Skip to main content
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้


เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนา
ฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง

หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด

................

ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก หลานชายจึงรับตัวจากบ้านนอกมาอยู่ด้วยในบ้านที่มีหลานสะใภ้ และลูกๆ ของหลานอีกสามคน ยายเลยได้เป็นทวด

หลานชายและหลานสะใภ้ทำงานทั้งคู่ เช้าๆ บ้านจะวุ่นวายด้วยเสียงบ่น เสียงดุด่า เสียงเด็กๆ ทะเลาะกัน บางทีก็มีเสียงร้องไห้งอแง แล้วทุกคนก็ออกไปกันหมด เหลือยายอยู่ตามลำพังกับความเงียบ

ยายจะกระย่องกระแย่งกวาดเศษข้าวส่วนหนึ่งที่เหลือจากใส่บาตรตอนเช้า เอาไปเกลี่ยไว้บนกำแพง ให้นกมาจิกกิน ข้าวอีกก้อนหนึ่ง ยายจะใช้มือสั่นๆ บี้จนร่วนในจานสังกะสี คลุกกับปลาทูบ้าง ไข่ต้มบ้าง เหยาะน้ำปลานิดหนึ่ง คลุกเสร็จก็ยกนิ้วขึ้นแตะลิ้นเพื่อชิมรส

แล้วยายก็ถือจานเดินกระย่องกระแย่งออกมาหน้าบ้าน เรียกเบาๆ
"ป่องหยอด ป่องหยอดเอ๊ย มากินข้าวลูก"

แมวสีโกโก้ตัวหนึ่งจะค่อยๆ ลอดใต้ถุนบ้านออกมา มันเดินกะเผลกเพราะต้องลากขาหลังที่เสียข้างหนึ่ง

................

ครั้งแรกที่ยายพบแมวนั้น มันตัวผอมลีบ ขี้ตาเกรอะกรังจนลืมตาไม่ขึ้น หางกุดๆ มีรอยแผลที่ยังไม่หายสนิท ขาหลังดูเหมือนจะหัก ตัวผอมจนซี่โครงปูดทั้งๆ ที่ท้องป่องน่าเกลียด มันนอนเหมือนตายอยู่ริมถนนหน้าบ้านในเช้ามืดที่ยายออกไปรอใส่บาตร อาจจะนอนมาทั้งคืนเพราะตัวมันชื้นไปด้วยน้ำค้าง

ยายอุ้มแมวไปนอนหน้าเตา ละลายน้ำข้าวกับน้ำตาลและเกลือนิดๆ พอหวานเค็มปะแล่มๆ ค่อยๆ หยอดใส่ปากแมวทุกวัน บางทีก็หยอดข้าวต้มที่ยายบี้จนเละ แล้วก็คอยบีบนวดเนื้อตัวแมววันละหลายครั้ง บางวันยายก็ร้องเพลงกล่อมเด็กให้แมวฟัง

ป่องหยอดแข็งแรงขึ้นทีละน้อย ตาค่อยๆ ใส เสียงที่เบาแผ่วจนแทบไม่ได้ยินก็ดังชัดเจน โดยเฉพาะเวลาร้องอ้อนยาย มันกินเก่งขึ้น แต่ไม่เคยอ้วน แถมท้องก็ยังป่องเหมือนเดิม

วันคืนอันเหงาเงียบของยายค่อยๆ มีชีวิตชีวา ป่องหยอดนั่งๆ นอนๆ เป็นเพื่อนคุยกับยายตลอดวัน ยายลุกไปไหน มันจะเดินลากขาตามไป เวลายายเอนหลังตอนบ่ายๆ มันจะนอนซุกตรงรักแร้ของยายเสมอ ฉันยังจำมือสั่นๆ ของยายที่ลูบไล้ขนนุ่มนิ่มของแมวอย่างอ่อนโยน กับเสียงเรียกที่บ่งบอกความรักใคร่ผูกพัน
"ป่องหยอดเอ๊ย สบายดีหรือเปล่าลูก"
"ป่องหยอดเอ๊ย มากินข้าวกับยายมาลูกมา"
ยายไม่ลืมที่จะพาแมวหลบให้พ้นสายตาของหลานสะใภ้ แต่บางทีก็หลบไม่ทัน

"หนูบอกแล้วใช่มั้ยยายว่าอย่าเอาอะไรให้มันกิน มันได้กินมันก็ไม่ยอมไปไหนซี แล้วนี่เอามันเข้าบ้านใช่ไหม ดูซิขนแมว เห็นแล้วคลื่นไส้ อย่าให้หนูเห็นไอ้แมวตัวนั้นอีกนะ จะตีให้ตายเลย"
คำขู่ของหลานสะใภ้ทำให้ยายแทบจะดึงแมวไว้ข้างตัวตลอดเวลา

"อย่าเอาเท้าเตะมันสิลูก บาปนะ โบราณเขาถือว่าแมวมันเท่ากับเณรองค์หนึ่ง" ยายเคยห้ามเหลน
"แมวจะเป็นเณรได้ไงทวด ทีแม่ยังตีมันได้เลย" เด็กๆ หัวเราะ

วันต่อมา ฉันได้ยินเสียงดังลั่นจากบ้านของยาย
"ยาย เห็นมั้ย แมวมันมาขี้ไว้ตรงนี้ หนูบอกแล้ว บอกยายแล้วนะ แล้วอย่ามาหาว่าหนูใจดำนะ"
"มันไม่สบาย มันแก่แล้ว" ยายไม่มีโอกาสอธิบายกับใคร นอกจากฉัน ยายบอกว่าป่องหยอดเป็นแมวแก่ บางทีมันอาจจะเผลอตัว อั้นไม่ไหว หรือลืมไปว่าไม่ใช่ที่ขับถ่าย

"มันแก่แล้ว แก่เหมือนยาย"
ยายพยายามถูบ้านตรงที่ป่องหยอดทำเลอะ ถูแล้วถูอีกเพราะไม่อยากให้หลานสะใภ้โกรธแมว แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น

"เห็นไอ้แมวนั่นมาอีกเมื่อไรบอกแม่นะ" เสียงหลานสะใภ้บอกลูก ทำเอายายแทบกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
แล้ววันหนึ่ง ป่องหยอดก็ไม่ได้โผล่มาตามเสียงเรียกของยาย
ยายถือจานสังกะสีเดินกระย่องกระแย่งตามหาป่องหยอดทั้งวัน รวมทั้งอีกหลายวันถัดมา ยายร้องเรียกป่องหยอด แต่ไม่มีเสียงเหมียวขานรับ ยายคลุกข้าวทุกวัน แต่แมวสีโกโก้ก็ไม่เดินออกมาจากใต้ถุนบ้านอีกเลย

...........

วันหยุดยาวในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลานชายพาครอบครัวไปเที่ยวต่างจังหวัด เหลือยายอยู่บ้านเพียงลำพัง ฉันยังจำภาพที่ยายนั่งคุดคู้อย่างหงอยเหงาบนระเบียงได้ติดตา

"ยาย แม่ให้เอาข้าวต้มมาให้ค่ะ" ฉันบอก วางหม้อเล็กบนโต๊ะข้างตัวยาย
"ป่องหยอดไม่อยู่" ยายเอ่ยเบาๆ ตามองจานสังกะสีว่างเปล่าตรงหัวบันได ยายเลิกคลุกข้าวนานแล้ว
"มันไปเที่ยวมั้งยาย เดี๋ยวมันก็กลับ"
"มันไม่กลับมาหรอก ยายรู้" ยายพึมพำ "มันไม่กลับมาอีกแล้ว"
ฉันอึ้ง นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี

"ยายดูโทรทัศน์ไหม หนูเปิดให้" วัยสิบขวบของฉันช่างอับจนถ้อยคำที่จะปลอบใจเพื่อนบ้านวัยแปดสิบ "ยายจะกินข้าวต้มหรือยัง"
ฉันยืนละล้าละลัง ไม่แน่ใจว่าควรเดินไปเปิดโทรทัศน์หรือไปหยิบชามในครัว ยายยังคงนั่งคุดคู้ ร่างเล็กๆ นั้นดูเหมือนกองผ้าเก่าๆ

"ป่องหยอดเอ๊ย ป่องหยอด"
ยายพึมพำกับตัวเองมากกว่าพูดกับฉัน แสงไฟจากบ้านตรงข้ามสะท้อนหยาดน้ำบางๆ ในดวงตาสีน้ำข้าวของยาย

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…