ท่ามกลางควันสีขาวที่โพยพุ่งออกมาจากปล่องของเมรุแห่งหนึ่งในอำเภอเล็กๆ ที่แสนสงบสุข ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หน้าเมรุนั้นพลางทำสีหน้าที่ยากจะบรรยายได้ว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่ภายในใจหลังจากที่คู่ชีวิตของเขาได้จากลาลับไปเสียก่อนแล้ว สีหน้าที่นิ่งเฉยของชายชราพร้อมๆ กับ การค่อยๆ จากไปของแขกที่มาร่วมงานนี้ทีล่ะคนสองคนจนในที่สุดก็เหลือเพียงชายชราที่ยังคงนั่งอยู่ใต้เต้นท์สีน้ำเงินอันใหญ่เพียงลำพัง สายตาของเขายังคงเฝ้ามองไฟที่กำลังแผดร่างอันไร้วิญญาณอันแน่นิ่งของเธอที่อยู่เคียงข้างมานับกว่าห้าสิบปี
แม้ว่า ไฟจะแรงเพียงใดก็ยังไม่อาจจะมอดไหม้ร่างกายไปได้หมดอย่างรวดเร็ว มันจึงกินเวลายาวกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ เช่นเดียวกับชายชราที่ยังอยู่ที่นั้น
และไฟก็ดับลงเมื่อดวงจันทราลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า ชายชราจึงรับรู้ได้ว่า
เธอได้จากไปแล้ว
เรื่องราวของชายชรานี้ทำให้เณรหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักมองเห็นภาพบางอย่างได้อย่างถี่ถ้วน เขาค่อยๆ มองชายชราด้วยสงสัยพลางนึกขึ้นมาว่า ตัวเองจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกนี้หรือไม่ ความรู้สึกของคำว่า เดี่ยวดายภายใต้ท้องฟ้าสีครามแห่งนี้ เณรหนุ่มคงไม่อาจจะรู้ความรู้สึกนั้นได้แน่ชัดแจ้ง
เพราะชีวิตเขาเพียงแค่เริ่มต้นก็เท่านั้น
และคนที่น่าจะรับรู้ความรู้สึกของชายชราได้อย่างลึกซึ้งคงไม่พ้น ป้าจัน หญิงสาวที่พึ่งสูญเสียสามีไปด้วยโรคร้ายและทิ้งให้เธออยู่เพียงลำพังในโลกใบนี้พร้อมกับภาระหนักอึ้งมากมายที่ถาโถมเข้ามาหาเธอหลังจากการตายของสามีได้ไม่นานนัก ท่ามกลางบ้านที่เหลือเธอเพียงคนเดียวในบ้านหลังใหญ่กลางเขาแห่งนี้ เนื่องจากลูกๆ ของเธอทำงานอยู่ในกรุงเทพจึงไม่มีเวลามาเยี่ยมเธอ ในขณะเดียวป้าจันก็ใช้ชีวิตอยู่กับหลานสาวที่ทำงานเป็นพริตตี้กับแฟนที่คนงานในไร่ไปด้วย ทำให้บ้านของเธอไม่น่าจะเหงาหงอย
แต่ป้าจันกลับใช้ชีวิตอยู่ด้วยการสมมติว่า สามียังคงมีชีวิตอยู่เหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นการเก็บโน้ตเก่าๆ ที่สามีทิ้งเอาไว้ตามส่วนต่างๆ คล้ายกับว่า สามีของป้าจันยังไม่ได้ตายจากไปไหนราวกับเป็นการหลอกตัวเองไม่ให้เศร้ากับการที่จะต้องมาอยู่เพียงคนเดียว
พูดก็คือ เธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยความทรงจำนั้นเอง
ซึ่งการกระทำของเธอนั้นทำให้หลายคนที่รู้จักเธอนั้นต้องบอกว่า ให้ทำใจได้แล้ว เพราะ สามีของป้าเสียไปนานแล้ว พร้อมกับยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับแม่ผู้เป็นเจ้าของงานศพลูกชายที่พึ่งเสียชีวิตที่ดูเพินๆ แล้วเธออาจจะทำใจกับการตายของลูกชายไปแล้วจากสีหน้าของเธอที่ยิ้มแย้มแจ่มใสรับแขก แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วป้าจันก็เป็นคนพบว่า ตัวเธอไม่ได้ทำใจได้เลยสักนิดแถมยังเชื่อว่า ลูกชายอาจจะกลับมาเกิดอีกครั้งในสักวันหนึ่ง
ซึ่งป้าจันเองก็เชื่อว่า สักวันหนึ่งสามีของเธอจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งภายหลังจากความฝันที่เธอได้เห็นภาพสามีของเธอบอกว่า จะมาอยู่ใกล้ๆ นั้นทำให้เธอเชื่อว่า สามีของเธออาจจะกลับมาเกิดเป็นลูกใครที่อยู่ใกล้เธอก็ได้ ความเชื่อนั้นได้ทำให้เธอถึงกับยอมให้แฟนของหลายหยุดงานเพื่อทำการบ้านกับหลานตัวเองด้วยความหวังว่า
พวกเธอจะมีลูกด้วยกัน
และลูกที่กลับมาเกิดนั้นอาจจะเป็น สามีของเธอกลับชาติมาเกิดก็ได้
มีคนถามว่า เมื่อคนเราตายแล้วจะไปไหน มันอาจจะเป็นคำถามที่ไร้คำตอบจริงๆ เพราะ ไม่มีใครที่ตายแล้วเอาตอบได้ ดังนั้นหากจะพูดถึงความตายแล้วมันก็อยู่เคียงได้กับการลาจากของความรักที่หวานขมตลอดชีวิตของป้าจันที่เมื่อเจอปัญหาถาโถมเข้าหามากๆ เข้า ความแกร่งของเธอก็พังทลายลงจนถึงขั้นร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด เมื่อเมโม่ข้อความของสามีที่เขียน สุขสันต์วันเกิดไว้ในรถของตัวเอง
เมื่อได้เผชิญหน้ากับความสูญเสียป้าจันจึงบอกเตือนหลานสาวให้เลิกเพ้อฝันถึงคำว่ารักนิรันด์หรือรักจนตายไปพร้อมๆ กันได้แล้ว
“เพราะมันไม่มีหรอก รักกันจนตายไปด้วยกัน มันมีแต่รักกันจนตายกันไปข้างมากกว่า”
ดังนั้นคำว่า สิ่งที่เคียงคู่กับคำว่า รัก ก็ย่อมคำว่า ลาจากนั้นเอง
อีกหนึ่งคนที่น่าจะรับรู้ถึงคำลาจากได้อย่างลึกซึ้งในช่วงวัยแรกของชีวิตก็น่าจะเป็น เน นักเรียนชั้นม. หก ที่ปกติทำหน้าที่เป็นตากล้องของโรงเรียน เขาเลือกที่จะมาถ่ายรูปโรงเรียนในช่วงเวลาดึกๆ ที่ไม่มีใครอยู่เพียงเก็บความทรงจำเอาไว้ ในขณะที่เพื่อนๆ ของเขากำลังฉลองที่เรียนจบกันอย่างสุดเหวี่ยงที่ปาร์ตี้แห่งหนึ่ง และท่ามกลางโรงเรียนไม่น่าจะมีใครนั้น เนก็ได้พบกับ บีม รุ่นน้องนักบาสที่มาเข้าค่ายเก็บตัวอยู่ที่โรงเรียน ซึ่งทั้งคู่ได้สนทนาซึ่งกันและกันเกี่ยวกับมุมมองของความทรงจำที่มีต่อโรงเรียนนี้
ซึ่งเนก็ได้รู้ว่า บีมแอบชอบเพื่อนร่วมห้องของเขาอยู่จึงให้รูปเธอกับเขาไป ในขณะที่เขาได้รับรู้ถึงสิ่งที่ต่างๆ เกี่ยวกับโรงเรียนนี้ในมุมมองของบีม ส่วนบีมเองก็ได้รับรู้ถึงมุมมองของเนเช่นกัน
เนได้พบว่า บีมมาถ่ายรูปโรงเรียนเปล่าๆ นี้ก็เพื่อเก็บความทรงจำในมุมมองที่แตกต่างออกไปเอาไว้ด้วยการบันทึกมันเอาไว้ในรูป แม้ว่าตัวเขาจะไม่มีเพื่อนสนิทก็ตาม เขาก็คิดว่า รูปน่าจะเป็นความทรงจำเดียวที่เขามีอยู่ก่อนจะไปจากโรงเรียนแห่งนี้ ต่างจากบีมที่ตัวของเขาต้องย้ายบ้านไปบ่อยๆ จนแทบจะไม่มีใครจดจำเขาได้
นั้นทำให้เขาหวังว่า เนจะจดจำเขาได้ด้วยรูปถ่ายที่ถ่ายกันเอาไว้ในคืนนั้น
ก่อนการลาจากจะมาถึงในช่วงเช้าของวันต่อมา
และกลายเป็นการลาจากอันนิรันด์
เมื่อมีรัก ย่อมมีความทุกข์
สัจธรรมที่เคียงข้างตัวนี้ได้บ่งบอกถึงความรักที่หาใช่หอมหวานปานน้ำผึ้งไม่ อันที่จริงมันเป็นรสหวานขมที่แสนขมขื่น เพราะ หากไม่มีได้มีรักแล้วคงไม่อาจจะได้ลิ้มรสสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน
อีกหนึ่งคนที่ได้รับรู้ถึงสัจธรรมข้อนี้ก็คือ ปรียา หญิงสาวชาวเชียงใหม่ที่กำลังจะมีพิธีแต่งงานกับเฮียเล็ง เจ้าของโรงงานชาวใต้ ซึ่งเธอได้ขอมาจัดงานแต่งงานไกลถึงเชียงใหม่ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของแม่ของเฮียเล็งที่ไม่ค่อยปลื้มเท่าใดนัก ทว่าท่าทีของเฮียเล็งที่ไม่เคยพูดว่า รักเลยสักครั้งบวกกับประสบการณ์ขมขื่นของเหล่าเพื่อนๆ ที่แต่งงานแล้วต้องเลิกกับสามีไปก็ทำให้ปรียาเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองบวกกับได้เจอกับพี่เป้ก อดีตแฟนเก่าและรักครั้งแรกที่กลับมาพร้อมทวงถามคำสัญญาเก่าๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกสับสนอย่างยิ่งว่า
เธอควรจะแต่งงานดีไหม
และเธอรักใครกันแน่
ความสับสนนั้นทำให้เธอเผลอไปจูบกับพี่เป้กโดยมีน้องชายแอบเห็นเข้าเสียก่อน จากนั้นเธอก็เผลอพูดหลุดออกไปให้เฮียเล็งได้ยินเสียเองทำให้งานแต่งงานมีอุปสรรคครั้งใหญ่จนได้
แน่นอนว่า ในสายตาหลายคนแล้วทุกคนต่างส่ายหน้าว่า คู่แต่งงานคู่นี้คงไปกันไม่รอดเพราะ ขนาดยังไม่แต่งยังมีอุปสรรคมากมายขนาดนี้ แถมยังทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกต่างหาก แค่นี้ก็คงเพียงพอแล้วที่หลายคนจะฟันธงว่า คู่นี้ไปไม่รอดแน่ๆ
แต่มีคนหนึ่งที่ไม่เชื่อแบบนั้น
นั้นก็คือ เฮียเล็ง
แม้ว่าจะไม่เคยพูดออกไป เฮียเล็งก็แสดงออกหลายสิ่งที่บอกว่า เขารักปรียาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการยอมมาแต่งงานในที่ไกลๆ แบบนี้ แถมยังเนรมิตงานตามใจที่ปรียาต้องการโดยไม่สนใจเรื่องเงินใดๆ นอกจากนี้เขายังยอมทะเลาะกับแม่เพื่อทำตามใจของเธอ บวกกับการที่เขายอมแบกรับทุกอย่างเอาไว้เพียงคนเดียวโดยที่ไม่ได้บอกให้ปรียารับรู้ถึงอุปสรรคในงานเลย (ทั้งเรื่องดอกไม้ที่ไม่มีใครไปเอามา เรื่องค่าตัวนักแสดง และอีกหลายอย่าง) รวมทั้งการขี่มอเตอร์ไซด์ไปรับดอกไม้เองทั้งๆ ที่ตัวเองยังขับไม่แข็งเสียด้วยซ้ำไป
นั้นทำให้น้าของปรียาถึงกับบอกว่า ถ้าเฮียเล็งไม่รักจริงก็คงไม่ทำแบบนี้แน่ๆ
นอกจากนี้เฮียเล็งยังเป็นคนพูดเอาไว้เองบนเวทีว่า เขาเป็นคนใจร้าย เป็นคนใจร้ายที่ไม่ยอมรับกับความผิดซ้ำซากใดๆ และเขาพึ่งจะโชว์โหดไปด้วยการไล่คนขับรถออกเพราะ ทำผิดซ้ำซากจนเขาไม่ทนอีกแล้ว เขาพูดถึงปรียา ว่าพวกเขาคบกันมาเจ็ดปีและได้รับรู้ถึงข้อผิดพลาดของปรียามาโดยตลอดรวมทั้งการท๊อบฟอร์มด้วยการไปจูบกับชายอื่นและบอกเฮียตรงๆ อย่างไม่คาดคิด
แต่เฮียเล็งก็บอกว่า
“คุณอยากจะอยู่กับใครระหว่างคนที่คุณรู้ว่าจะทำผิดแบบไหน กับ คนที่ไม่รู้จะทำผิดแบบใด”
หรือ
“หลายคนคงนึกในใจ คู่ของผมนั้นจะไปรอดไหม”
และสาระสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ เขาพร้อมให้อภัยเธอ เพราะเขานั้นไม่เคยพูดคำหนึ่งออกมาและเขาก็ไม่เคยพูดมันจนกระทั่งจบงาน แต่นั้นก็เพียงพอแล้วจะทำให้ปรียารู้แล้วว่า
เขารักเธอจริงๆ
เรื่องราวปรียานั้นเป็นภาพสะท้อนของมายาคติรักแท้ที่หล่อหลอมหญิงสาวให้หลงใหลในความรักนี้จนเชื่อว่า การแต่งงานนั้นคือจุดจบของเรื่อง แต่มิใช่มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของชีวิตแบบใหม่ต่างหาก และคนที่รับรู้สัจธรรมข้อนี้ดีก็น่าจะเป็นป้าจันที่นั่งมองคู่แต่งงานนี้พลางนึกถึงภาพในอดีตที่บัดนี้คู่ของปรียาคือ ภาพสะท้อนของเธอในอดีต
ไม่มีใครรู้ว่า ชีวิตของปรียาในอนาคตจะเป็นเช่นไร
พวกเขาอาจจะอยู่ด้วยการจนแก่เฒ่าไปพร้อมๆ กัน หรือตายจากไปข้างหนึ่งแบบเดียวกับป้าจันที่เธอได้พึงระลึกแล้วว่า เมื่อมีความรักย่อมมีการลาจาก เมื่อมีความสุขย่อมความทุกข์ เมื่อมีความทรงจำย่อมมีการปล่อยวาง
เธอพึงระลึกในช่วงที่สามีกำลังจะเสียชีวิตนั้น แพทย์พบว่าในร่างที่ไม่อาจจะขยับได้แล้วของเขากลับมีชีพจรขึ้นเมื่อป้าจันเข้ามาราวกับไม่ต้องการจะไปไหน ป้าจันที่รับรู้ถึงความปรารถนาที่จะอยู่ต่อแม้ว่าร่างกายจะเสื่อมโทรมไปเสียหมดแล้ว ของสามีก็ทำให้เธอตัดสินใจกลับไปที่บ้านแล้วบอกกับรูปถ่ายของสามีให้
ปล่อยวางร่างกายที่ผุผังนี้ไปเสีย เพราะเธอไม่อยากเห็นเขาต้องอยู่บนโลกนี้ด้วยความทรมานอีกแล้ว
และแล้วสามีของเธอก็เสียชีวิต
พร้อมกับตัวของป้าจันที่ไม่ยอมปล่อยวางเขาให้ไปจากความทรงจำเสียที และเหมือนกับชายชราที่กระซิบบอกคู่ชีวิตที่ไม่ยอมไหนให้ละสังขารนี้ไป
แม้ว่าหมอจะถามว่าให้ปั้มหัวใจไหม
ชายชราก็ส่ายหน้าเช่นกัน เพราะต้องการให้เธออย่างไม่ทรมานนั้นเอง
พระพุทธเจ้าได้เคยพูดเอาไว้ อย่าได้ยึดติดกับสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็น รูป ทรัพย์ หรือกระทั่งสังขาร เพราะไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน หากสามีของป้าจันยังยึดติดกับสังขารเพราะความห่วงป้าจันที่ต้องอยู่ลำพังแล้ว ป้าจันก็ยึดติดกับความรักและความทรงจำมาเกินไปจนเป็นทุกข์
ประดุจพระพุทธเจ้าได้บอกให้แม่ที่ต้องการพระองค์ช่วยชุบชีวิตลูกที่พึ่งตายไปให้ แน่นอนว่าพระองค์รับปากแต่มีข้อแม้ว่า ต้องไปขอของสิ่งหนึ่งจากที่บ้านที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีและทำให้หญิงสาวรับรู้ได้ว่า การตายนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
ดังนั้นเธอจึงทำใจได้และใช้ชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็งท่ามกลางความรักที่กำลังผลิบานในบ้านของเธอ เสียงของหลานที่กำลังกอดกันเล่นกันดังขึ้น โดยที่เธอคอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม
และท้องฟ้าเดียวกันนั้นสามีของป้าจันที่อยู่ในอีกโลกก็มองเห็นมันและมองกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่บอกว่า สักวันหนึ่งอาจจะได้เจอกันสักวัน
เพราะตราบใดที่ยังมีรัก ย่อมมีหวัง
บล็อกของ Mister American
Mister American
(บทความตอนนี้จะเป็นเรื่องเบาๆเพื่อให้เตรียมตัวกันให้พร้อมก่อนชมภาพยนตร์เรื่อง Prometheus)
Mister American
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีอีกครั้งกับป๋าไมเคิ่ล ฮานาเก้ที่ได้รางวัลปาล์มทองอีกครั้งหนึ่งจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ Ffpภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Amour ที่เรียกได้ว่าเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า ฝีมือการทำหนังของผู้กำกับคนนี้เป็นของจริงที่ยิ่งเวลาผ่านไปรสชาติการทำหนังของเขาก็ยิ่งเข้มข้นทุกทีไม่เหมือนผู้กำกับอีกหลายรายที่มือตกไปอย่างไม่น่าอภัย กระนั้นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับชายที่ชื่อว่า ไมเคิ่ล ฮานาเก้นี้ก็คือ แค่หนังเรื่องแรกของเขานั้นก็ปรากฏแววเก่งมาในทันที
และหนังเรื่องแรกของเขาก็คือ The Seven Continent นั้นเอง
Mister American
ถ้าเอ่ยชื่อของไมเคิ่ล ฮานาเก้ ถ้าไม่ใช่แฟนหนังจริงๆหลายคนอาจจะไม่รู้จักเขาเท่ากับผู้กำกับคนอื่นๆอย่าง ไมเคิ่ล เบย์ สปีลเบิร์กหรือคาเมร่อนก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่หลายคนมารู้จักผู้กำกับจากยุโรปได้ก็คงไม่พ้นนิยามหนังของเขาที่หลายให้คำว่า โหดเหี้ยม เลือดเย็น และน่าขนลุก โดยหนังที่หลายคนมักจะ
Mister American
(เนื้อหาบทความนี้อาจะเปิดเผยความลับของภาพยนตร์)
ผมเชื่อว่าทุกคนเคยมีความฝัน
ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ฮีโร่ของญี่ปุ่นอย่าง อุลตร้าแมน ไอ้มดแดง ขบวนการห้าสีบุกจอโทรทัศน์ หลายคนในตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวน้อยๆที่เฝ้ารอคอยหน้าจอที่สัปดาห์เพื่อจะได้ชมฮีโร่ของตัวเองปราบปรามเหล่าร้ายในหน้าจอที่หวังยึดครองโลก เราได้สนุกสนานกับการผจญภัยของพวกเขา บางคนอาจจะถึงขั้นอยากเป็นฮีโร่กับเขาบ้างเลยทีเดียว หรือบางคนอาจจะใฝ่ฝันที่จะได้เห็นฮีโร่ตัวจริงด้วยสายตาของตัวเอง
ซึ่งเด็กชายที่ชื่อ ฟิล โคลสัน คือหนึ่งในนั้น
Mister American
ครั้งหนึ่งเมื่อภาพยนตร์เรื่อง เฉือน ของผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ ได้ลงโรงฉายชนกับภาพยนตร์รัก Feel Good อย่างรถไฟฟ้ามาหานะเธอนั้นหลายคนที่ไปชมเรื่องนี้ต่างอึ้งกับภาพความโหดร้าย ของฆาตกรต่อเนื่องของไทยที่คาดว่าจะเป็นภาพยนตร์ฆาตกรต่อเนื่องที่น่าสนใจ เรื่องหนึ่ง และมีคำถามขึ้นมาว่า