Skip to main content


ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตา

รู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานคร


เมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง


รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจ


แฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก จากต่างประเทศ บทบาทนักธุรกิจชั้นนำ และสารพัดตำแหน่งอันทรงเกียรติที่บรรจุไม่หมดในกระดาษแผ่นเดียว รวมทั้งบทความบางชิ้นจากนิตยสารบ้าง หนังสือพิมพ์บ้าง ที่ฉัน “ทำการบ้าน” มาเพื่อไม่ให้สมองว่างเปล่าเกินไปในการสัมภาษณ์


อ่านๆ ไป ใจก็หลุดขอบกระดาษไปถึงกองขี้ควายข้างบ้าน ที่ตั้งใจจะโกยมาเก็บไว้ทำปุ๋ยคอก คิดถึงหมู่หมาขี้เรื้อนที่ต้องจับทายา กับแมวเกือบห้าสิบตัวที่ยังฉีควัคซีนไม่ครบ


ชายหนุ่มในสูทสีขรึมเดินผ่านไป ฝีเท้าแสนเบาของเขาทำให้นึกถึงผู้ชายสีเทาในเรื่องโมโม่ของมิฆาเอล เอ็นเด้ อยากเดินไปถามว่า ฉันเคยฝากเวลาไว้กับธนาคารของเขาบ้างไหม ถ้าเคย ฉันขอถอนคืนทั้งต้นและดอก


บางทีฉันก็สงสัยในเหตุผลของโชคชะตา เช่นเดียวกับ แคนดี้ แคว็กเกนบุช สงสัย เมื่อเธอโดยสารทะเลอิซาเบลลาไปยังอบารัต โลกซึ่ง “เวลา” คือ “สถานที่” (วรรณกรรมแฟนตาซีของไคลฟ์ บาร์เกอร์)


ชีวิตเรากำลังผ่านโมงยามที่เท่าไร และสถานที่ใดคือเวลาที่เราควรใช้ชีวิต


ตามกาลานุกรมของเคล็ปป์ (เอกสารสำหรับนักเดินทางในอบารัต) ชั้น ๓๔ ทำให้ฉันคิดว่ากำลังอยู่บน “สิบหกนาฬิกา” เกาะที่เต็มไปด้วยเสียงกระซิบในอากาศ เศษของคำทำนายที่ไม่สมปรารถนา และทัศนียภาพที่ทำให้จินตนาการอ่อนกำลัง


..............


เคยรู้สึกว่าเสน่ห์ของชีวิตคือความลึกลับ ไม่รู้ว่าชั่วโมงถัดไป เดือนถัดไป หรือปีถัดไป เราจะพบกับอะไรบ้าง

การคาดเดา บางทีก็สนุกสนานกว่าการรู้ล่วงหน้า


รู้ เมื่อถึงเวลา น่าจะดีกว่า เพราะทุกอย่างมีชั่วโมงของมันเอง” มาลิงโกกล่าวกับแคนดี้ เมื่อเธอปรารถนาจะศึกษาดวงดาวเพื่อมองดูอนาคต


ชายหนุ่มคนเดิมเดินผ่านมา ใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาช่างเหมือนนายสมิธ ผู้ชายใส่สูทสวมแว่นดำในหนังเรื่อง The Matrix คิดไปคิดมา ที่นี่อาจเป็นโลกแห่งความจริงเสมือน ตัวตนของฉันอาจกำลังนอนเสียบปลั๊กอยู่ที่ไหนสักแห่ง


รู้สึกหนาวจนมือชา นอกจากเปลืองไฟฟ้า การเปิดแอร์ยังอาจฆ่าคนได้ มองมือซีดๆ ของตัวเองแล้วนึกถึงจิ้งจกตัวหนึ่งที่หลงเข้าไปในตู้เย็น ตอนที่ฉันเปิดเจอ มันนอนแน่นิ่ง ซีดจนเขียว เหมือนจิ้งจกยางไร้ชีวิตที่วางขายตามงานวัด


เราอาจเคยหลงทางอยู่ในบางเวลาและบางสถานที่


ฟ้าสว่างขึ้นกว่าเดิม มองเห็นรายละเอียดของตึกรามบ้านช่องแน่นขนัดที่อยู่ไกลออกไป คงอุปาทานที่ฉันรู้สึกว่าตึกสั่นไหวนิดๆ หรือเป็นตัวฉันเองที่สั่นหน่อยๆ

เวลาพี่ขึ้นไปอยู่บนตึกสูงมากๆ พี่ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าตึกถล่ม พี่สบายใจได้เลย ตามหลักแล้ว อยู่ชั้นสูงๆ หาศพง่ายกว่าชั้นล่างๆ” รุ่นน้องคนหนึ่งเคย (อุตส่าห์) ปลอบใจ


…………..


หญิงสาวเดินเข้ามาบอกให้รออีกสักครู่ “ท่าน” ยังประชุมไม่เสร็จ

รับชาหรือกาแฟดีคะ” เธอถามเสียงหวาน

ไม่ค่ะ ขอบคุณ” ฉันตอบ สงสัยว่าจะขอเปลี่ยนจากกาแฟและชา เป็นราดหน้าหรือผัดซีอิ๊วได้ไหม แต่เกรงใจกลัวเธอไม่รับมุก


นึกอยากให้มีเรือก๋วยเตี๋ยวของอาแปะเหาะมาเทียบข้างหน้าต่างชั้น ๓๔ เหมือนในหนังเรื่อง The Fifth Element (เพิ่งนึกได้ว่าฉันยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง)


ท่านจะประชุมอีกนานไหมคะ” ฉันถาม ลองพยายามให้เสียงหวานพอๆ กับเธอ

ไม่ทราบค่ะ” เธอตอบแบบไร้เยื่อใยก่อนหมุนตัวกลับ ฉันเพลินมองตามเรียวขาเนียนๆ ในถุงน่องสีเนื้อ กับรองเท้าส้นแหลมที่ทิ้งรอยกลมๆ เล็กๆ ไว้บนพื้นพรมตามจังหวะทีก้าวไป


เอื้อมมือไปลูบคลำน่องตัวเองที่อยู่ในกางเกงขายาว ไม่ต้องดูก็รู้ว่าลายพร้อยไปด้วยรอยเล็บของบรรดาแมวๆ ที่แย่งกันตะกุย (ด้วยความรัก) ถุงน่องไหนๆ ก็เอาไม่อยู่


ยิ้มมากขึ้นเมื่อก้มมองกางเกง ใครจะรู้ว่ามีรอยปะชุนอยู่ตรงปลายขา (สีของผ้าที่ปะไว้ไม่ค่อยเข้ากับสีกางเกงนัก) ผลงานแบบหมาๆ ของสมาชิกบ้านสี่ขาอีกเช่นกัน


……………….


ครั้งที่เคยทำงานเกี่ยวข้องกับโรงเรียนบนดอย ฉันรักช่วงเวลาในฤดูหนาวที่เด็กๆ จะเข้าป่าไปเก็บมะก่อเดือยมาคั่วเกลือ นั่งแทะลูกก่อข้างกองไฟ แลกเปลี่ยนเรื่องราวสัพเพเหระ ให้ความรู้สึกอุ่นใจกว่าการยืนทื่ออยู่ในงานค็อกเทล ยิ้มแย้มสนทนาหรือทำท่าสนอกสนใจในเรื่องราวที่ไมได้อยากมีส่วนร่วม


บ้านพักครูอยู่ด้านหลังโรงเรียน ฉันชอบเวลาไปยืนล้างถ้วยชามริมชานเรือนที่สร้างยื่นออกไปริมผา มองลึกลงไปในหุบเขา เห็นสีเขียวหลากสลับสีแดงขาวหรือเหลืองของดอกไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อ บางค่ำคืนแว่วเสียงร้องเพลงของเด็กๆ ชาวลัวะดังมาจากหมู่บ้านที่อยู่ต่ำลงไป


ความสูงต่างที่ ให้ความรู้สึกต่างกัน


วันที่สวมเสื้อกันฝนเดินป่าตามอาจารย์คณะเกษตรฯ ขึ้นไปสำรวจพืชพันธุ์ฤดูฝนบนภูหินร่องกล้า เรานอนคว่ำราบไปบนพื้นเปียกฉ่ำ พิจารณาไลเคนบนก้อนหินเก่าแก่ สำรวจพืชเล็กๆ ที่แตกใบอ่อนขึ้นเหนือพื้นดิน อาจารย์บอกว่า พืชบนภูเขาที่เราพบ(หรือไม่พบ) บอกให้เรารู้ได้ว่ากำลังอยู่สูงกี่พันฟุตเหนือน้ำทะเล เพราะพืชบางชนิดจะมีชีวิตอยู่ได้ในบางระดับเท่านั้น


นายสมิธเดินผ่านไปอีกครั้ง (เดินผ่านไปมาทำไมหลายรอบ?) เขาอาจไปเสนองานที่ห้องนาย หรืออาจท้องเสียจึงหมั่นไปเข้าส้วม

เฝ้ารอ รอแล้วรอแล้วรอไม่สิ้น...” ฉันครวญเพลงของสุเทพ วงศ์กำแหง คิดจะยื่นคำขาดกับ “ท่าน” ว่า ถ้ายังไม่ออกมาละก็ ฉันจะไม่รอแล้ว จะรีบกลับไปหาหมาแมวที่สำคัญต่อฉันมากกว่า “ท่าน” ร้อยเท่า แต่ก็แว่วเสียง(เห่า)เตือนสติว่า นี่เป็นการทำงานเพื่อหาเลี้ยงเจ้าสี่ขาอยู่นะ อย่าทำเป็นหยิ่ง


ความคิด อาจเป็นอิสรภาพที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวของมนุษย์


ฟ้ายังคงเป็นสีหม่น ฉันแนบหน้ากับกระจกมองทะเลตึก นึกเล่นๆ ว่า การพบใครสักคน จะทำให้เรารู้ได้หรือเปล่า ว่าตอนนั้นเราอยู่ที่ความสูงเท่าไร


และจริงๆ แล้ว ความสูงระดับไหน ที่เหมาะสำหรับการมีชีวิตอยู่


…………………

 

ส่วนหนึ่งของหมู่แมวบ้านสี่ขากำลังพักผ่อนตามอัธยาศัย


เสือจ้อยจอมซนไม่ชอบถ่ายรูป


ทุ่งนาระหว่างทางเข้าบ้านสี่ขา วันฟ้าครึ้มฝน


บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…