เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนา
ฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง
หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด
................
ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก หลานชายจึงรับตัวจากบ้านนอกมาอยู่ด้วยในบ้านที่มีหลานสะใภ้ และลูกๆ ของหลานอีกสามคน ยายเลยได้เป็นทวด
หลานชายและหลานสะใภ้ทำงานทั้งคู่ เช้าๆ บ้านจะวุ่นวายด้วยเสียงบ่น เสียงดุด่า เสียงเด็กๆ ทะเลาะกัน บางทีก็มีเสียงร้องไห้งอแง แล้วทุกคนก็ออกไปกันหมด เหลือยายอยู่ตามลำพังกับความเงียบ
ยายจะกระย่องกระแย่งกวาดเศษข้าวส่วนหนึ่งที่เหลือจากใส่บาตรตอนเช้า เอาไปเกลี่ยไว้บนกำแพง ให้นกมาจิกกิน ข้าวอีกก้อนหนึ่ง ยายจะใช้มือสั่นๆ บี้จนร่วนในจานสังกะสี คลุกกับปลาทูบ้าง ไข่ต้มบ้าง เหยาะน้ำปลานิดหนึ่ง คลุกเสร็จก็ยกนิ้วขึ้นแตะลิ้นเพื่อชิมรส
แล้วยายก็ถือจานเดินกระย่องกระแย่งออกมาหน้าบ้าน เรียกเบาๆ
"ป่องหยอด ป่องหยอดเอ๊ย มากินข้าวลูก"
แมวสีโกโก้ตัวหนึ่งจะค่อยๆ ลอดใต้ถุนบ้านออกมา มันเดินกะเผลกเพราะต้องลากขาหลังที่เสียข้างหนึ่ง
................
ครั้งแรกที่ยายพบแมวนั้น มันตัวผอมลีบ ขี้ตาเกรอะกรังจนลืมตาไม่ขึ้น หางกุดๆ มีรอยแผลที่ยังไม่หายสนิท ขาหลังดูเหมือนจะหัก ตัวผอมจนซี่โครงปูดทั้งๆ ที่ท้องป่องน่าเกลียด มันนอนเหมือนตายอยู่ริมถนนหน้าบ้านในเช้ามืดที่ยายออกไปรอใส่บาตร อาจจะนอนมาทั้งคืนเพราะตัวมันชื้นไปด้วยน้ำค้าง
ยายอุ้มแมวไปนอนหน้าเตา ละลายน้ำข้าวกับน้ำตาลและเกลือนิดๆ พอหวานเค็มปะแล่มๆ ค่อยๆ หยอดใส่ปากแมวทุกวัน บางทีก็หยอดข้าวต้มที่ยายบี้จนเละ แล้วก็คอยบีบนวดเนื้อตัวแมววันละหลายครั้ง บางวันยายก็ร้องเพลงกล่อมเด็กให้แมวฟัง
ป่องหยอดแข็งแรงขึ้นทีละน้อย ตาค่อยๆ ใส เสียงที่เบาแผ่วจนแทบไม่ได้ยินก็ดังชัดเจน โดยเฉพาะเวลาร้องอ้อนยาย มันกินเก่งขึ้น แต่ไม่เคยอ้วน แถมท้องก็ยังป่องเหมือนเดิม
วันคืนอันเหงาเงียบของยายค่อยๆ มีชีวิตชีวา ป่องหยอดนั่งๆ นอนๆ เป็นเพื่อนคุยกับยายตลอดวัน ยายลุกไปไหน มันจะเดินลากขาตามไป เวลายายเอนหลังตอนบ่ายๆ มันจะนอนซุกตรงรักแร้ของยายเสมอ ฉันยังจำมือสั่นๆ ของยายที่ลูบไล้ขนนุ่มนิ่มของแมวอย่างอ่อนโยน กับเสียงเรียกที่บ่งบอกความรักใคร่ผูกพัน
"ป่องหยอดเอ๊ย สบายดีหรือเปล่าลูก"
"ป่องหยอดเอ๊ย มากินข้าวกับยายมาลูกมา"
ยายไม่ลืมที่จะพาแมวหลบให้พ้นสายตาของหลานสะใภ้ แต่บางทีก็หลบไม่ทัน
"หนูบอกแล้วใช่มั้ยยายว่าอย่าเอาอะไรให้มันกิน มันได้กินมันก็ไม่ยอมไปไหนซี แล้วนี่เอามันเข้าบ้านใช่ไหม ดูซิขนแมว เห็นแล้วคลื่นไส้ อย่าให้หนูเห็นไอ้แมวตัวนั้นอีกนะ จะตีให้ตายเลย"
คำขู่ของหลานสะใภ้ทำให้ยายแทบจะดึงแมวไว้ข้างตัวตลอดเวลา
"อย่าเอาเท้าเตะมันสิลูก บาปนะ โบราณเขาถือว่าแมวมันเท่ากับเณรองค์หนึ่ง" ยายเคยห้ามเหลน
"แมวจะเป็นเณรได้ไงทวด ทีแม่ยังตีมันได้เลย" เด็กๆ หัวเราะ
วันต่อมา ฉันได้ยินเสียงดังลั่นจากบ้านของยาย
"ยาย เห็นมั้ย แมวมันมาขี้ไว้ตรงนี้ หนูบอกแล้ว บอกยายแล้วนะ แล้วอย่ามาหาว่าหนูใจดำนะ"
"มันไม่สบาย มันแก่แล้ว" ยายไม่มีโอกาสอธิบายกับใคร นอกจากฉัน ยายบอกว่าป่องหยอดเป็นแมวแก่ บางทีมันอาจจะเผลอตัว อั้นไม่ไหว หรือลืมไปว่าไม่ใช่ที่ขับถ่าย
"มันแก่แล้ว แก่เหมือนยาย"
ยายพยายามถูบ้านตรงที่ป่องหยอดทำเลอะ ถูแล้วถูอีกเพราะไม่อยากให้หลานสะใภ้โกรธแมว แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น
"เห็นไอ้แมวนั่นมาอีกเมื่อไรบอกแม่นะ" เสียงหลานสะใภ้บอกลูก ทำเอายายแทบกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
แล้ววันหนึ่ง ป่องหยอดก็ไม่ได้โผล่มาตามเสียงเรียกของยาย
ยายถือจานสังกะสีเดินกระย่องกระแย่งตามหาป่องหยอดทั้งวัน รวมทั้งอีกหลายวันถัดมา ยายร้องเรียกป่องหยอด แต่ไม่มีเสียงเหมียวขานรับ ยายคลุกข้าวทุกวัน แต่แมวสีโกโก้ก็ไม่เดินออกมาจากใต้ถุนบ้านอีกเลย
...........
วันหยุดยาวในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลานชายพาครอบครัวไปเที่ยวต่างจังหวัด เหลือยายอยู่บ้านเพียงลำพัง ฉันยังจำภาพที่ยายนั่งคุดคู้อย่างหงอยเหงาบนระเบียงได้ติดตา
"ยาย แม่ให้เอาข้าวต้มมาให้ค่ะ" ฉันบอก วางหม้อเล็กบนโต๊ะข้างตัวยาย
"ป่องหยอดไม่อยู่" ยายเอ่ยเบาๆ ตามองจานสังกะสีว่างเปล่าตรงหัวบันได ยายเลิกคลุกข้าวนานแล้ว
"มันไปเที่ยวมั้งยาย เดี๋ยวมันก็กลับ"
"มันไม่กลับมาหรอก ยายรู้" ยายพึมพำ "มันไม่กลับมาอีกแล้ว"
ฉันอึ้ง นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี
"ยายดูโทรทัศน์ไหม หนูเปิดให้" วัยสิบขวบของฉันช่างอับจนถ้อยคำที่จะปลอบใจเพื่อนบ้านวัยแปดสิบ "ยายจะกินข้าวต้มหรือยัง"
ฉันยืนละล้าละลัง ไม่แน่ใจว่าควรเดินไปเปิดโทรทัศน์หรือไปหยิบชามในครัว ยายยังคงนั่งคุดคู้ ร่างเล็กๆ นั้นดูเหมือนกองผ้าเก่าๆ
"ป่องหยอดเอ๊ย ป่องหยอด"
ยายพึมพำกับตัวเองมากกว่าพูดกับฉัน แสงไฟจากบ้านตรงข้ามสะท้อนหยาดน้ำบางๆ ในดวงตาสีน้ำข้าวของยาย