาจากประธานองคมนตรี นักวิชาการ ราษฎรอาวุโส สื่อมวลชน และจากบรรดาบุคคลที่เทิดทูนระบอบอมาตยาธิปไตยไว้เหนือหัว…
เมธัส บัวชุม
กลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียเป็นปัญหาเสมอมาสำหรับการสถาปนากติกาการปกครองและระเบียบการเมือง ทั้งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่กฎหมายและการจัดระเบียบทางสังคมไม่สามารถควบคุมจัดการได้ คุกคามต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ปกติของคนโดยทั่วไปเพราะกลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วยการขู่เข็ญกรรโชกกระทั่งใช้กำลัง หรือใช้กฎหมู่เพื่อให้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ นอกจากจะไม่ผลิตอะไรออกมาแล้ว กลุ่มอันธพาลการเมืองยังคอยรีดไถเงินจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับการข่มขู่รีดไถหรือล็อบบี้อย่างชาญฉลาดของกลุ่มอันธพาลการเมืองที่เรียกตนเองว่าพันธมิตรอย่างสมบูรณ์แบบที่กลุ่มพันธมิตร…
เมธัส บัวชุม
ไม่ต้องเป็นผู้ฉลาดหลังเหตุการณ์เราก็จินตนาการได้ไม่ยากว่าการชุมนุมก่อน 19 กันยายน 2549 ของกลุ่มพันธมิตร ฯ นั้นเป็นการออกบัตรเชิญให้ทหารทำรัฐประหารแม้ว่าบางคนอาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การชุมนุมของพันธมิตร ฯ หลังพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนเดิมคือการออกบัตรเชิญให้ทหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกคำรบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพลังประชาชนได้บทเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ และได้รู้ว่าความผิดพลาดในรายละเอียดเพียงนิดเดียวอาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การยึดอำนาจรอบสองได้ รัฐบาลจึงระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการกับม็อบพันธมิตร ฯ แต่โอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นก็ใช่ว่าจะไม่มี…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้วพยายามจะให้ความหมายของ “กวีเกรียน” ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วเมื่อลองมาวิเคราะห์ พิจารณา สามารถสรุปรวบยอดได้ว่า กวีเกรียน นั้นเดินทางล้าหลัง อยู่ถึง 3 ก้าวด้วยกัน ก้าวที่ 1 คือ ขาดการทบทวนอดีต ไม่สามารถนำอดีตมาเป็นบทเรียนได้ ไม่สามารถสกัดเก็บซับเอาข้อดี ข้อเสียในอดีตมาเป็นฐานคิดในการวิเคราะห์สังคมการเมือง จะว่าไปบทเรียนในอดีตของสังคมไทยก็มีให้ศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง 2475, การต่อสู้ของเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการในอดีตหรือกระทั่งการต่อสู้อยู่ในป่าของพคท.ฯลฯ…
เมธัส บัวชุม
ตอนแรกตั้งใจจะตั้งชื่อบทความว่า “กวีพันธมิตร ฯ” แต่เห็นชื่อที่โดนใจวัยรุ่นกว่าในเวบบอร์ด “ฟ้าเดียวกัน” ว่า “กวีเกรียน” โดยคุณ Homo erectus (ซึ่งเคยเข้ามาวิพากษ์เชิงด่าผมอยู่เป็นประจำจนเลิกไปเอง) จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เข้ากับสมัยนิยม “กวีเกรียน” ในความหมายของผมคือกวีที่ล้าหลัง คิดอ่านไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่อ่อนต่อโลก วิเคราะห์สังคมไม่ออกเพราะไม่มีหลักคิดที่มั่นคง อ่านการเมืองไม่เป็นเพราะมัวแต่คิดว่านักการเมืองชั่วร้ายเลวทรามในขณะที่ประชาชนและข้าราชการ และพวกอภิสิทธิชนนั้นมีคุณธรรม จริยธรรม หรืออย่างน้อยก็มีมากกว่านักการเมือง…
เมธัส บัวชุม
-1- พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตัวละครการเมืองที่ไม่ยอมลงจากเวที กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "ภาษาไทย พ.ศ.พอเพียง" เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ 26 กรกฎาคม ที่จัดขึ้นโดย ราชบัณฑิตยสถาน มูลนิธิรัฐบุรุษฯ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า "ภาษาไทยทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ สื่อสารที่ดีต่อกัน ทำให้คนเข้าใจกัน ทำให้คนรักกัน โกรธ หรือเกลียดกัน ทำลายกันก็ได้ พวกเราคนไทยจึงต้องตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย ต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ฟุ้งเฟื้อจนเกินไป ต้องรักษาและพัฒนาให้ลูกหลานอย่างพอเหมาะ" (มติชน, 27 ก.ค. 51, หน้า 13) จากคำกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์…
เมธัส บัวชุม
ดา ตอร์ปิโด เขย่ารากฐานความศรัทธาของคนไทยอีกคำรบหนึ่งด้วยการพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 18 กรกฎาคม อย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จากข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อแขนงต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าการปราศรัยของเธอนั้นเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง ต้องยอมรับว่า ดา ตอปิโดร์ เป็นคนกล้าและแกร่งอย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในแง่ที่ว่ากล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดโดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ทราบจากที่เป็นข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาเล่าซ้ำออกอากาศผ่าน ASTV ไปทั่วประเทศ คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด…